กรณ์ ณรงค์เดช เสียงดีหรือหน้าตาดี ความอยู่รอดที่ เคพีเอ็น ต้องเลือก!

หลังจากอ่านสัมภาษณ์คุณกรณ์แล้วรู้สึกเข้าใจรายการประกวดแนว reality มากขึ้นในแง่ของการทำธุรกิจ เป็นคนนึงที่เคยโจมตี KPN Award กับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่เหมือนไปลอกมาจาก The Star AF จนทำให้ความขลังของเวทีสยามกลการในอดีตหายไปเกือบหมด เชื่อว่าถ้าไปส้มภาษณ์คุณบอย ถกลเกียรติ จากค่ายแอกแซคก็คงได้คำตอบคล้ายๆกัน ส่วนตัวเป็นคนชอบดูประกวดร้องเพลงมาก ทั้งของไทยและต่างประเทศ ตอนนี้ติดตาม KPN The Battle Series  The Star 12 อยู่ ชอบ concept KPN ปีนี้มากเพราะได้ฟังนักร้องอาชีพจริงๆมาแข่งขันเรื่องคุณภาพการร้องหายห่วง ส่วน The Star ทำใจมาหลายปีแล้วว่าเสียงร้องไม่ใช่จุดขายหลักแม้ตัวเองจะเชียร์สายพลังเสียงมาตลอด 11 ปี บางปีก็สมหวังบางปีต้องบอกว่าผิดหวังอย่างแรง แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเป็นความโชคดีที่คนดูอย่างเรามีทางเลือกมากขึ้นเยอะด้วยเวทีประกวดที่หลากหลายสไตล์กันไป อยากฟังคนพ่นไฟก็ดู KPN The Voice อยากดูเพื่อความบันเทิงมองเด็กๆวัยรุ่นหน้าตาดีเพื่อมาเป็นพระเอกนางเอกต่อไปก็มี The Star AF อีกรายการที่ชอบตอนนี้ I Can See Your Voice ที่รูปแบบไม่ซ้ำใครแต่ตอนนี้เริ่มเบื่อหน่อยๆกับมุกเดิมๆ

นี่คือบางส่วนจากบทส้มภาษณ์ (อ่านเต็มๆได้จาก link ด้านล่าง)

พอต้องมาปั้น เคพีเอ็น อวอร์ด ยุคใหม่ หนักใจมั้ย เพราะตอนคุณหญิงพรทิพย์ท่านทำติดตลาดมาก
"ต้องยอมรับว่าหนักใจครับ ถ้าถามส่วนตัวผมว่าการติดตลาดมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือแน่นอนเป็นใบบุญที่คุณแม่สร้างไว้ให้ทุกอย่าง แต่ข้อเสียคืออะไรก็ตามที่อยู่มา 20-30 ปี พอเราเปลี่ยนนิดนึงมันก็จะเปลี่ยนไปจากความเคยชินของคน คนก็ด่าเราเละเลยครับ (หัวเราะ) ปีแรกๆ ก็เสียศูนย์พอสมควร เพราะว่าที่ผ่านมาเราทำธุรกิจคือธุรกิจเราไม่เคยทำอะไรที่เข้าถึงผู้บริโภคจริงๆ และเป็นยุคที่กระแสโซเชียลทำให้ทุกอย่างมาถึงตัวเราหมด ปีแรกๆ โอ้โหหนัก"

ปรับอย่างไรบ้าง
"พลิกโฉมหมดเลยครับ ทำให้ดูเป็นเกมมากขึ้น ให้มีสีสันสนุกสนานมากขึ้น และยอมรับตรงๆ ว่ามีการเลือกหน้าตามากขึ้น แทนที่จะเลือกเสียงอย่างเดียว เพราะเราต้องการเอาไปต่อยอด ซึ่งการทำอย่างนี้เราก็โดนวิจารณ์กระหน่ำซัมเมอร์เซลส์มาก (ยิ้ม)"

แต่เราก็ยังมีจุดยืนที่หนักแน่น
"ช่วงปีแรกๆ ยอมรับว่าเขวพอสมควร แต่หลังจากนั้น เราก็ต้องเอามาชั่งน้ำหนักดูว่าเวลาคนติ ติเพื่อก่อหรือว่าติไปเรื่อย ถ้าติไปเรื่อยเราก็ปล่อยผ่าน แต่ถ้าติเพื่อก่อ เราก็รับฟังและปรับปรุง เพราะเชื่อว่าหลายคนก็ยังรักรายการนี้อยู่ ก็ปรับกันไปเรื่อยๆ จนมาเข้าที่เข้าทางปีที่ 2 ปีที่ 3"

รางวัลนี้จะภาพค่อนข้างขลังจนดูโบราณ แก้จุดนี้อย่างไร

"ทำตัวให้เด็กลง (หัวเราะ) ส่วนตัวรูปแบบรายการทุกครั้งที่จบแต่ละซีซั่น เราจะมีการทำรีเสิร์จ มีการทำโฟกัสกรุ๊ป สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง เพราะว่าไม่อยากนั่งเทียนว่าสิ่งที่เราคิดมันถูกมั้ย เราอยากเอาฟีดแบ็กของคนดูกลับมา เพื่อปรับให้ดีขึ้น ให้รู้ว่าตลาดปัจจุบันต้องการอะไร"

แต่ละซีซั่นมีวิธีการแบบไหนในการเลือกเด็กเข้ามาในรายการ
"ค่อนข้างมีสูตรนะ ว่าคนที่มาประกวดจะต้องมีประเด็นในระดับหนึ่ง เราต้องชั่งน้ำหนักเสียงดีต้องมีส่วนหนึ่ง สองคนที่อาจจะร้องไม่แข็งแรงแต่หน้าตาดีก็เอาไปต่อยอดได้ก็ต้องมีส่วนหนึ่ง หรือบางคนเด็กที่มีคาแรกเตอร์แบบนี้ทุกรายการต้องมี เป็นตัวแซ่บ เป็นตัวสีสัน เป็นตัวดราม่า พูดจริงๆ เลยก็คือเราก็ต้องบรีฟกรรมการไปคร่าวๆ ว่าเราอยากได้ 3 รูปแบบนี้นะครับ"

เคพีเอ็น ให้น้ำหนักกลุ่มไหนมากกว่ากัน ระหว่างหน้าตาดีต่อยอดได้กับเสียงดี
"พอๆ กันครับ แต่ถ้าเอาหน้าตาดีอย่างเดียวแต่ร้องเงือกมากคนก็ไม่ดู และต้องยอมรับความจริงด้วยว่าเสียงดีหมดสุดท้ายจบแล้วเอาไปทำอะไรไม่ได้ก็เหนื่อยเปล่า"

ด้วยภาพลักษณ์เวทีนี้ต้องเสียงดีระดับพ่นไฟ ถือเป็นข้อเสียเปรียบของเวทีเราหรือเปล่า
"ก็ต้องยอมรับว่าใช่ พูดง่ายๆ ว่าทำอะไรก็ผิดไปหมด (หัวเราะ) อย่างปีนี้ครบ 25 ปีเราก็เลยอยากเอากลับมาที่จุดดั้งเดิมในเรื่องของเสียง ซึ่งคนดูเขาก็เปิดใจให้เรา โอเคเราก็รู้ว่าเป็นแบบนี้คนดูเขาแฮปปี้ รายการสนุก แต่จบไปแล้วจะต่อยอดได้หรือไม่ก็แล้วแต่ ให้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"

ถ้าจะมองว่าเด็กของ เคพีเอ็น ยังไม่โดนใจตลาดเท่าที่ควรได้มั้ยคะ
"จริงๆ เราก็วัดจากการเติบโตในเรื่องรายได้ของเด็กแต่ละคน ถามว่าทุกวันนี้ประกวดร้องเพลงมั้ยใช่ แต่เอาไปเป็นนักร้องไม่ เปล่า ก็คือเอาไปเป็นดารา ถ้าถามในส่วนของดาราว่าประสบความสำเร็จหรือเปล่า ผมค่อนข้างแฮปปี้ในเรื่องรายได้โตขึ้นเรื่อยๆ อย่างในเรื่องของตัวผลงาน ปีที่แล้วเด็กเรามีละครทั้งหมด 19 เรื่อง กับ 10 สถานี ก็ถือว่ามีความหลากหลายและไปได้ไกลขึ้น"

http://www.thairath.co.th/content/599355
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่