“ฟืดด....” เสียงสูดลมหายใจเข้าเต็มที่ด้วยความฟิน รู้สึกได้ถึงลมเย็นที่ไหลเข้าสู่ปอดทั้งสองข้าง “เอ้ย...นี้เจ๋งกว่าที่เราคิดอีก” ผมคิดกับตัวเองระหว่างนั่งบนม้านั่งหินกลางสวนซึ่งเต็มไปด้วยต้นเมเปิลที่ผลัดใบออกจนเกือบหมด สายตามองไปรอบๆสะดุดตากับใบไม้ 5 แฉกสีแดงสดตกอยู่ตามพื้นเป็นกองรอบๆโคนต้นไม้ สีแดงของใบไม้กับสีเขียวของหญ้าตัดกันช่างสวยเหลือเกิน....

สวัสดีครับผมนายเนิร์ดเนชั่นขอย้อนเข็มนาฬิกากลับไป 4 ชัวโมงก่อน .... ”ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด" เสียงสั่นจาก iPhone5 เครื่องเก่า ลอยมาพร้อมเสียง Marimba สุด Classic ทำให้ผมตื่นจากความฝัน ง้างมือควานหาแว่นที่วางไว้บนหัวเตียงพร้อมสไลส์ปิดนาฬิกาปลุกบนมือถือซึ่งบอกเวลา 6.30 นาฟิกา แบกร่างตัวเองเข้าไปในห้องน้ำยานอวกาศขนาด 2x1.5 เมตร ของห้องพักแบบ Single Bed ชั้น 12 โรงแรม Urban Minami-Kusatsu ผมใช้เวลาไม่นานเลยในการอาบน้ำและแต่งตัว อาจจะเรียกได้ว่าวิ่งผ่านน้ำแล้วยัดตัวเข้าเสื้อก็น่าจะได้ (ผมขออนุญาตตัดส่วนของความรู้สึกขณะใช้ที่ล้างก้นอัตโนมัติออก ถึงอยากที่จะบรรยายถึงความฟินของน้ำอุ่นๆที่ฉีดก้น... พอ!!!) หลังจากทำภาระกิจส่วนตัวเสร็จ หยิบ Canon EOS M3 พร้อมเลนส์ Kit คู่ใจเดินไปเคาะประตูห้องข้างๆ “โอเค ปะ!” ซาโกวคุณอาผมขาวสั้นผู้ใจดีเปิดประตูออกมาดูพร้อมบอกกับผมด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
ลมเย็นๆของเดือนธันวาคมกระทบใบหน้าเราทั้งสองคนระหว่างที่ประตูอัตโนมัติหน้าโรงแรมเปิดออก ด้วยวันนี้เป็นวันที่ 4 ของการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น เราต่างไม่พูดพร่ำทำเพลงก้าวเท้าเข้า Family Mart ที่อยู่ถัดจากโรงแรมไปเพียง 5 เมตร หยิบข้าวปั้นไส้แซลมอลย่างและปลาแห้งราคาชิ้นละ 110 เยน ติดมือก่อนขึ้นรถไฟไปจุดหมายปลายทางในเช้าวันนี้
รถไฟแล่นไปตามรางด้วยความเร็ว หน้าต่างบานใหญ่ริมที่นั่งเหมือนทีวีจอยักขนาด 52 นิ้วที่ฉายภาพบ้านเมืองซึ่งค่อยๆ Dissovle ไปเป็นเป็นภูเขา ทะเลสาป ทุ่งนาและลำธาร ชาวจังหวัดชิงะในชุดสูตรและชุดนักเรียนสีดำเต็มโบกี้ต่างกำลังมุ่งมั่นออกเดินทางไปทำงานและเรียนหนังสือในเช้าวันแรกของสัปดาห์ ผมโชคดีได้นั่งริมหน้าต่าง ตรงข้ามนั้นเป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายหน้าตาน่ารักนั่งเล่นมือถืออยู่ ผมหยิบมือถือขึ้นมาเช็คแผนที่แก้เขิน คิดทบทวนเส้นทางที่นั่ง Search หามาเมื่อคืน “Mamonaku, Hikone” (จะถึงเมืองฮิโคเนะแล้วนะจ๊ะ) เสียงจากลำโพงดังขึ้นพร้อมกับความตื่นตัวของคนในขบวนรถไฟ
คลื่นมนุษย์ไหลบ่าไปตามทางจากในรถไฟออกสู่สถานี เราค่อยๆเคลื่อนตัวชิวๆปลิวตามหลังไปอย่างไม่เร่งรีบ เนื่องจากเวลานั้นเป็นเวลา 8.00 นาฬิกาตรง มีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าที่ปราสาทฮิโคเนะ จะเปิดทำการในเวลา 8.30 นาฬิกา แต่สิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจก็คือความว่างเปล่าของท้องถนนที่ปราศจากผู้คน มันแตกต่างกับภายในสถานีเมื้อกี้โดยสิ้นเชิง มีเพียงนักท่องเที่ยวชาวเอเชียในเสื้อกันหนาวสีเหลือยืนถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์ทซามูไร (Ii Naomasa) ซึ่งสวมชุดเกราะเต็มยศนั่งบนหลังม้าอยู่บนเนินเล็กๆกลางวงเวียนหน้าสถานีรถไฟฮิโคเนะ ด้านข้างมีแบบจำลองของปราสาทฮิโคเนะเล็กๆวางอยู่อย่างไม่ค่อยจะเข้ากันนัก

ลานหน้าสถานีรถไฟมีรูปปั้นท่าน Ii Naomasa ตั้งอยู่
ถนนเส้นตรงมุ่งสู่ภูเขาอันไร้ผู้คนดูเหมือนจะทำให้เสียงหัวเราะของผมดังกว่าที่ควรจะเป็น “ฮาฮาฮา น่ารัก” ผมหัวเราะและพูดขึ้นมาพลางหยุดมองไปที่รูปปั้นแมวหน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง(ซึ่งต่อมาพวกเราลงความเห็นร่วมกันว่าน่าจะเป็นร้านแกะสลักรูปปั้นหิน) เจ้าแมวขาวใส่หมวกซามูไรสีแดงตัวนี้มีชื่อน่ารักน่ารักว่า “ฮิโคเนียน” มันไม่ใช้ใครอื่น เจ้ามาสคอตประจำปราสาทฮิโคเนะเองนั้นแหละ เราใช้เวลาเดินไม่นาน ก็ถึงจุดหมาย (20 นาทีเอง) บริเวณทางเข้าเราจะต้องเดินผ่านสะพานไม้เก่าเตี้ยๆที่ทอดข้ามคูน้ำเข้ามาด้านในก่อนที่จะเจอกับจุดขายตั๋วซึ่งเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวเล็กๆอยู่บริเวณตีนเขา
“Two for Castle?” คุณลุงยิ้มถามด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นลอดออกมาจากหน้าต่างไม้บานเล็กของจุดขายตั๋ว “Yes, sir” ผมตอบพร้อมเก็บ 2 นิ้ว “สู้ตาย” ลง ควักแบงค์พันและเศษเหรียญ 200 เยน ในกระเป๋ายื่นให้คุณลุงไป
บันไดหินที่ทำขึ้นอย่างดีสำหรับนักท่องเที่ยวถูกโอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่สองข้างทางตัดกับรั้วไม้ไผ่เตี้ยๆสีน้ำตาลนำพาเราสู่ด้านบน ความตื่นเต้นทวีคูณขึ้นทุกขณะที่เท้าก้าวไปสู่บันไดอีกขั้น มองขึ้นไปด้านหน้าเราเห็นเพียงกำแพงหินสูงขวางอยู่เหมือนเป็นทางตัน แต่พอเราเดินไปจนสุดปลายบันได พื้นที่ด้านซ้ายของเราก็เปิดออกเป็นทางเดินขนานด้วยกำแพงหินสองด้าน มองขึ้นไปมีสะพานไม้(สะพาน Rokabashi)พาดสูงอยู่เหนือหัวเราไปราวๆ 5-6 เมตร ซึ่งสะพานนี้แหละจะพาเราเข้าสู่กำแพงชั้นต่อไป
ทางเดินตรงนี้ทำให้ผนหวนนึกถึงฉากหนึ่งในเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาค 2 ตอนที่พระมหาอุปราชาสั่งทัพหงสาเข้าตีเมืองคังซึ่งมีชัยภูมิอยู่บนภูเขา(เหมือนปราสาทนี้แหละ) ทางเข้าเมืองมีเพียงถนนเล็กๆเวียนขึ้นไป เหมือนเป็นเส้นทางแห่งความตายที่ทหารฝ่ายตรงข้ามสามารถยิงธนู ข้างหิน หรือเทน้ำมันพร้อมไฟลงมาใส่พวกเราได้ ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่เงื้อมมือมัจจุราช “ทิ้งหินใส่ทัพหงสาบัดเดียวนี้” ทราย เจริญปุระกล่าวขณะยืนมองเราจากบนกำแพงเมือง ผมตะโกนบอกซาโกวให้หลบก้อนหินขนาดเท่ารถโฟล์คได้อย่างฉิวเฉียด.... เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นก่อนนะนายกลับมาฮิโคเนะก่อน
ด้านในกำแพงชั้นที่สองเรายังคงต้องเดินขึ้นเขาไปตามบันไดหินเรื่อยๆ แต่แทนที่จะถูกขนาบด้วยกำแพงทั้งสองข้าง พื่นที่กลับเปิดโล่งออกให้เห็นถึงวิวอันสวยงามของเมือง เราเดินเลี้ยวศอกหัก เห้ย! หักศอกตรงระฆังใบใหญ่ เข้าไปในซุ้มประตูอีกชั้นหนึ่ง(ประตู Taiko Mon) ก่อนที่จะขึ้นบันไดหินออกสู่ลานกว้าง "ผ่าง!!!" (คำบรรยายภาษาไทยในการ์ตูนญี่ปุ่นแสดงถึงความอล่างฉ่างและความยิ่งใหญ่ 18+) ปราสาทสามชั้นบนฐานหินที่เรียงกันอย่างดี ตั่งอยู่อย่างสง่างาม ณ ลานกว้างบนยอดเขาแห่งนี้โดยมีท้องฟ้าสีครามเป็นฉากหลัง
ตัวปราสาทดูเล็กมากเมื่อเทียบกับปราสาทชื่อดังในภูมิภาคคันไซอย่างปราสาทโอซาก้าและปราสาทฮิเมจิ แต่ความเล็กของมันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด เรากับรู้สึกถึงความขลังและพลังของมัน(ขนลุกซู่) เพราะปราสาทนี้ยังคงสะภาพเดิมไม่ต่างไปจากยุคที่มันถูกสร้างขึ้น เราพยายามเก็บลายละเอียดของปราสาทให้ได้เร็วที่สุด ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง จนเราค้นพบว่ามีทางเดินเล็กๆไปที่หลังปราสาท (เสียดายไม่ได้เข้าไปด้านในปราสาทเพราะเวลาไม่พอ)
ด้านหลังปราสาทนี้เป็นสวนกว้างที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มีวิวของเมืองฮิโคเนะแบบ 270 องศาเป็นฉากหลัง ซาโกวกำลังตื่นเต้นอยู่กับวิวของทะเลสาบบิวะ (ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น) ทางด้านหลังของสวน ขณะที่ผมเลือกที่นั่งลงบนเก้าอี้หินที่วางอยู่กลางสวน "ฟืดด....” เสียงสูดลมหายใจเข้าเต็มที่ด้วยความฟิน สายตามองไปรอบๆสะดุดตากับใบไม้สีแดงสดตกอยู่ตามพื้นเป็นกองรอบๆโคนต้นไม้ สีแดงของใบไม้กับสีเขียวของหญ้าตัดกันช่างสวยเหลือเกิน ผมสังเกตเห็นว่า ที่นี้ไม่ได้มีแค่เพียงต้นเมเปิล แต่ยังมีต้นซากูระแทรกอยู่เป็นจุดๆ ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนต้องสวยไปอีกแบบแน่ๆ
ถึงเวลาที่ต้องโบกมืออำลาแล้ว พวกเราทำใจทิ้งปราสาทฮิโคเนะหนึ่งใน 4 ปราสาทที่เป็นสมบัติแห่งชาติของญี่ปุ่นไว้เบื่องหลัง มุ่งหน้าไปทางท้ายสวน อาคารสีขาวชั้นเดียวตั้งอยู่ตรงมุมทางด้านทิศตะวันตกบีบให้เราเดินเบี่ยงไปทางขวาและอีกครั้งนึงที่กำแพงหินปรากฏขึ้น
เราต้องเดินผ่านสะพานไม้ข้ามคูลึกที่มีหญ้าเขียวขึ้นเต็มไปหมด ในยามคับขันสะพานแห่งนี้คงจะถูกทำลายลงเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึกบุกเข้ามาถึงตัวปราสาทเป็นแน่แท้(สำนวนเก๊าเก่า) ลานเล็กๆที่ต่อจากสะพานไม้ก่อนถึงบันไดทางลงเขานั้น มีต้นเมเปิลต้นใหญ่อยู่อีกต้นนึง แต่แทนที่ใบของมันจะร่วงเหมือนกับเพื่อนๆในสวน มันกลับเก็บใบสีแดงสวยไว้บนต้นให้เราได้เชยชม ถือเป็นโชคดีของเราที่ได้เห็น ก่อนหน้านี้พยากรอากาศแจ้งว่าที่โอซาก้า เกียวโต และชิงะ มีฝนตก 2-3 วัน ทำให้ปีนี้ใบไม้เปลี่ยนสีบ้างไม่เปลี่ยนสีบ้าง
ผมดื่มด่ำกับทุกๆอย่างที่อยู่รอบๆตัว จนลืมไปว่าการเดินทางในเช้านี้ไม่ได้อยู่ในแผนการทริปมหากาพย์เที่ยวกินช๊อปของเราแต่อย่างใด ความสนุกและตื่นเต้นล้วนเกิดขึ้นจากการไม่รู้และไม่เตรียมตัวของเรา (ครั้งหน้าจะลองไปแบบไม่เปิดแผนที่ดูบ้าง 555) มันคงจะเหมือนกับการไปดูหนังซักเรื่อง ถ้าเรารู้เนื้อเรื่องซะทั้งหมด หรือถ้าเราถูกคน Spoil ตอนจบของหนังก่อนได้เข้าไปดูจริงในโรง หนังเรื่องนั้นคงจะไม่สนุกแน่
ถึงแม้หนังเรื่องนี้ควรจะจบลงด้วยฉาก selfy แบบ Happy Ending ที่ตันใต้เมเปิลยักย์ต้นนั้นพร้อม credits วิ่งๆจอดำๆแล้วก็ตาม พอเราลงมาถึงตีนเขา เราก็ต้องตกใจกับ post-credits (อย่างที่หนัง Superhero ชอบทำกัน) ถนนดินที่เปียกชื้นใต้อุโมงค์ต้นไม้นำพาเราไปสู่ทางออก ใบไม้สองข้างทางมีทั้งเหลืองทั้งแดงทั้งเขียวสลับกันไปตลอดทาง ดูสวยงามแปลกตา ถือเป็นการจบทริปที่เลอร์ค่ามากเลยทีเดียวครับ

เวลาผ่านมาแล้วกว่า 4 เดือนที่ผมได้ก้าวเท้าเข้าเหยียบเมืองฮิโคเนะ การได้กลับมาดูรูปที่เราถ่ายและหาข้อมูลสถานที่ที่เราไปมาแล้วนั้น เป็นโบนัสชั้นดีสำหรับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ต้องต่อสู้กับ TQF3 TQF5(เอกสารประกันคุณภาพการศึกษา) จนไม่มีเวลาไปเที่ยวมากนัก มันเหมือนผมได้กลับไปที่นั้นอีกครั้งพร้อมข้อมูลที่อัดแน่น ภาพความทรงจำดิบๆของฮิโคเนะกับข้อมูลจากเวปไซด์ WWW.JCASTLE.INFO ไหลมาผสมกันจนออกมาเป็น infographic ขนาด A4 ในหัวเหม่งๆของผม (ผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะลืมนับขั้นบันไดที่ขึ้นไปปราสาท เหมือนอย่างที่เคยทำตอนเดินขึ้นบันได 306 ขั้นของพระธาตุดอยสุเทพในครั้งแรก) ที่ฮิโคเนะยังมีอะไรอีกเยอะที่ผมพลาดไป คงต้องวางแผนกลับไปเยี่ยมเจ้าฮิโคเนียนใหม่ซะแล้วละครับ / THE END
"MAMONAKU, HIKONE" ถึงแล้วนะเมืองฮิโคเนะ
สวัสดีครับผมนายเนิร์ดเนชั่นขอย้อนเข็มนาฬิกากลับไป 4 ชัวโมงก่อน .... ”ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด" เสียงสั่นจาก iPhone5 เครื่องเก่า ลอยมาพร้อมเสียง Marimba สุด Classic ทำให้ผมตื่นจากความฝัน ง้างมือควานหาแว่นที่วางไว้บนหัวเตียงพร้อมสไลส์ปิดนาฬิกาปลุกบนมือถือซึ่งบอกเวลา 6.30 นาฟิกา แบกร่างตัวเองเข้าไปในห้องน้ำยานอวกาศขนาด 2x1.5 เมตร ของห้องพักแบบ Single Bed ชั้น 12 โรงแรม Urban Minami-Kusatsu ผมใช้เวลาไม่นานเลยในการอาบน้ำและแต่งตัว อาจจะเรียกได้ว่าวิ่งผ่านน้ำแล้วยัดตัวเข้าเสื้อก็น่าจะได้ (ผมขออนุญาตตัดส่วนของความรู้สึกขณะใช้ที่ล้างก้นอัตโนมัติออก ถึงอยากที่จะบรรยายถึงความฟินของน้ำอุ่นๆที่ฉีดก้น... พอ!!!) หลังจากทำภาระกิจส่วนตัวเสร็จ หยิบ Canon EOS M3 พร้อมเลนส์ Kit คู่ใจเดินไปเคาะประตูห้องข้างๆ “โอเค ปะ!” ซาโกวคุณอาผมขาวสั้นผู้ใจดีเปิดประตูออกมาดูพร้อมบอกกับผมด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
ลมเย็นๆของเดือนธันวาคมกระทบใบหน้าเราทั้งสองคนระหว่างที่ประตูอัตโนมัติหน้าโรงแรมเปิดออก ด้วยวันนี้เป็นวันที่ 4 ของการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น เราต่างไม่พูดพร่ำทำเพลงก้าวเท้าเข้า Family Mart ที่อยู่ถัดจากโรงแรมไปเพียง 5 เมตร หยิบข้าวปั้นไส้แซลมอลย่างและปลาแห้งราคาชิ้นละ 110 เยน ติดมือก่อนขึ้นรถไฟไปจุดหมายปลายทางในเช้าวันนี้
รถไฟแล่นไปตามรางด้วยความเร็ว หน้าต่างบานใหญ่ริมที่นั่งเหมือนทีวีจอยักขนาด 52 นิ้วที่ฉายภาพบ้านเมืองซึ่งค่อยๆ Dissovle ไปเป็นเป็นภูเขา ทะเลสาป ทุ่งนาและลำธาร ชาวจังหวัดชิงะในชุดสูตรและชุดนักเรียนสีดำเต็มโบกี้ต่างกำลังมุ่งมั่นออกเดินทางไปทำงานและเรียนหนังสือในเช้าวันแรกของสัปดาห์ ผมโชคดีได้นั่งริมหน้าต่าง ตรงข้ามนั้นเป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายหน้าตาน่ารักนั่งเล่นมือถืออยู่ ผมหยิบมือถือขึ้นมาเช็คแผนที่แก้เขิน คิดทบทวนเส้นทางที่นั่ง Search หามาเมื่อคืน “Mamonaku, Hikone” (จะถึงเมืองฮิโคเนะแล้วนะจ๊ะ) เสียงจากลำโพงดังขึ้นพร้อมกับความตื่นตัวของคนในขบวนรถไฟ
คลื่นมนุษย์ไหลบ่าไปตามทางจากในรถไฟออกสู่สถานี เราค่อยๆเคลื่อนตัวชิวๆปลิวตามหลังไปอย่างไม่เร่งรีบ เนื่องจากเวลานั้นเป็นเวลา 8.00 นาฬิกาตรง มีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าที่ปราสาทฮิโคเนะ จะเปิดทำการในเวลา 8.30 นาฬิกา แต่สิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจก็คือความว่างเปล่าของท้องถนนที่ปราศจากผู้คน มันแตกต่างกับภายในสถานีเมื้อกี้โดยสิ้นเชิง มีเพียงนักท่องเที่ยวชาวเอเชียในเสื้อกันหนาวสีเหลือยืนถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์ทซามูไร (Ii Naomasa) ซึ่งสวมชุดเกราะเต็มยศนั่งบนหลังม้าอยู่บนเนินเล็กๆกลางวงเวียนหน้าสถานีรถไฟฮิโคเนะ ด้านข้างมีแบบจำลองของปราสาทฮิโคเนะเล็กๆวางอยู่อย่างไม่ค่อยจะเข้ากันนัก
ลานหน้าสถานีรถไฟมีรูปปั้นท่าน Ii Naomasa ตั้งอยู่
ถนนเส้นตรงมุ่งสู่ภูเขาอันไร้ผู้คนดูเหมือนจะทำให้เสียงหัวเราะของผมดังกว่าที่ควรจะเป็น “ฮาฮาฮา น่ารัก” ผมหัวเราะและพูดขึ้นมาพลางหยุดมองไปที่รูปปั้นแมวหน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง(ซึ่งต่อมาพวกเราลงความเห็นร่วมกันว่าน่าจะเป็นร้านแกะสลักรูปปั้นหิน) เจ้าแมวขาวใส่หมวกซามูไรสีแดงตัวนี้มีชื่อน่ารักน่ารักว่า “ฮิโคเนียน” มันไม่ใช้ใครอื่น เจ้ามาสคอตประจำปราสาทฮิโคเนะเองนั้นแหละ เราใช้เวลาเดินไม่นาน ก็ถึงจุดหมาย (20 นาทีเอง) บริเวณทางเข้าเราจะต้องเดินผ่านสะพานไม้เก่าเตี้ยๆที่ทอดข้ามคูน้ำเข้ามาด้านในก่อนที่จะเจอกับจุดขายตั๋วซึ่งเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวเล็กๆอยู่บริเวณตีนเขา
“Two for Castle?” คุณลุงยิ้มถามด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นลอดออกมาจากหน้าต่างไม้บานเล็กของจุดขายตั๋ว “Yes, sir” ผมตอบพร้อมเก็บ 2 นิ้ว “สู้ตาย” ลง ควักแบงค์พันและเศษเหรียญ 200 เยน ในกระเป๋ายื่นให้คุณลุงไป บันไดหินที่ทำขึ้นอย่างดีสำหรับนักท่องเที่ยวถูกโอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่สองข้างทางตัดกับรั้วไม้ไผ่เตี้ยๆสีน้ำตาลนำพาเราสู่ด้านบน ความตื่นเต้นทวีคูณขึ้นทุกขณะที่เท้าก้าวไปสู่บันไดอีกขั้น มองขึ้นไปด้านหน้าเราเห็นเพียงกำแพงหินสูงขวางอยู่เหมือนเป็นทางตัน แต่พอเราเดินไปจนสุดปลายบันได พื้นที่ด้านซ้ายของเราก็เปิดออกเป็นทางเดินขนานด้วยกำแพงหินสองด้าน มองขึ้นไปมีสะพานไม้(สะพาน Rokabashi)พาดสูงอยู่เหนือหัวเราไปราวๆ 5-6 เมตร ซึ่งสะพานนี้แหละจะพาเราเข้าสู่กำแพงชั้นต่อไป
ทางเดินตรงนี้ทำให้ผนหวนนึกถึงฉากหนึ่งในเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาค 2 ตอนที่พระมหาอุปราชาสั่งทัพหงสาเข้าตีเมืองคังซึ่งมีชัยภูมิอยู่บนภูเขา(เหมือนปราสาทนี้แหละ) ทางเข้าเมืองมีเพียงถนนเล็กๆเวียนขึ้นไป เหมือนเป็นเส้นทางแห่งความตายที่ทหารฝ่ายตรงข้ามสามารถยิงธนู ข้างหิน หรือเทน้ำมันพร้อมไฟลงมาใส่พวกเราได้ ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่เงื้อมมือมัจจุราช “ทิ้งหินใส่ทัพหงสาบัดเดียวนี้” ทราย เจริญปุระกล่าวขณะยืนมองเราจากบนกำแพงเมือง ผมตะโกนบอกซาโกวให้หลบก้อนหินขนาดเท่ารถโฟล์คได้อย่างฉิวเฉียด.... เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นก่อนนะนายกลับมาฮิโคเนะก่อน
ด้านในกำแพงชั้นที่สองเรายังคงต้องเดินขึ้นเขาไปตามบันไดหินเรื่อยๆ แต่แทนที่จะถูกขนาบด้วยกำแพงทั้งสองข้าง พื่นที่กลับเปิดโล่งออกให้เห็นถึงวิวอันสวยงามของเมือง เราเดินเลี้ยวศอกหัก เห้ย! หักศอกตรงระฆังใบใหญ่ เข้าไปในซุ้มประตูอีกชั้นหนึ่ง(ประตู Taiko Mon) ก่อนที่จะขึ้นบันไดหินออกสู่ลานกว้าง "ผ่าง!!!" (คำบรรยายภาษาไทยในการ์ตูนญี่ปุ่นแสดงถึงความอล่างฉ่างและความยิ่งใหญ่ 18+) ปราสาทสามชั้นบนฐานหินที่เรียงกันอย่างดี ตั่งอยู่อย่างสง่างาม ณ ลานกว้างบนยอดเขาแห่งนี้โดยมีท้องฟ้าสีครามเป็นฉากหลัง
ตัวปราสาทดูเล็กมากเมื่อเทียบกับปราสาทชื่อดังในภูมิภาคคันไซอย่างปราสาทโอซาก้าและปราสาทฮิเมจิ แต่ความเล็กของมันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด เรากับรู้สึกถึงความขลังและพลังของมัน(ขนลุกซู่) เพราะปราสาทนี้ยังคงสะภาพเดิมไม่ต่างไปจากยุคที่มันถูกสร้างขึ้น เราพยายามเก็บลายละเอียดของปราสาทให้ได้เร็วที่สุด ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง จนเราค้นพบว่ามีทางเดินเล็กๆไปที่หลังปราสาท (เสียดายไม่ได้เข้าไปด้านในปราสาทเพราะเวลาไม่พอ)
ด้านหลังปราสาทนี้เป็นสวนกว้างที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มีวิวของเมืองฮิโคเนะแบบ 270 องศาเป็นฉากหลัง ซาโกวกำลังตื่นเต้นอยู่กับวิวของทะเลสาบบิวะ (ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น) ทางด้านหลังของสวน ขณะที่ผมเลือกที่นั่งลงบนเก้าอี้หินที่วางอยู่กลางสวน "ฟืดด....” เสียงสูดลมหายใจเข้าเต็มที่ด้วยความฟิน สายตามองไปรอบๆสะดุดตากับใบไม้สีแดงสดตกอยู่ตามพื้นเป็นกองรอบๆโคนต้นไม้ สีแดงของใบไม้กับสีเขียวของหญ้าตัดกันช่างสวยเหลือเกิน ผมสังเกตเห็นว่า ที่นี้ไม่ได้มีแค่เพียงต้นเมเปิล แต่ยังมีต้นซากูระแทรกอยู่เป็นจุดๆ ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนต้องสวยไปอีกแบบแน่ๆ
ถึงเวลาที่ต้องโบกมืออำลาแล้ว พวกเราทำใจทิ้งปราสาทฮิโคเนะหนึ่งใน 4 ปราสาทที่เป็นสมบัติแห่งชาติของญี่ปุ่นไว้เบื่องหลัง มุ่งหน้าไปทางท้ายสวน อาคารสีขาวชั้นเดียวตั้งอยู่ตรงมุมทางด้านทิศตะวันตกบีบให้เราเดินเบี่ยงไปทางขวาและอีกครั้งนึงที่กำแพงหินปรากฏขึ้น
เราต้องเดินผ่านสะพานไม้ข้ามคูลึกที่มีหญ้าเขียวขึ้นเต็มไปหมด ในยามคับขันสะพานแห่งนี้คงจะถูกทำลายลงเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึกบุกเข้ามาถึงตัวปราสาทเป็นแน่แท้(สำนวนเก๊าเก่า) ลานเล็กๆที่ต่อจากสะพานไม้ก่อนถึงบันไดทางลงเขานั้น มีต้นเมเปิลต้นใหญ่อยู่อีกต้นนึง แต่แทนที่ใบของมันจะร่วงเหมือนกับเพื่อนๆในสวน มันกลับเก็บใบสีแดงสวยไว้บนต้นให้เราได้เชยชม ถือเป็นโชคดีของเราที่ได้เห็น ก่อนหน้านี้พยากรอากาศแจ้งว่าที่โอซาก้า เกียวโต และชิงะ มีฝนตก 2-3 วัน ทำให้ปีนี้ใบไม้เปลี่ยนสีบ้างไม่เปลี่ยนสีบ้าง
ผมดื่มด่ำกับทุกๆอย่างที่อยู่รอบๆตัว จนลืมไปว่าการเดินทางในเช้านี้ไม่ได้อยู่ในแผนการทริปมหากาพย์เที่ยวกินช๊อปของเราแต่อย่างใด ความสนุกและตื่นเต้นล้วนเกิดขึ้นจากการไม่รู้และไม่เตรียมตัวของเรา (ครั้งหน้าจะลองไปแบบไม่เปิดแผนที่ดูบ้าง 555) มันคงจะเหมือนกับการไปดูหนังซักเรื่อง ถ้าเรารู้เนื้อเรื่องซะทั้งหมด หรือถ้าเราถูกคน Spoil ตอนจบของหนังก่อนได้เข้าไปดูจริงในโรง หนังเรื่องนั้นคงจะไม่สนุกแน่
ถึงแม้หนังเรื่องนี้ควรจะจบลงด้วยฉาก selfy แบบ Happy Ending ที่ตันใต้เมเปิลยักย์ต้นนั้นพร้อม credits วิ่งๆจอดำๆแล้วก็ตาม พอเราลงมาถึงตีนเขา เราก็ต้องตกใจกับ post-credits (อย่างที่หนัง Superhero ชอบทำกัน) ถนนดินที่เปียกชื้นใต้อุโมงค์ต้นไม้นำพาเราไปสู่ทางออก ใบไม้สองข้างทางมีทั้งเหลืองทั้งแดงทั้งเขียวสลับกันไปตลอดทาง ดูสวยงามแปลกตา ถือเป็นการจบทริปที่เลอร์ค่ามากเลยทีเดียวครับ
เวลาผ่านมาแล้วกว่า 4 เดือนที่ผมได้ก้าวเท้าเข้าเหยียบเมืองฮิโคเนะ การได้กลับมาดูรูปที่เราถ่ายและหาข้อมูลสถานที่ที่เราไปมาแล้วนั้น เป็นโบนัสชั้นดีสำหรับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ต้องต่อสู้กับ TQF3 TQF5(เอกสารประกันคุณภาพการศึกษา) จนไม่มีเวลาไปเที่ยวมากนัก มันเหมือนผมได้กลับไปที่นั้นอีกครั้งพร้อมข้อมูลที่อัดแน่น ภาพความทรงจำดิบๆของฮิโคเนะกับข้อมูลจากเวปไซด์ WWW.JCASTLE.INFO ไหลมาผสมกันจนออกมาเป็น infographic ขนาด A4 ในหัวเหม่งๆของผม (ผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะลืมนับขั้นบันไดที่ขึ้นไปปราสาท เหมือนอย่างที่เคยทำตอนเดินขึ้นบันได 306 ขั้นของพระธาตุดอยสุเทพในครั้งแรก) ที่ฮิโคเนะยังมีอะไรอีกเยอะที่ผมพลาดไป คงต้องวางแผนกลับไปเยี่ยมเจ้าฮิโคเนียนใหม่ซะแล้วละครับ / THE END