รีวิว Batman vs Superman หนังยอดมนุษย์ที่ไม่ใช่สำหรับทุกคน A- 8.2/10
ชอบ :
- โทนหนังจริงจัง ผู้ใหญ่
- การเล่าเรื่องที่ไม่รีบแต่พยายามใส่รายละเอียดต่างๆ เข้ามา
- เป็นหนังที่เปิดตัวฮีโร่แบบมืดๆ ของ DC ได้ดี
ไม่ชอบ :
- หนังแตะประเด็นใหญ่โตในหลายเรื่อง แต่ไม่มีคำตอบใดๆ คือเหมือนพูดเอาเท่ๆ ไม่เหมือนใน Watchmen ที่ฟินไปเลยในตอนจบ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปดู :
- ถ้าคุณไม่เคยอ่านการ์ตูน DC มาก่อน คุณจะงงและรู้สึกว่าหนังมันน่าเบื่อ เพราะว่าหนังเต็มไปด้วยการอ้างอิงจากหนังสือการ์ตูน เกม และหนัง Man of steel โดยใส่เข้ามาเลยและไม่เล่าว่ามันคืออะไร ซึ่งบางอย่างมีความหมายกับตัวละครมากๆ ถ้าอยากดูต้องไปหาอ่านมาก่อน แนะนำ Injustice : Gods among us, The dark knight returns
- ถ้าคุณไปดูหนังเรื่องนี้เพื่อความบันเทิงแบบ Transformers หรือแม้แต่ ฮีโร่ของ Marvel คุณอาจต้องผิดหวัง เพราะหนังมันไม่ได้ทำขึ้นเพื่อคนดูวงกว้างมาก (จริงๆ น่าจะเฉพาะแฟนการ์ตูนด้วยซ้ำ) และมันถูกกำกับโดย ผู้กำกับ Man of steel ที่มีฉาก Action 40 นาที (ผมหลับแล้วหลับอีก) คือผู้กำกับนี่แฟนของ Comics ประมาณหนึ่งเลย
หนังคล้ายๆ กันที่คุณน่าจะชอบ :
Watchmen (แต่เรื่องนั้นดีกว่า ชัดกว่า แต่ฟิลลิ่งคล้ายๆ กัน)
ความเห็น :
หนังตราตึงผมมากในช่วงแรกๆ และด้วยจังหวะที่แน่นและโยนประเด็นต่างๆ เข้ามามากมาย ทำให้เอนจอยในการคิดไปด้วย สนุกอยู่ ประเด็นพวกนี้ก็ยังน่าสนใจและทำให้เรามาคิดต่ออะไรได้อีกมากมาย
เช่นประเด็นของฉากเปิดเรื่องที่อ้างอิงเหตุการณ์ 9/11 แบบสุดขีด และคำถามเหมือนที่คนอเมริกันถามหลัง 9/11 คือ หลังจากนี้เราจะอยู่กันอย่างไร กฏของโลกใหม่คืออะไร ในการอยู่รอดเราจำเป็นที่จะต้องไม่เลือกวิธีการที่จะต่อสู้กับความเลวใช่หรือไม่ แล้วถ้าเราใช้ความเลวต่อสู้ความเลวแล้วมันจะเป็นยังไง
หรือประเด็นเรื่องความเป็น "พระเจ้า" ของ Superman "คนดี" จะต้องถูกตรวจสอบมั้ย แล้วถ้าวันหนึ่งคนดีกลายเป็นคนเลว หรืออาจจะทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวละจะทำยังไง และจริงๆ แล้ว คนดี หรือ คนเลวก็ คนคนหนึ่ง มีผิดพลาด มีหวั่นไหว
ยังมีประเด็นอะไรแบบนี้มากมาย โยนเข้ามาตลอดเรื่องเช่น จิตวิทยาของเด็กผู้ชายกับแม่ และอื่นๆ อีกมากมาย แบบว่าใช้คำใหญ่ๆ เยอะๆ มาเต็ม
จนเมื่อเข้าสู่ส่วนหลังๆ ที่เริ่มเป็นฉากต่อสู้ ดูเหมือนหนังเริ่มจะหลุดมือผู้กำกับและเขาก็เผยธาตุแท้มาว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นผู้กำกับมิวสิควิดิโอที่ชอบเรื่องภาพมากกว่าเนื้อหา (ฮ่า) คำถามเหล่านั้นไม่ได้รับคำตอบ แถมยังมุ่งไปที่ตีกันดีกว่า
และด้วยเหตุผลนี่แหละ ที่ทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันไม่สามารถต่อกรกับไตรภาคของโนแลนด์ได้เลย มันไม่มีความคิดหลักที่สานหนังเรื่องนี้เข้าไว้ด้วยกัน มีแต่ความเยอะทั้งในประเด็นและภาพแต่ไม่ลึก ในขณะที่โนแลนชัดมากว่า แต่ละภาคของดาร์คไนท์เป็นเรื่องของอะไร
แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่สนุกนะครับ เพราะว่าในความเป็นจริงจะพูดว่า ผู้กำกับ เอาหนังไม่อยู่เลยก็เกินไป เพราะเขาสามารถเล่าเรื่องที่มันไม่น่าจะเล่าได้ง่ายๆ ออกมาให้ต่อเนื่อง เอนจอยได้ดีทีเดียว อีกทั้งการวางฐานไปสู่ Justice league ก็สนุกเป็นเหมือนตัวต่อที่โยนเข้ามาเป็นระยะ (ซึ่งตรงนี้แหละที่อาจทำให้คนงง ถ้าไม่รู้เรื่องจักรวาล DC มาก่อน)
มีหลายคนพูดว่าถ้าหนังตัด Justice League ออกไปเลยน่าจะดีกว่านี้แล้วขอประเด็นแบทกับซุปแบบคมๆ ผมไม่เห็นด้วย ยกเว้นบทมันจะคมมากๆ และพาเราไปสู่คำตอบในระดับ The Dark Knight และคิดว่า ผู้กำกับไม่น่าทำได้ แซคไม่ใช่คนที่ทำหนังแนวลึกมาก ฉากต่อสู้ 40 นาทีใน Man of steel ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า แซคแนวไหน
แต่ถ้าให้เทียบกับสายมาเวล (ซึ่งจริงๆ ไม่ควรเทียบกันมันคนละแนว) ผมว่า BVS ทำได้ดีนะครับ แสดงความต่างอย่างชัดเจน และทำให้เห็นว่า DC มองอนาคตแฟรนไชส์ไว้ยังไงหลังจากพยายามแล้วล่มมาหลายรอบ ครั้งนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นการเปิดที่สวยงามในแง่รายได้และจุดยืน อาจไม่พอใจนักวิจารณ์แต่ได้ใจแฟนการ์ตูนไปเยอะเหมือนกัน
สรุป ไปดูโรงถ้าคุณเป็นแฟนการ์ตูน หนังมีงานภาพและดนตรีที่สะใจ พร้อมประเด็นหนักๆ ที่โยนมาให้คิดต่อ ถึงไม่ไปฝังฝั่นแต่ก็ไม่เลวรายนะ
Page :
https://www.facebook.com/maewginoreview/
รีวิว Batman vs Superman หนังยอดมนุษย์ที่ไม่ใช่สำหรับทุกคน A- 8.2/10
ชอบ :
- โทนหนังจริงจัง ผู้ใหญ่
- การเล่าเรื่องที่ไม่รีบแต่พยายามใส่รายละเอียดต่างๆ เข้ามา
- เป็นหนังที่เปิดตัวฮีโร่แบบมืดๆ ของ DC ได้ดี
ไม่ชอบ :
- หนังแตะประเด็นใหญ่โตในหลายเรื่อง แต่ไม่มีคำตอบใดๆ คือเหมือนพูดเอาเท่ๆ ไม่เหมือนใน Watchmen ที่ฟินไปเลยในตอนจบ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปดู :
- ถ้าคุณไม่เคยอ่านการ์ตูน DC มาก่อน คุณจะงงและรู้สึกว่าหนังมันน่าเบื่อ เพราะว่าหนังเต็มไปด้วยการอ้างอิงจากหนังสือการ์ตูน เกม และหนัง Man of steel โดยใส่เข้ามาเลยและไม่เล่าว่ามันคืออะไร ซึ่งบางอย่างมีความหมายกับตัวละครมากๆ ถ้าอยากดูต้องไปหาอ่านมาก่อน แนะนำ Injustice : Gods among us, The dark knight returns
- ถ้าคุณไปดูหนังเรื่องนี้เพื่อความบันเทิงแบบ Transformers หรือแม้แต่ ฮีโร่ของ Marvel คุณอาจต้องผิดหวัง เพราะหนังมันไม่ได้ทำขึ้นเพื่อคนดูวงกว้างมาก (จริงๆ น่าจะเฉพาะแฟนการ์ตูนด้วยซ้ำ) และมันถูกกำกับโดย ผู้กำกับ Man of steel ที่มีฉาก Action 40 นาที (ผมหลับแล้วหลับอีก) คือผู้กำกับนี่แฟนของ Comics ประมาณหนึ่งเลย
หนังคล้ายๆ กันที่คุณน่าจะชอบ :
Watchmen (แต่เรื่องนั้นดีกว่า ชัดกว่า แต่ฟิลลิ่งคล้ายๆ กัน)
ความเห็น :
หนังตราตึงผมมากในช่วงแรกๆ และด้วยจังหวะที่แน่นและโยนประเด็นต่างๆ เข้ามามากมาย ทำให้เอนจอยในการคิดไปด้วย สนุกอยู่ ประเด็นพวกนี้ก็ยังน่าสนใจและทำให้เรามาคิดต่ออะไรได้อีกมากมาย
เช่นประเด็นของฉากเปิดเรื่องที่อ้างอิงเหตุการณ์ 9/11 แบบสุดขีด และคำถามเหมือนที่คนอเมริกันถามหลัง 9/11 คือ หลังจากนี้เราจะอยู่กันอย่างไร กฏของโลกใหม่คืออะไร ในการอยู่รอดเราจำเป็นที่จะต้องไม่เลือกวิธีการที่จะต่อสู้กับความเลวใช่หรือไม่ แล้วถ้าเราใช้ความเลวต่อสู้ความเลวแล้วมันจะเป็นยังไง
หรือประเด็นเรื่องความเป็น "พระเจ้า" ของ Superman "คนดี" จะต้องถูกตรวจสอบมั้ย แล้วถ้าวันหนึ่งคนดีกลายเป็นคนเลว หรืออาจจะทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวละจะทำยังไง และจริงๆ แล้ว คนดี หรือ คนเลวก็ คนคนหนึ่ง มีผิดพลาด มีหวั่นไหว
ยังมีประเด็นอะไรแบบนี้มากมาย โยนเข้ามาตลอดเรื่องเช่น จิตวิทยาของเด็กผู้ชายกับแม่ และอื่นๆ อีกมากมาย แบบว่าใช้คำใหญ่ๆ เยอะๆ มาเต็ม
จนเมื่อเข้าสู่ส่วนหลังๆ ที่เริ่มเป็นฉากต่อสู้ ดูเหมือนหนังเริ่มจะหลุดมือผู้กำกับและเขาก็เผยธาตุแท้มาว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นผู้กำกับมิวสิควิดิโอที่ชอบเรื่องภาพมากกว่าเนื้อหา (ฮ่า) คำถามเหล่านั้นไม่ได้รับคำตอบ แถมยังมุ่งไปที่ตีกันดีกว่า
และด้วยเหตุผลนี่แหละ ที่ทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันไม่สามารถต่อกรกับไตรภาคของโนแลนด์ได้เลย มันไม่มีความคิดหลักที่สานหนังเรื่องนี้เข้าไว้ด้วยกัน มีแต่ความเยอะทั้งในประเด็นและภาพแต่ไม่ลึก ในขณะที่โนแลนชัดมากว่า แต่ละภาคของดาร์คไนท์เป็นเรื่องของอะไร
แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่สนุกนะครับ เพราะว่าในความเป็นจริงจะพูดว่า ผู้กำกับ เอาหนังไม่อยู่เลยก็เกินไป เพราะเขาสามารถเล่าเรื่องที่มันไม่น่าจะเล่าได้ง่ายๆ ออกมาให้ต่อเนื่อง เอนจอยได้ดีทีเดียว อีกทั้งการวางฐานไปสู่ Justice league ก็สนุกเป็นเหมือนตัวต่อที่โยนเข้ามาเป็นระยะ (ซึ่งตรงนี้แหละที่อาจทำให้คนงง ถ้าไม่รู้เรื่องจักรวาล DC มาก่อน)
มีหลายคนพูดว่าถ้าหนังตัด Justice League ออกไปเลยน่าจะดีกว่านี้แล้วขอประเด็นแบทกับซุปแบบคมๆ ผมไม่เห็นด้วย ยกเว้นบทมันจะคมมากๆ และพาเราไปสู่คำตอบในระดับ The Dark Knight และคิดว่า ผู้กำกับไม่น่าทำได้ แซคไม่ใช่คนที่ทำหนังแนวลึกมาก ฉากต่อสู้ 40 นาทีใน Man of steel ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า แซคแนวไหน
แต่ถ้าให้เทียบกับสายมาเวล (ซึ่งจริงๆ ไม่ควรเทียบกันมันคนละแนว) ผมว่า BVS ทำได้ดีนะครับ แสดงความต่างอย่างชัดเจน และทำให้เห็นว่า DC มองอนาคตแฟรนไชส์ไว้ยังไงหลังจากพยายามแล้วล่มมาหลายรอบ ครั้งนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นการเปิดที่สวยงามในแง่รายได้และจุดยืน อาจไม่พอใจนักวิจารณ์แต่ได้ใจแฟนการ์ตูนไปเยอะเหมือนกัน
สรุป ไปดูโรงถ้าคุณเป็นแฟนการ์ตูน หนังมีงานภาพและดนตรีที่สะใจ พร้อมประเด็นหนักๆ ที่โยนมาให้คิดต่อ ถึงไม่ไปฝังฝั่นแต่ก็ไม่เลวรายนะ
Page : https://www.facebook.com/maewginoreview/