มาคิดๆว่าอะไรหนอ ถึงทำให้
หลวงพี่แจ๊ส 4G กลายเป็นหนังที่เปิดตัวได้ปังขนาดนี้ ขนาดที่มีแววจะเป็นร้อยล้านเรื่องแรกในบรรดาหนังไทยของปีนี้เลยทีเดียว.. ซึ่งในแง่หนึ่ง ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องดี หลังจากหนังไทยในรอบปีที่แล้ว ยาวมาถึงต้นปีนี้ อยู่ในสภาพซบเซา กว่าจะทำเงินได้ต้องเลือดตากระเด็น การตีโจทย์ให้ตรงความต้องการของตลาด มันกลายเป็นศาสตร์ที่ยุ่งยากไปซะงั้น.. แม้ปีก่อนจะมีหนังแบบ "ฟรีแลนซ์" หรือ "เมย์ไหนฯ" โผล่มาให้พอหายใจหายคอบ้าง แต่มันก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า GTH เค้าคือเทพเจ้าแห่งการตลาด การมีกระแสของมันเลยไม่แปลก
ตัวหนัง หลวงพี่นี้ ผมดูแล้ว ก็พูดตามเนื้อผ้าเลยว่า.. ไม่ใช่หนังที่ดี และถ้าไม่มี แจ๊ส คงเป็นหนังตลกฝืดหนักกว่านี้ สรุปง่ายๆ อยู่ในข่ายของหนังที่ดูแล้วเสียดายเงิน
แต่ผมก็จะไม่พูดว่า มันไม่น่าได้ร้อยล้านเลยจริงๆ.. เพราะถ้าเรามองโดยไม่มีอคติ ใช้สายตาในแง่เข้าใจกับภาวะการตลาดของหนังไทยที่มันทรงๆไปทางลบอยู่หลายเดือนมางี้ การปรากฏของหลวงพี่แจ๊ส มันอาจจะกลายเป็นจุดที่สร้างความตื่นตัวให้ตลาดหนังไทยได้ในปีนี้ ก็เป็นไปได้
ถึงกระนั้นสิ่งที่ผมคิดอาจจะผิด มันอาจเป็นกระแสเพียงชั่ววูบ เหมือนพลุที่จุดสว่างวาบๆ แล้วอันตรธานในไม่กี่อึดใจ.. แต่เอาเหอะ ก็รอดูกันต่อไป
สำหรับผม ปัจจัยแห่งความสำเร็จของ หลวงพี่แจ๊ส 4G มี.. ขอวิเคราะห์ออกมาเป็น 4 หัวข้อ ดังนี้
1)
"แจ๊ส ชวนชื่น"
ก็ต้องยอมรับว่าตลกผู้นี้ กำลังอยู่ในกระแส ทำอะไรก็กลายเป็นข่าวง่ายดาย โดยเฉพาะการสร้างวงดนตรี
"แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก" ที่กลายเป็นการแสดงจำอวดแขนงใหม่ ที่เอามาประยุกต์กับดนตรีได้อย่างเหมาะเหม็ง แม้จะถูกค่อนขอดที่ว่าเอามุกคาเฟ่เก่าๆมาหากิน (กลายเป็นเพลง
"แว้นฟ้อหล่อเฟี้ยว" ที่เดี๋ยวสงกรานต์นี้ ก็จะกลับมาฮิตอีกระลอกหนึ่งแน่) หรือกระทั่งการพยายามใส่เบอร์แรงเพื่อสร้างกระแสให้ผลงานของตัวเอง (กับเพลง
"ยับแม่" ที่เอ็มวีแรง จนแม่สั่งยับ..ยั้ง) แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี ว่าหมอนี่ เค้ากำลังมา และคงจะเป็นตลกที่ขายดี ได้อีกสักพักใหญ่ๆ แทบถึอว่าเป็นนักแสดงตลกที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน ในยุค No Cafe แบบนี้
เพราะอย่างนี้ การแปะชื่อเจ้าตัวให้กับหนัง หลวงพี่ เรื่องใหม่จึงแอบมีอิทธิพลเบาๆ ต่อการซื้อตั๋ว.. คนชอบผลงานของเจ้าตัวนี่ ไม่ได้มีแค่ผู้ชื่นชอบดูการแสดงตลกคาเฟ่เท่านั้น แต่ยังมีฐานขนาดใหญ่จากกลุ่มวัยรุ่น ที่แจ๊สกำลังไปได้ดีกับตลาดกลุ่มนี้ และก็กลุ่มนี้นี่แหละที่มันมีปริมาณมากพอ จะถูกยั่วใจให้เข้าไปดูหนังจนสร้างกระแสว่าที่ร้อยล้านได้อย่างนี้
2)
"โปรโมตไว ย่อมได้เปรียบ"
เรื่องนี้ สำหรับผม ถือว่าน่าสนใจมากที่สุด!! เพราะโดยปกติ การโปรโมทหนังไทยมักจะใช้เวลาหลังจากปล่อยทีเซอร์ หรือโปสเตอร์ สิริรวมราวๆไม่เกิน 1 เดือน (กระทั่งหนังของอดีตค่าย GTH ก็อยู่ในข่ายนี้เช่นกัน)
แต่หลวงพี่แจ๊ส น่าจะเป็นครั้งหนึ่งที่กล้าเสี่ยง จะแหกรูปแบบการทำงานแต่เดิมมา ด้วยการปล่อยทีเซอร์ ที่ยังมาพร้อมกับเพลงประกอบหนังโดย แจ๊ส เอง ซึ่งนับจาก 19 มกราคม.. นี่ก็จะเท่ากับ หนังเริ่มสร้างกระแสให้ตัวเองมาแล้ว เกือบๆ 3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นานกว่าปกติของหนังไทยชัดๆเลย
(แล้ว MV ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสให้หนัง เพราะมีคนกดเข้ามาดูถึง 25 ล้านครั้ง)
แล้วหลังจากนั้น ก็พยายามจะระมัดระวังไม่ให้กระแสตก ด้วยการค่อยๆปล่อยสิ่งละอันพันละน้อย เพื่อให้คนดูยังรู้สึกอยากติดตาม และรอคอยหนังตัวอย่างจริงๆ ซื่งก็ได้ช่วงเวลาก่อนหน้าหนังฉายราว 1 เดือน เข้าสู๋ช่วงเวลาปกติของหนังไทยจะเป็นกัน ปล่อยตัวอย่างทางการที่ไม่ดองกับการเป็น MV
ผมว่า นี่เป็นการวางแผนที่ค่อนข้างชาญฉลาด คือตั้งต้นด้วย การล่อเหยื่อของแจ๊สด้วยการปล่อยงานเพลงชิ้นใหม่ หลังจาก แว้นฟ้อหล่อเฟี้ยว ที่ให้เห็นถึงความสามารถในด้าน Entertainer ได้สนุกของตัวแจ๊สเอง และให้เห็นภาพแวบๆจากหนัง พอเรียกน้ำย่อย เพื่อให้คนดูรับรู้ นี่คือหนังที่แจ๊สจะได้เป็นพระเอกกับเขาเสียที
จนมาใช้วิถีปกติ ซึ่งอาจจะเรียกเป็น Golden Time ของการโปรโมต 1 เดือนสุดท้าย ที่ให้คนดูได้เห็นเลยว่า ถ้าไปดูหนังเรื่องนี้ จะเจอมุขทางไหนบ้าง (และอาจจะเป็นการกวักมือเรียกแฟน หนังชุดหลวงพี่ หน้าเก่า.. ว่าสิ่งที่คุณคิดถึงกำลังจะกลับมา) และต้องยอมรับว่าไอ้การตัดต่อตัวอย่างของทีมงานกลุ่มนี้ มันดันใช้ได้ มุขที่แหลมออกมา แม้เป็นอะไรที่เดาทางได้ง่ายมาก แต่ผมยอมรับอยู่อย่างว่า แจ๊ส เป็นนักแสดงตลกที่เก่งกาจในด้านการเล่นจังหวะ ซึ่งถ้าเข้ามุก รู้จังหวะ ส่วนใหญ่แล้ว การจะเข้าเป้าคนดูมันก็ง่ายขึ้น
ยอมรับเลยละกันว่า ผมยอมเสียตังค์เข้าไปดู เพราะตัวอย่างตัวนี้เลยจริงๆ
การที่กล้าจะแหกทฤษฎีการโปรโมตวิถีเก่าๆดูบ้าง นี่นับเป็นวิธีการที่น่านำไปศึกษา สำหรับค่ายหนังอื่นๆเลย.. ผมมองว่า หลวงพี่แจ๊ส 4G มีคุณูปการเรื่องนี้ซะด้วยซ้ำ
การที่หลวงพี่แจ๊ส 4G ใช้รูปแบบนี้ มันอาจทำให้เรานึกถึงการโปรโมตของหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มใหญ่ ที่ยิ่งปล่อยตัวอย่างไว ก็ยิ่งได้เปรียบในการสร้างการรับรู้.. แม้หน้าหนังจริงก็อาจไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักหรอก แต่บางที การมีเวลาโปรโมตที่เพิ่มมากขึ้น ก็ทำให้มีวิธีเล่นเกมที่หลากหลายยิ่งกว่าเดิมได้อย่างไงล่ะ
3)
"เจ้าของหนัง คือ เจ้าของเครือโรงหนังที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศไทย"
แม้แรกเริ่ม หลวงพี่แจ๊ส 4G ก็ไม่ใช่หนังที่ถูกคลอดออกมาจากความต้องการของค่าย M Pictures หรอก (ตอนแรกเห็นว่าเป็นของ Mono) แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ทำให้ลิขสิทธิ์หนังมาอยู่กับค่ายหนังที่พัวพันกับ Major Cineplex.. ถึงกระนั้นมันก็เป็นไปแล้ว
ก็คงต้องยอมรับเรื่องหนึ่งอยู่ดีว่า หลวงพี่แจ๊ส 4G กลายเป็นหนังที่สร้างปรากฎการณ์ของปีนี้ได้ ด้วยการเทรอบฉายให้แบบจัดหนักจัดเต็ม เสมือนเป็นหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มใหญ่ เรื่องหนึ่ง ของโรงหนังที่อยู่ในเครือเดียวกับค่ายหนัง (หรือถ้ามองใกล้ๆตัวหน่อย ก็เหมือนกับที่หนังจาก GTH เคยได้รับโอกาสนี้มาหลายหน).. ซึ่งเหตุผลที่เป็นหนังจากตัวเอง มันก็เลยทำให้การกล้าจะทุ่มโรง ทุ่มรอบให้อย่างนี้ มันจึงเป็นอะไรที่ไม่ซีเรียสนัก และก็อาจรวมด้วยความมั่นใจ การหมั่นเชคกระแสก่อนหนังฉาย และยังรวมถึงการโปรโมตที่คิดว่ามาถูกทางแล้ว จึงทำให้ ไม่มีเหตุอันใดที่เมเจอร์ จะคิดว่าตัวเองต้องเสี่ยงดวงกับหนังเรื่องนี้เลย
แน่นอนว่า การที่รอบฉายมันมาก มันเอื้อให้คนมาดูหนัง มีความสบายใจที่จะจิ้มเวลาประมาณไหนก็ได้ เพราะมันก็ห่างกันไม่เกิน 15-30 นาที.. แล้วเรื่องนี้ก็แอบมีอิทธิพลนิดๆ กับคนที่บางที อาจไม่ได้ตั้งใจมาดูหลวงพี่แจ๊สหรอก แต่พอดีว่ารอบหนังเรื่องอื่นมันไม่อำนวยพอ และคิดว่าตนมาถึงแล้ว ก็ต้องการฆ่าเวลา เอาเป็นว่า หลวงพี่แจ๊ส นี่แหละลงตัวสุด
แม้ไอ้เรื่องหลังที่ว่า จะเป็นข่ายที่อาจมีโอกาสเป็นไปได้ไม่มาก แต่ก็น่าคิดนะว่า เพราะการถูกจำกัดทางเลือกอย่างนี้หรือเปล่า.. ถึงกลายเป็นกระแสที่พากันแอนตี้ หลวงพี่แจ๊ส 4G ไปโดยปริยาย ทั้งที่ความผิดนี้ มันน่าจะเป็นวาระกรรมของผู้จัดรอบหนังรวมทั้งผู้บริหารที่เห็นควร อาจจะต้องรับผิดชอบซะมากกว่า
4)
การเอ่ยถึง..พจน์ อานนท์ ที่แทบจะไม่มี
ณ จุดๆนี้ ผมแทบไม่ได้พูดถึง "พจน์ อานนท์" (พชร์ อภิรุจ) ซึ่งแทบไม่ได้มีอิทธิพลกับหนังเรื่องนี้ซะเท่าไหร่.. โอเคแหละ อาจจะมีแฟนที่เหนียวแน่นของพี่แก ที่รู้ว่าแกสร้างหนังเรื่องนี้ (อันนี้ ผมจะไม่พูดว่าแกกำกับ เพราะเครดิตตอนขึ้นท้ายเรื่อง มันเป็นของชื่ออื่น) แต่กับคนภายนอก นี่แทบจะไม่รู้เลยว่า พจน์ อานนท์ มีส่วนร่วมกับหนังเรื่องนี้
ก็อย่างที่หลายคนคอหนังรู้กันว่า พจน์ ถือว่าเป็นผู้กำกับหนังไทยสาย Cult คนหนึ่ง ที่หนังของแก ดูแค่ไม่กี่อย่างก็รู้ว่าเป็นหนังของ พจน์ และด้วยความที่ชื่อเสียงในระยะหลังๆ มักจะเป็นข่าวที่สร้างความอื้อฉาวให้ตัวเอง มันก็แอบส่งผลต่อหนังที่เจ้าตัวกำกับ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มคนดูหนังทั่วไปน้อยลงๆ เหลือแต่ความเหนียวแน่นของแฟนคลับ อาจจะที่ตัวแกเอง หรือนักแสดงในสังกัดของแก จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้หนังแบบพจน์ยังคงพอจะมีที่ทางไปต่อได้บ้าง
หัวข้อที่ผมพูดมา คือ ถ้าเรามองแบบคนนอก ที่ไม่ค่อยได้ตามข่าวหนังเลยจริงๆ ก็อาจจะไม่รู้ว่า หลวงพี่แจ๊ส 4G แกมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย (ถึงต่อให้ได้นักแสดงในสังกัดแก มาเป็นพระรอง ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ต้องนึกถึงน้อยมากๆ.. เพราะจะว่าไปเด็กแกก็ดังในกลุ่มเล็กๆด้วยซ้ำไป).. แต่หลวงพี่แจ๊ส 4G มันสร้างกระแสให้ตัวเอง จากสามหัวข้อบนอย่างที่ว่า โดยไม่อยู่ในร่มเงาของ พจน์ อานนท์ เลยด้วยซ้ำ
(ขอให้ลองสังเกตโปสเตอร์ หรือตัวอย่างหนัง.. ไม่มีการขายชื่อของ พจน์ อานนท์ เลยจริงๆ ซึ่งถ้าจำไม่พลาด ปกติหนังเรื่องอื่นๆในการดูแล ก็มักจะพ่วงมาตลอด)
ฉะนั้น มันอาจจะเป็นความรู้สึกเจ็บเบาๆของพจน์ ที่อาจกลายเป็นผู้ปิดทองหลังพระให้กับหนัง.. แต่การที่เจ้าตัวแทบไม่มีส่วนในการสร้างกระแส อาจเป็นเรื่องที่ดีของหนัง แม้ปัจจัยข้อที่สี่นี้ มันจะเป็นอะไรที่เล็กน้อยมากก็ตามเถอะ
ใน 4 ข้อที่กล่าวมา ไม่ได้มีเรื่องที่ว่า "เฮ้ย! นี่มันหนังในตระกูลหลวงพี่ เชียวนะ" ..ผมเชื่อว่า หลวงพี่เท่ง แทบจะไม่มีอิทธิพลในครั้งนี้เลย (และผมก็ยังไม่เห็นการออกมาพูดถึงหนังเรื่องนี้ของ
"โน้ต เชิญยิ้ม" ที่เป็นต้นตำหรับผู้ให้กำเนิดหนังชุดนี้เลย) จึงทำให้ไม่ได้ยกส่วนนี้มาเป็นปัจจัย
ลำพังแค่สามข้อบน (รวมอีกหนึ่งข้อเล็กๆน้อยๆ) ก็มีผลมากพอจะทำให้ หลวงพี่แจ๊ส 4G จะเป็นหนังไทยร้อยล้านของปีนี้ได้แล้ว
หมายเหตุ : ทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นมุมมองจากผมนะครับ ถ้าคิดต่างก็อยากให้เสนอความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันได้ ผมว่าการที่เรามาวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ มันอาจเป็นแหล่งข้อมูลที่ให้วิธีการทำการตลาดกับหนังไทยเรื่องอื่นๆ ได้ลองคิดตาม แล้วนำไปปรับใช้กันดู ถ้ามันจริงอย่างที่พวกเราว่า อาจเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมหนังไทยโดยรวมเลยด้วยซ้ำไป เผลอๆเราอาจจะหลุดจากด้านมืดของวงการหนังไทย ที่มีแต่หนังทรงนี้ให้ดูก็เป็นได้ แม้ตอนนี้จะได้แค่ Hope so.. ก็เถอะ
ปัจจัยแห่งความสำเร็จ...ที่ "หลวงพี่แจ๊ส 4G" กลายเป็นหนังไทยร้อยล้านของปีนี้
ตัวหนัง หลวงพี่นี้ ผมดูแล้ว ก็พูดตามเนื้อผ้าเลยว่า.. ไม่ใช่หนังที่ดี และถ้าไม่มี แจ๊ส คงเป็นหนังตลกฝืดหนักกว่านี้ สรุปง่ายๆ อยู่ในข่ายของหนังที่ดูแล้วเสียดายเงิน
แต่ผมก็จะไม่พูดว่า มันไม่น่าได้ร้อยล้านเลยจริงๆ.. เพราะถ้าเรามองโดยไม่มีอคติ ใช้สายตาในแง่เข้าใจกับภาวะการตลาดของหนังไทยที่มันทรงๆไปทางลบอยู่หลายเดือนมางี้ การปรากฏของหลวงพี่แจ๊ส มันอาจจะกลายเป็นจุดที่สร้างความตื่นตัวให้ตลาดหนังไทยได้ในปีนี้ ก็เป็นไปได้
ถึงกระนั้นสิ่งที่ผมคิดอาจจะผิด มันอาจเป็นกระแสเพียงชั่ววูบ เหมือนพลุที่จุดสว่างวาบๆ แล้วอันตรธานในไม่กี่อึดใจ.. แต่เอาเหอะ ก็รอดูกันต่อไป
สำหรับผม ปัจจัยแห่งความสำเร็จของ หลวงพี่แจ๊ส 4G มี.. ขอวิเคราะห์ออกมาเป็น 4 หัวข้อ ดังนี้
1) "แจ๊ส ชวนชื่น"
ก็ต้องยอมรับว่าตลกผู้นี้ กำลังอยู่ในกระแส ทำอะไรก็กลายเป็นข่าวง่ายดาย โดยเฉพาะการสร้างวงดนตรี "แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก" ที่กลายเป็นการแสดงจำอวดแขนงใหม่ ที่เอามาประยุกต์กับดนตรีได้อย่างเหมาะเหม็ง แม้จะถูกค่อนขอดที่ว่าเอามุกคาเฟ่เก่าๆมาหากิน (กลายเป็นเพลง "แว้นฟ้อหล่อเฟี้ยว" ที่เดี๋ยวสงกรานต์นี้ ก็จะกลับมาฮิตอีกระลอกหนึ่งแน่) หรือกระทั่งการพยายามใส่เบอร์แรงเพื่อสร้างกระแสให้ผลงานของตัวเอง (กับเพลง "ยับแม่" ที่เอ็มวีแรง จนแม่สั่งยับ..ยั้ง) แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี ว่าหมอนี่ เค้ากำลังมา และคงจะเป็นตลกที่ขายดี ได้อีกสักพักใหญ่ๆ แทบถึอว่าเป็นนักแสดงตลกที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน ในยุค No Cafe แบบนี้
เพราะอย่างนี้ การแปะชื่อเจ้าตัวให้กับหนัง หลวงพี่ เรื่องใหม่จึงแอบมีอิทธิพลเบาๆ ต่อการซื้อตั๋ว.. คนชอบผลงานของเจ้าตัวนี่ ไม่ได้มีแค่ผู้ชื่นชอบดูการแสดงตลกคาเฟ่เท่านั้น แต่ยังมีฐานขนาดใหญ่จากกลุ่มวัยรุ่น ที่แจ๊สกำลังไปได้ดีกับตลาดกลุ่มนี้ และก็กลุ่มนี้นี่แหละที่มันมีปริมาณมากพอ จะถูกยั่วใจให้เข้าไปดูหนังจนสร้างกระแสว่าที่ร้อยล้านได้อย่างนี้
2) "โปรโมตไว ย่อมได้เปรียบ"
เรื่องนี้ สำหรับผม ถือว่าน่าสนใจมากที่สุด!! เพราะโดยปกติ การโปรโมทหนังไทยมักจะใช้เวลาหลังจากปล่อยทีเซอร์ หรือโปสเตอร์ สิริรวมราวๆไม่เกิน 1 เดือน (กระทั่งหนังของอดีตค่าย GTH ก็อยู่ในข่ายนี้เช่นกัน)
แต่หลวงพี่แจ๊ส น่าจะเป็นครั้งหนึ่งที่กล้าเสี่ยง จะแหกรูปแบบการทำงานแต่เดิมมา ด้วยการปล่อยทีเซอร์ ที่ยังมาพร้อมกับเพลงประกอบหนังโดย แจ๊ส เอง ซึ่งนับจาก 19 มกราคม.. นี่ก็จะเท่ากับ หนังเริ่มสร้างกระแสให้ตัวเองมาแล้ว เกือบๆ 3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นานกว่าปกติของหนังไทยชัดๆเลย
(แล้ว MV ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสให้หนัง เพราะมีคนกดเข้ามาดูถึง 25 ล้านครั้ง)
แล้วหลังจากนั้น ก็พยายามจะระมัดระวังไม่ให้กระแสตก ด้วยการค่อยๆปล่อยสิ่งละอันพันละน้อย เพื่อให้คนดูยังรู้สึกอยากติดตาม และรอคอยหนังตัวอย่างจริงๆ ซื่งก็ได้ช่วงเวลาก่อนหน้าหนังฉายราว 1 เดือน เข้าสู๋ช่วงเวลาปกติของหนังไทยจะเป็นกัน ปล่อยตัวอย่างทางการที่ไม่ดองกับการเป็น MV
ผมว่า นี่เป็นการวางแผนที่ค่อนข้างชาญฉลาด คือตั้งต้นด้วย การล่อเหยื่อของแจ๊สด้วยการปล่อยงานเพลงชิ้นใหม่ หลังจาก แว้นฟ้อหล่อเฟี้ยว ที่ให้เห็นถึงความสามารถในด้าน Entertainer ได้สนุกของตัวแจ๊สเอง และให้เห็นภาพแวบๆจากหนัง พอเรียกน้ำย่อย เพื่อให้คนดูรับรู้ นี่คือหนังที่แจ๊สจะได้เป็นพระเอกกับเขาเสียที
จนมาใช้วิถีปกติ ซึ่งอาจจะเรียกเป็น Golden Time ของการโปรโมต 1 เดือนสุดท้าย ที่ให้คนดูได้เห็นเลยว่า ถ้าไปดูหนังเรื่องนี้ จะเจอมุขทางไหนบ้าง (และอาจจะเป็นการกวักมือเรียกแฟน หนังชุดหลวงพี่ หน้าเก่า.. ว่าสิ่งที่คุณคิดถึงกำลังจะกลับมา) และต้องยอมรับว่าไอ้การตัดต่อตัวอย่างของทีมงานกลุ่มนี้ มันดันใช้ได้ มุขที่แหลมออกมา แม้เป็นอะไรที่เดาทางได้ง่ายมาก แต่ผมยอมรับอยู่อย่างว่า แจ๊ส เป็นนักแสดงตลกที่เก่งกาจในด้านการเล่นจังหวะ ซึ่งถ้าเข้ามุก รู้จังหวะ ส่วนใหญ่แล้ว การจะเข้าเป้าคนดูมันก็ง่ายขึ้น
ยอมรับเลยละกันว่า ผมยอมเสียตังค์เข้าไปดู เพราะตัวอย่างตัวนี้เลยจริงๆ
การที่กล้าจะแหกทฤษฎีการโปรโมตวิถีเก่าๆดูบ้าง นี่นับเป็นวิธีการที่น่านำไปศึกษา สำหรับค่ายหนังอื่นๆเลย.. ผมมองว่า หลวงพี่แจ๊ส 4G มีคุณูปการเรื่องนี้ซะด้วยซ้ำ
การที่หลวงพี่แจ๊ส 4G ใช้รูปแบบนี้ มันอาจทำให้เรานึกถึงการโปรโมตของหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มใหญ่ ที่ยิ่งปล่อยตัวอย่างไว ก็ยิ่งได้เปรียบในการสร้างการรับรู้.. แม้หน้าหนังจริงก็อาจไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักหรอก แต่บางที การมีเวลาโปรโมตที่เพิ่มมากขึ้น ก็ทำให้มีวิธีเล่นเกมที่หลากหลายยิ่งกว่าเดิมได้อย่างไงล่ะ
3) "เจ้าของหนัง คือ เจ้าของเครือโรงหนังที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศไทย"
แม้แรกเริ่ม หลวงพี่แจ๊ส 4G ก็ไม่ใช่หนังที่ถูกคลอดออกมาจากความต้องการของค่าย M Pictures หรอก (ตอนแรกเห็นว่าเป็นของ Mono) แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ทำให้ลิขสิทธิ์หนังมาอยู่กับค่ายหนังที่พัวพันกับ Major Cineplex.. ถึงกระนั้นมันก็เป็นไปแล้ว
ก็คงต้องยอมรับเรื่องหนึ่งอยู่ดีว่า หลวงพี่แจ๊ส 4G กลายเป็นหนังที่สร้างปรากฎการณ์ของปีนี้ได้ ด้วยการเทรอบฉายให้แบบจัดหนักจัดเต็ม เสมือนเป็นหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มใหญ่ เรื่องหนึ่ง ของโรงหนังที่อยู่ในเครือเดียวกับค่ายหนัง (หรือถ้ามองใกล้ๆตัวหน่อย ก็เหมือนกับที่หนังจาก GTH เคยได้รับโอกาสนี้มาหลายหน).. ซึ่งเหตุผลที่เป็นหนังจากตัวเอง มันก็เลยทำให้การกล้าจะทุ่มโรง ทุ่มรอบให้อย่างนี้ มันจึงเป็นอะไรที่ไม่ซีเรียสนัก และก็อาจรวมด้วยความมั่นใจ การหมั่นเชคกระแสก่อนหนังฉาย และยังรวมถึงการโปรโมตที่คิดว่ามาถูกทางแล้ว จึงทำให้ ไม่มีเหตุอันใดที่เมเจอร์ จะคิดว่าตัวเองต้องเสี่ยงดวงกับหนังเรื่องนี้เลย
แน่นอนว่า การที่รอบฉายมันมาก มันเอื้อให้คนมาดูหนัง มีความสบายใจที่จะจิ้มเวลาประมาณไหนก็ได้ เพราะมันก็ห่างกันไม่เกิน 15-30 นาที.. แล้วเรื่องนี้ก็แอบมีอิทธิพลนิดๆ กับคนที่บางที อาจไม่ได้ตั้งใจมาดูหลวงพี่แจ๊สหรอก แต่พอดีว่ารอบหนังเรื่องอื่นมันไม่อำนวยพอ และคิดว่าตนมาถึงแล้ว ก็ต้องการฆ่าเวลา เอาเป็นว่า หลวงพี่แจ๊ส นี่แหละลงตัวสุด
แม้ไอ้เรื่องหลังที่ว่า จะเป็นข่ายที่อาจมีโอกาสเป็นไปได้ไม่มาก แต่ก็น่าคิดนะว่า เพราะการถูกจำกัดทางเลือกอย่างนี้หรือเปล่า.. ถึงกลายเป็นกระแสที่พากันแอนตี้ หลวงพี่แจ๊ส 4G ไปโดยปริยาย ทั้งที่ความผิดนี้ มันน่าจะเป็นวาระกรรมของผู้จัดรอบหนังรวมทั้งผู้บริหารที่เห็นควร อาจจะต้องรับผิดชอบซะมากกว่า
4) การเอ่ยถึง..พจน์ อานนท์ ที่แทบจะไม่มี
ณ จุดๆนี้ ผมแทบไม่ได้พูดถึง "พจน์ อานนท์" (พชร์ อภิรุจ) ซึ่งแทบไม่ได้มีอิทธิพลกับหนังเรื่องนี้ซะเท่าไหร่.. โอเคแหละ อาจจะมีแฟนที่เหนียวแน่นของพี่แก ที่รู้ว่าแกสร้างหนังเรื่องนี้ (อันนี้ ผมจะไม่พูดว่าแกกำกับ เพราะเครดิตตอนขึ้นท้ายเรื่อง มันเป็นของชื่ออื่น) แต่กับคนภายนอก นี่แทบจะไม่รู้เลยว่า พจน์ อานนท์ มีส่วนร่วมกับหนังเรื่องนี้
ก็อย่างที่หลายคนคอหนังรู้กันว่า พจน์ ถือว่าเป็นผู้กำกับหนังไทยสาย Cult คนหนึ่ง ที่หนังของแก ดูแค่ไม่กี่อย่างก็รู้ว่าเป็นหนังของ พจน์ และด้วยความที่ชื่อเสียงในระยะหลังๆ มักจะเป็นข่าวที่สร้างความอื้อฉาวให้ตัวเอง มันก็แอบส่งผลต่อหนังที่เจ้าตัวกำกับ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มคนดูหนังทั่วไปน้อยลงๆ เหลือแต่ความเหนียวแน่นของแฟนคลับ อาจจะที่ตัวแกเอง หรือนักแสดงในสังกัดของแก จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้หนังแบบพจน์ยังคงพอจะมีที่ทางไปต่อได้บ้าง
หัวข้อที่ผมพูดมา คือ ถ้าเรามองแบบคนนอก ที่ไม่ค่อยได้ตามข่าวหนังเลยจริงๆ ก็อาจจะไม่รู้ว่า หลวงพี่แจ๊ส 4G แกมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย (ถึงต่อให้ได้นักแสดงในสังกัดแก มาเป็นพระรอง ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ต้องนึกถึงน้อยมากๆ.. เพราะจะว่าไปเด็กแกก็ดังในกลุ่มเล็กๆด้วยซ้ำไป).. แต่หลวงพี่แจ๊ส 4G มันสร้างกระแสให้ตัวเอง จากสามหัวข้อบนอย่างที่ว่า โดยไม่อยู่ในร่มเงาของ พจน์ อานนท์ เลยด้วยซ้ำ
(ขอให้ลองสังเกตโปสเตอร์ หรือตัวอย่างหนัง.. ไม่มีการขายชื่อของ พจน์ อานนท์ เลยจริงๆ ซึ่งถ้าจำไม่พลาด ปกติหนังเรื่องอื่นๆในการดูแล ก็มักจะพ่วงมาตลอด)
ฉะนั้น มันอาจจะเป็นความรู้สึกเจ็บเบาๆของพจน์ ที่อาจกลายเป็นผู้ปิดทองหลังพระให้กับหนัง.. แต่การที่เจ้าตัวแทบไม่มีส่วนในการสร้างกระแส อาจเป็นเรื่องที่ดีของหนัง แม้ปัจจัยข้อที่สี่นี้ มันจะเป็นอะไรที่เล็กน้อยมากก็ตามเถอะ
ใน 4 ข้อที่กล่าวมา ไม่ได้มีเรื่องที่ว่า "เฮ้ย! นี่มันหนังในตระกูลหลวงพี่ เชียวนะ" ..ผมเชื่อว่า หลวงพี่เท่ง แทบจะไม่มีอิทธิพลในครั้งนี้เลย (และผมก็ยังไม่เห็นการออกมาพูดถึงหนังเรื่องนี้ของ "โน้ต เชิญยิ้ม" ที่เป็นต้นตำหรับผู้ให้กำเนิดหนังชุดนี้เลย) จึงทำให้ไม่ได้ยกส่วนนี้มาเป็นปัจจัย
ลำพังแค่สามข้อบน (รวมอีกหนึ่งข้อเล็กๆน้อยๆ) ก็มีผลมากพอจะทำให้ หลวงพี่แจ๊ส 4G จะเป็นหนังไทยร้อยล้านของปีนี้ได้แล้ว
หมายเหตุ : ทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นมุมมองจากผมนะครับ ถ้าคิดต่างก็อยากให้เสนอความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันได้ ผมว่าการที่เรามาวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ มันอาจเป็นแหล่งข้อมูลที่ให้วิธีการทำการตลาดกับหนังไทยเรื่องอื่นๆ ได้ลองคิดตาม แล้วนำไปปรับใช้กันดู ถ้ามันจริงอย่างที่พวกเราว่า อาจเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมหนังไทยโดยรวมเลยด้วยซ้ำไป เผลอๆเราอาจจะหลุดจากด้านมืดของวงการหนังไทย ที่มีแต่หนังทรงนี้ให้ดูก็เป็นได้ แม้ตอนนี้จะได้แค่ Hope so.. ก็เถอะ