SME โปรดระวัง เรือเล็กไม่ควรไปไกลฝั่ง

เป็นกระทู้เล่าสู่กันฟังครับหลังจากที่มีหลายคนบ่นๆเรื่องพิษเศรษฐกิจในช่วงนี้
ผมเองทำธุรกิจสิ่งพิมพ์และสื่อโฆษณาครับ ก็ยอมรับว่างานช่วงนี้หดหายไประดับนึง หลังจากวิ่งสำรวจตลาดมาอีกรอบก็พอจะทราบ
สาเหตุคร่าวๆ ปกติงานพิมพ์สื่อโฆษณาเนี่ยยิ่งช่วงเศรษฐกิจไม่ดีก็จะยิ่งมาพิมพ์กัน เพียงแต่ขอต่อราคาต่ำกว่าราคาปกติที่เคยทำหน่อย
อันนี้ก็พอรับได้ ตอนนี้งานที่ร้านลดลงจนรู้สึกได้ (จากงบการเงิน 555 )

สาเหตุแรกก็คือ  ลูกค้าเดิม รัดเข็มขัด ก็ยังมาทำอยู่นะแต่ปริมาณลดลง ขอต่อราคาลง อันนี้ก็ดูปกติสำหรับสภาพการณ์แบบนี้

สาเหตุต่อมา ผู้ประกอบการใหม่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เฉพาะต้นปีนี้ที่จังหวัดผมเปิดร้านป้าย เปิดโรงพิมพ์กัน เกือบสิบร้าน
ไปเลียบๆเคียงๆถามดูก็พบว่า ออกจากงานมากันซะส่วนใหญ่ ได้เงินมาก้อนนึง เลยเอามาลงทุน ประกอบกับช่วงนี้เครื่องจีนถูก
เหมือนได้เปล่า เลยจัดกันซะ  บางร้านผู้ปกครองได้เงินบำเหน็จมา ก็มาเปิดร้านให้ลูกหลาน อันนี้ไม่เฉพาะธุรกิจสิ่งพิมพ์นะครับ
ผมทำพวกสื่อโฆษณาดังนั้นพอจะทราบว่า ร้านใหม่ๆเกิดขึ้นเยอะ ร้านเก่าๆบางร้านก็หายไปจากตลาด แต่ช่วงเศรษฐกิจแบบนี้
กลายเป็นว่า มีคนขายมากกว่าคนซื้อไปแล้ว ต่อมาก็จะเกิดการแข่งราคากันละ ใครสายป่านยาวก็หมดช้าหน่อย

อันนั้นก็เป้นสาเหตุในจังหวัดผมที่ดูว่าลูกค้าบางตาไป

ทีนี้อีกเรื่องที่อยากให้ SME ระวังเพราะผมเจอซ้ำซ้อนกันหลายครั้งคือ เก็บหนี้ไม่ได้

ปกติ ลูกค้าผมจะมีอยู่ 3 กลุ่มครับ

กลุ่มแรก คือ กลุ่ม SME ด้วยกัน คือกลุ่มพ่อค้าแม่ค้านี่ล่ะครับ กลุ่มนี้ไม่ค่อยมีปัญหา ทำงานเรื่อยๆ ปริมาณไม่มาก มูลค่าไม่มาก
แต่ได้เงินสด ราคาหน้าร้านรับได้ วางมัดจำก่อนได้ รับของจ่ายตังค์ บางรายจ่ายก่อนเลยกลัวเราไม่ทำให้

กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่ในท้องถิ่น กลุ่มนี้โดยมากเป็นกลุ่มอสังหาฯ ที่โตขึ้นมาตามความเจริญของพื้นที่
ดังนั้นจึงก้ำกึ่งกับคำว่ามีระบบและไม่มีระบบ กลุ่มนี้มักจะขอราคาต่ำสุดๆ มีปริมาณงานมากในระดับนึง

กลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ คือบริษัทในนิคมอุตสาหกรรมหรือ บริษัทในกรุงเทพฯหลายแห่งที่ต้องการจัดทำสื่อโฆษณา
ในพื้นที่ต่างจังหวัดกลุ่มนี้มีระบบชัดเจนครับ ราคาคุยกันแล้วยืนกันยาวๆ ครบรอบวางบิลก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรถ้าพนักงานไม่ทำ
เอกสารผิดพลาด

ที่อยากเตือนเพื่อนๆ SME ให้ระวังคือกลุ่มที่สองนี่ล่ะครับ ผมเจอเคสคล้ายๆกันมาหลายเคส จนป่านนี้ยังเก็บหนี้ไม่ได้ก็หลายตังค์อยู่
อยากจะตะโกนดังๆ ว่าผมทำโรงพิมพ์นะครับไม่ได้ทำโรงทาน ราคาต่ำ คุยกันว่าเป็นเงินสด พอถึงเวลาเก็บตังค์ขอเครดิต 60 วัน
พอไปรับเช็คตีเช็คล่วงหน้าไปอีก 60 วัน กลุ่มนี้ PO หรือสัญญาไม่ค่อยมีครับเป็นลูกเถ้าแก่ขับเบ๊นซ์ ขับบีเอ็มเข้ามาคุยที่ร้านเลย
ซึ่งคนในพื้นที่ก็รู้จักกันอยู่แล้วด้วยความไว้ใจก็รับงานไว้ บางราย สั่งงานเสร็จ ถึงเวลาเก็บตังค์ ยิ้มให้แล้วบอกว่า พี่ไม่มีหรอกไอ้น้อง
บ้านยังขายไม่ได้เลย ชิหายละ 555  เงินทุนผมเองก็เงินหมุนครับไม่ใช่เงินเย็น ดอกเบี้ยก็เสีย รายจ่ายทั้งลูกน้อง วัตถุดิบต้องจ่ายตรง
เวลา ไม่งั้นเครดิตก็ไม่เหลือให้เดินต่อ

ไม่รู้ว่าเวรกรรมตามทันมั้ย ก่อนมาทำธุรกิจ ผมเคยทำงานบริษัทมาก่อน บริษัทใหญ่ที่เดียวละ วิกฤตปี 50 เคยได้รับนโยบายให้ดึง
หนี้ไม่น้อยกว่า 60 วันสำหรับคู่ค้าทุกราย ซัพพลายเออร์แต่ละรายมาหาผมขอให้เห็นใจ ผมก็ไปคุยกับผู้บริหารที่ใหญ่กว่าผม
ก็ได้รับคำตอบที่กินใจว่า  ก็เลือกเอา ว่าจะเห็นใจซัพพลายเออร์ที่ขายของแล้วไม่ได้เงิน หรือจะเห็นใจลูกน้องที่อาจไม่มีเงินจ่าย
เงินเดือน วิกฤตแบบนี้ใครก็ต้องเอาตัวเองรอดไว้ก่อนทั้งนั้น ....
โอ้ ... กลืนน้ำลายเอื๊อกกลับออกมา โทรไปขอโทษคู่ค้าทั้งหลาย...ว่าทำเต็มที่แล้ว   วันนี้เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง
เลยครับ

ช่วงนี้บริษัทใหญ่ๆกลุ่มที่สาม ยังคงไม่มีปัญหาครับ SME กลุ่ม 1 ก็ยังเข้าออกอยู่ในตลาดกันเป็นปกติต่อไป เหลือกลุ่มที่สองนี่ล่ะครับ
ที่ผมต้องวางกลยุทธ์ในการรับมือใหม่ จะปฏิเสธไปเลยในอนาคตพ้นวิกฤตแล้วก็อาจเสียลูกค้ากันไปเลย ตอนนี้คงได้แต่กำหนด
วงเงินให้กับลูกค้ากลุ่มนี้ล่ะครับปล่อยจนสุดสายป่านไม่ได้แล้ว ตอนที่พิมพ์อยู่นี่ก็ยังปวดหัวอยู่ กับหนี้ของลูกหนี้กลุ่มนี้และกระแสเงินสด
ในมือ ... ก็ต้องดิ้นรนกันต่อไปครับ...

จบการบ่น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่