สวัสดีครับเพื่อนๆ สมาชิกทุกท่าน
ไม่กี่วันก่อน ผมได้มีโอกาสได้ไปโบกรถเที่ยวกับชาวต่างชาติ เป็นการท่องเที่ยวเมืองไทยในอีกแง่มุมนึง
เลยอยากจะมาเล่าประสบการณ์กับเพื่อนๆ สมาชิกครับ
ทีแรกตั้งใจจะทำเป็นกระทู้รีวิว แต่เรื่องมันไม่ใช่แค่เกี่ยวกะสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่พักโดยตรง เลยขอเล่าเป็นบันทึกการเดินทางดีกว่าครับ
สำนวนการเล่า อาจจะดูประหลาดๆ นิดนึงนะครับ เรื่องราวที่เกิดขึ้นระว่างทางมันเยอะมาก
และแน่นอน ผมเขียนเอง เล่าในมุมมองของตัวเอง ผมก็ต้องเป็นพระเอกของงาน แหะๆ

(สรรพนามที่ใช้เรียกอีกคนอาจจะไม่รื่นหูนัก มีมันมีแกบ้าง เพราะถือว่าตอนเที่ยวด้วยกันนี่เป็นเพื่อนกันแล้ว บางทีก็เหมือนเอาเพื่อนมานินทาให้ฟังไปหน่อย ป่านนี้เจ้าตัวคงจามฮัดชิ้วๆ อยู่ที่ลาวแล้ว555)
ขอนุญาตเกริ่นที่มาที่ของการเดินทางครั้งนี้ก่อนนะครับ ซับซ้อนนิดนึง แต่ยาวมากๆ เลยขอซ่อนไว้ในสปอยล์ เผื่อใครอยากข้ามไปตอนเริ่มเดินทางเลยจะได้สะดวกหน่อย
อ้อ...อันนี้ล็อกอินผมเอง ไม่ได้ยืมใครมาทั้งนั้นครับ

ไม่มีเพจให้แปะ
แต่ถ้าใครอยากอ่านกระทู้การเดินทางเก่าๆ ของผมก่อนหน้านี้ (มีกระทู้เดียวเอง พูดเหมือนเยอะ)
จะเข้าไปหาเองก็ได้
หรือจะเข้าตรงนี้ก็ได้ครับ ตามสะดวก
http://pantip.com/topic/32790301
คำเตือน : กระทู้ยาวมากครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จุดเริ่มต้นของผม เริ่มมาจากการที่ผมได้เข้าร่วมเว็บ couchsurfing เมื่อสองปีก่อนครับ ทั้งพาเที่ยวบ้าง ทั้งโฮสบ้าง เข้าร่วมอีเวนท์ และจนกระทั่งเป็นคนจัดอีเวนท์เองเลยก็มี
เมื่อสองเดือนก่อนเห็นจะได้ ที่ทำงานผมคนขาด เหลือคนขึ้นเวรน้อยลง ภาระงานผมหนักขึ้น วันหยุดน้อยลง ผมก็ไม่ไหวแล้ว...
แถมยิ่งผมรับคนเข้าพักมาก จน references เยอะขึ้น ถึงผมจะไม่ได้มากเป็นหลายสิบหลายร้อย แต่มันก็มากพอที่จะทำให้มีคนเลือกมาขอพักเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
(ทั้งๆ ที่ผมแจ้งในโปรไฟล์ผมแล้วนะ ว่าหอผมไกลจากตัวเมือง และไม่มีอะไรเลย จะมาก็ต้องนอนพื้น)
สุดท้ายเลยต้องลดสถานะตัวเองลง จากรับคนเข้าพัก เป็นอาจจะรับ แง้มๆ เผื่อไว้ให้คนที่หาที่ลงไม่ได้จริงๆ เข้าพัก
หลังจากนั้น inbox ผมก็โล่งเลยครับ ผมเริ่มใช้ชีวิตไปตามปกติแบบที่มันควรจะเป็น เหมือนก่อนที่ผมจะเล่นเว็บนี้
จนเมื่อเดือนที่แล้ว ผมตัดสินใจยื่นใบลาออก ขอทำงานวันสุดท้ายแค่ 15 มี.ค. เพื่อเตรียมตัวเรียนต่อปริญญาโท
และจะได้พักผ่อนยาวๆ ได้ไปเที่ยวสงกรานต์กับที่บ้าน (ถ้าอยู่ต่อจนเปิดเทอม ผมคงไม่ได้ไป)
และวันที่ผมยื่นใบลาออกนั่นล่ะครับ คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จะทำให้วันว่างๆ ของผมหลังลาออกจากงาน กลายเป็นวันที่ผมจะจดจำไปจนชั่วชีวิต
วันที่ผมยื่นใบลาออกจากบริษัท ผมกลับหอมาและเช็คเมลส่วนตัว มีเมลเด้งเข้ามาใน inbox ของผม จากเว็บ couchsurfing
เป็น couch request ที่ผมไม่ได้รับมันมาเกือบเดือนแล้ว และบังเอิญว่า คำขอนั้น เริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่ผมจะเป็นอิสระจากที่ทำงาน
คือตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม ราวกับว่า คนส่งมันรู้ว่าผมจะว่างช่วงนี้พอดี
อ้อ...คนส่งเป็นชายชาวอิสราเอลครับ อายุอ่อนกว่าผม 6 ปี เพิ่งปลดทหารมาไม่กี่เดือน ชื่อดอร์
(ตอนหลังๆ ที่เริ่มสนิทกัน ผมแอบเรียกในใจว่านายหัว 5555)
ผมก็ตอบกลับไปเหมือนที่ตอบกลับให้ทุกคน คือย้ำเตือนอีกครั้ง (เผื่อไม่ได้อ่านในโปรไฟล์) ว่าที่อยู่ผมมันไกลนะ
นั่งรถเมล์ทีละ 2-3 ชั่วโมงกว่าจะถึงแหล่งท่องเที่ยวใจกลางเมือง และยังต้องนอนกับพื้นด้วย
ผมจะไม่ปิดกั้นโอกาสที่คุณจะได้ที่ดีกว่า สบายกว่า ใกล้กว่า...
แต่เขาก็ยังยืนยันว่าจะขอพักกับผม เพราะอ่านโปรไฟล์ผมแล้วน่าจะคุยกันรู้เรื่อง เพราะอยู่ในแวดวงเดียวกัน
และอยากรู้ประสบการณ์จากผมด้วย เพราะเขากำลังจะเรียนต่อในอีก 8 เดือนข้างหน้า
(ซึ่งหลังจากที่มาเจอแล้วคุยกันจริงๆ มารู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปไกลมากกกก ผมลงอาชีพไว้ในโปรไฟล์ว่า Medical technologist…
เขาเห็นแต่คำหลังหรือไงไม่ทราบ หรืออาจจะไม่รู้ว่างานนี้ทำอะไร แต่เขาเข้าใจว่าผมเป็นแนวๆ Engineer
และเขากำลังจะเรียนต่อด้าน Computer engineering เลยต้องอธิบายกันยาว ว่าผมทำอะไร กว่าจะเข้าใจ)
ผมก็ตามใจเขาครับ แกอยากมาก็มา (ถือว่าเตือนแล้วนะ) กดตอบรับไป
รับไว้เพราะโปรไฟลเขาก็ไม่ได้โล่ง มี references เยอะทั้งจาก Hosts และ Guests
วันแรก (16 มี.ค.) ผมก็ไปรับเขาที่แอร์พอร์ตลิงค์ เอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องแล้วก็เดินซื้อของ/กินข้าวที่ห้างกัน
เพราะเอาของมาน้อยมาก กระเป๋าเป้ใบเล็กๆ เท่าที่ผมแบกไปทำงานทุกวัน นี่คือเที่ยวมาแล้วหลายเดือน และกำลังจะเที่ยวต่ออีกหลายเดือน
พกมาน้อยกว่าคนที่ทำงานผมตอนไปสัมมนาต่างจังหวัด 2 วัน 1 คืน ซะอีก
(รายนั้นลากกระเป๋าลากใบเบ้อเร่อ ยังกะจะไปยุโรปทั้งเดือน ทั้งๆ ที่บริษัทกำหนดให้ใส่เสื้อทีมตลอดสัมมนา ไม่ได้ให้แต่งอะไรตามใจ ไม่รู้ว่าเอาอะไรไปเยอะแยะ 555)
จากที่ว่าจะค้างที่หอผมตลอด 4-5 คืนตามที่ขอ นายหัวของเราเปลี่ยนแผน อยากเจอ นทท. คนอื่นบ้าง ก็เลยลดเหลือคืนเดียว
เขานอนยาวยันสิบเอ็ดโมงครึ่ง...สายขนาดนั้น แผนที่วางไว้เลยต้องหั่นออกไปเยอะ เลยพาไปได้แค่ภูเขาทอง
(ตรงนี้พีคมาก ผมพาเข้าร้านตามสั่งครั้งแรก เพราะวันแรกแกไม่ยอมกินอาหารไทย กินแต่เสต็กกับสปาเก๊ตตี้ในห้างทั้งสองมื้อ พอมาถึงภูเขาทอง มีการถามหาห้าง...อยากกินข้าวในห้าง ตากแอร์ ใช้ Wi-Fi อีก -*-)
ต่อด้วยวัดราชนัดดา แวะกินมนต์นมสด เข้าวัดสุทัศน์ เดินไปสนามหลวง (ไม่เข้าวัดพระแก้ว แพงไป+เกินเวลาแล้ว)
เดินไปนั่งพักที่ป้อมพระสุเมรุ หาร้านอาหารแถวนั้น นั่งกินเบียร์และใช้ Wi-Fi หาข้อมูลวางแผนเที่ยวใต้ให้เขา
ก่อนผมจะพาเขาไปส่งที่โฮสเทลที่เขาจองไว้แถววัดตรีทศเทพ
เขาอยากเที่ยวใน กทม.ต่อตามแผนที่วางไว้ ผมก็เลยนัดเจอเขาอีกทีในวันรุ่งขึ้น (18 มี.ค.) ตอนบ่ายโมงที่สนามหลวง เช้ากว่านี้เขาบอกไม่ไหว 555
วันนี้ผมก็พาเก็บตกที่เหลือ ไปตลาดวังหลัง ข้ามกลับมาเดินเลาะรั้ววังและวัดโพธิ์ ไปเข้ามิวเซียมสยามฟรีตอนสี่โมง
แล้วก็นั่งเรือด่วนไปท่าน้ำนนท์ แล้วกลับมาร่วมอีเวนท์ของ Couchsurfing ที่ข้าวสาร
ปรากฏว่าคนมามากกว่าที่คิด แน่นร้านไปหมด พวกเราสองคนเลยยืนกินเบียร์กันเงียบๆ สองคนแล้วเดินออกจากร้าน
ไม่กล้าเข้าไปคุยกับใครเลย ไม่มีที่จะแทรกวงเข้าไปแล้ว

แล้วก็ผมก็พาเขาไปส่งที่โฮสเทลที่เขาอยู่ (ตอนเดินมาถึงหน้าโฮสเทล มีการมาถามผมว่า ใช่ที่นี่แน่หรอ 555…จำที่พักตัวเองไม่ได้... ไหวไหมเนี่ย)
แล้วผมกับนายหัวก็แยกกันตรงนั้นครับ บอกลากันดิบดี คิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีก...
แต่สุดท้ายก็ยังได้เจอกันอยู่ดี....
วันที่ 18 มีนาคม 2559
หลังจากที่ผมเดินทางกลับหอมาได้สักพัก ก็เจอข้อความเด้งเข้ามาในแชทเฟสบุค
เป็นของนายดอร์เจ้าเก่าชาวอิสราเอล ที่มาพักกับผมคืนนึง
มันชวนผมให้ลงไปเที่ยวใต้กับมันด้วย มันให้เหตุผลว่า ไหนๆ ผมก็ว่างแล้ว น่าจะลงไปเที่ยวพักผ่อนหน่อยนะ
ผมใช้เวลาตัดสินใจเกือบชั่วโมง ลังเลอยู่นาน คือถ้าไปเที่ยวมันก็จะเสียตังค์เยอะ
แต่นานๆ ทีจะได้ว่างยาวๆ แบบนี้อีก
ตอนตัดสินใจ อารมณ์ประมาณนี้เลยครับ
สุดท้ายก็ตกลงว่าจะไปด้วย โดยกะว่าจะไปแค่เขื่อนเชี่ยวหลานสักสองสามคืน แล้วก็กลับ
เลยจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเมสเซนเจอร์ใบเล็กไป ไม่ได้ใช้เป้ใหญ่ เพราะคิดว่าไปแค่ไม่กี่วัน
ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมก็ด่าตัวเองในอดีต ที่ไม่เอาเป้ใหญ่มา...
วันที่ 19 มีนาคม 2559
ผมสะพายกระเป๋าของผม ไปรอเจอนายหัวที่สถานี MRT จตุจักร เพราะนายหัวแกอยากได้กระเป๋าเป้ใบใหญ่ขึ้น
เลยพากันไปเดินเลือกอยู่ที่จตุจักร เสร็จแล้วก็กลับไปเอาเสื้อผ้าและข้าวของของเขาที่ฝากไว้กับโฮสเทล และนั่งรถเมล์มุ่งหน้าสู่สายใต้
ซื้อตั๋วไปลงแถวบ้านตาขุน ระหว่างทางรถก็จอดแวะแถวประจวบ ให้กินข้าวต้มตอนประมาณเที่ยงคืน
วันที่ 20 มีนาคม 2559
ผมกะนายหัวตื่นด้วยการปลุกของพนักงานบนรถ
น้องเขาบอกว่า เมื่อกี้ลืมไปว่าพวกพี่จะลงบ้านตาขุน ตอนนี้รถเลยมาได้ 1-2 กิโลแล้ว เดินเอาหน่อยนะ...
และพวกผมก็โดนทิ้งไว้กลางทาง
เราสองคนเลยเดินย้อนมาจนถึงทางแยกที่จะไปเขื่อน นายหัวตัดสินใจว่า จะเดินเข้าไปเรื่อยๆ
หรือไม่ก็ลองโบกรถเข้า เพราะรถสองแถวข้างหน้านั้นแพงมาก (อันหลังผมห็นด้วย)
ยืนรอไม่นานพวกผมก็โบกได้รถคันแรก เป็นรถของพี่แม่ค้าร้านก๋วยเตี๋ยวบนเขื่อน
เป็นประสบการณ์การโบกรถครั้งแรกของผมเลยครับ ไม่คิดว่าจะโบกได้
(ไม่นับตอนผมบวช แล้วเดินจะไปวัดที่จะเข้าปริวาส แล้วมีโยมที่ผ่านมาอาสารับผมขึ้นไปด้วย)
และแล้วพวกเราก็มาถึงเขื่อนจนได้
ทีแรก นายหัวเราจะปูผ้า แล้วนอนบนนั้นแหละคืนนี้ แต่ผมคิดว่า จนท.คงไม่อนุญาตหรอก
จนเมื่อสิ่งนี้ผ่านมา ทำให้นายหัวเปลี่ยนใจ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
งูจงอางตัวเบ้อเร่อ! 
แล้วเราสองคนก็เดินลงมาจากบนเขื่อน เพื่อจะพยายามไปหาที่พักของอุทยานครับ กะจะเช่าเต้นท์นอนกันที่นี่คืนนี้ (พวกเราไม่ได้เอาเต้นท์มา)
ลงมาก็โบกรถเข้าไปที่ทำการของอุทยาน
พอเข้าไป พี่ๆ เจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่าตรงนี้มีที่กางเต้นท์ จะเอามาเองหรือจะเช่าก็ได้ แต่แถวนี้ไม่มีอะไรให้ดูเลย
แนะนำให้ไปอีกจุด แถวๆ คลองแสง ติดอ่างเก็บน้ำและมีท่าเรือด้วย
แล้วพี่เขาก็พาพวกเรามาส่งตรงที่ทำการแถวคลองแสงครับ
ปรากฏว่าที่นี่ไม่มีเต้นท์ให้เช่าเหมือนที่แรก แต่พี่เจ้าหน้าที่ก็พยายามช่วยเหลือ ถามเพื่อนๆ เขาด้วยกันเองว่ามีใครมีเต้นท์ส่วนตัวไหม เอามาให้น้องๆ เขาเช่าหน่อย
พี่ที่นั่นเลยเสนอให้นอนที่ศาลาใหญ่ริมอ่างเก็บน้ำ มีน้ำ/ไฟ ให้ใช้ แต่ไม่มีเครื่องนอน และยังไม่ได้ทำความสะอาด
ทีแรกพวกเราก็ตั้งใจจะค้างแรมกันที่นี่ครับ ทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูนิดหน่อย แล้วก็จะนอนบนโต๊ะใหญ่กัน
ผลัดกันไปอาบน้ำทั้งคู่ (ทั้งสองคนอาบน้ำครั้งล่าสุดก็เมื่อวานตอนเช้าครับ ครบ 24 ชม.พอดี...)
ผมกวาดศาลาไปได้ครึ่งนึง นายหัวก็เปลี่ยนแผนกะทันหัน
แกไม่นอนที่นี่แล้วคืนนี้ อยากจะไปต่อแถวชายหาดที่ไหนก็ได้ แล้วแวะเที่ยวระหว่างทาง เพราะแกเห็นว่ามีถ้ำและน้ำตกเยอะแยะ…
อ้าวเฮ้ย...เดี๋ยวๆๆๆๆ
คือผมตั้งใจจะมาเที่ยวที่นี่ ค้างสักคืนสองคืน แล้วก็กลับ กทม.
แต่แผนเปลี่ยนแล้วเรียบร้อย อุตส่าห์มาด้วยกันขนาดนี้แล้ว ผมก็ต้องไปกับมันครับ อยู่เที่ยวคนเดียวที่นี่ต่อ แลดูจะแพงกว่าเที่ยวที่อื่นสองคน
สุดท้ายผมก็ลาพี่ๆ เจ้าหน้าที่อุทยาน ตั้งใจแต่แรกว่าจะขอบริจาคเงินเข้าอุทยานนิดนึงง
ในฐานะที่พวกผมใช้น้ำ/ไฟ ของหลวงไปแล้ว แต่พี่ๆ ไม่รับ บอกไม่เป็นไร (ขอบคุณมากครับ)
ถามว่าไปจะไปทะเลกันยังไง
"โบกไปครับ"
An Unexpected Journey. เมื่อผมออกไปโบกรถเที่ยวกับคนแปลกหน้า
ไม่กี่วันก่อน ผมได้มีโอกาสได้ไปโบกรถเที่ยวกับชาวต่างชาติ เป็นการท่องเที่ยวเมืองไทยในอีกแง่มุมนึง
เลยอยากจะมาเล่าประสบการณ์กับเพื่อนๆ สมาชิกครับ
ทีแรกตั้งใจจะทำเป็นกระทู้รีวิว แต่เรื่องมันไม่ใช่แค่เกี่ยวกะสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่พักโดยตรง เลยขอเล่าเป็นบันทึกการเดินทางดีกว่าครับ
สำนวนการเล่า อาจจะดูประหลาดๆ นิดนึงนะครับ เรื่องราวที่เกิดขึ้นระว่างทางมันเยอะมาก
และแน่นอน ผมเขียนเอง เล่าในมุมมองของตัวเอง ผมก็ต้องเป็นพระเอกของงาน แหะๆ
(สรรพนามที่ใช้เรียกอีกคนอาจจะไม่รื่นหูนัก มีมันมีแกบ้าง เพราะถือว่าตอนเที่ยวด้วยกันนี่เป็นเพื่อนกันแล้ว บางทีก็เหมือนเอาเพื่อนมานินทาให้ฟังไปหน่อย ป่านนี้เจ้าตัวคงจามฮัดชิ้วๆ อยู่ที่ลาวแล้ว555)
ขอนุญาตเกริ่นที่มาที่ของการเดินทางครั้งนี้ก่อนนะครับ ซับซ้อนนิดนึง แต่ยาวมากๆ เลยขอซ่อนไว้ในสปอยล์ เผื่อใครอยากข้ามไปตอนเริ่มเดินทางเลยจะได้สะดวกหน่อย
อ้อ...อันนี้ล็อกอินผมเอง ไม่ได้ยืมใครมาทั้งนั้นครับ
ไม่มีเพจให้แปะ
แต่ถ้าใครอยากอ่านกระทู้การเดินทางเก่าๆ ของผมก่อนหน้านี้ (มีกระทู้เดียวเอง พูดเหมือนเยอะ)
จะเข้าไปหาเองก็ได้
หรือจะเข้าตรงนี้ก็ได้ครับ ตามสะดวก
http://pantip.com/topic/32790301
คำเตือน : กระทู้ยาวมากครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันที่ 18 มีนาคม 2559
หลังจากที่ผมเดินทางกลับหอมาได้สักพัก ก็เจอข้อความเด้งเข้ามาในแชทเฟสบุค
เป็นของนายดอร์เจ้าเก่าชาวอิสราเอล ที่มาพักกับผมคืนนึง
มันชวนผมให้ลงไปเที่ยวใต้กับมันด้วย มันให้เหตุผลว่า ไหนๆ ผมก็ว่างแล้ว น่าจะลงไปเที่ยวพักผ่อนหน่อยนะ
ผมใช้เวลาตัดสินใจเกือบชั่วโมง ลังเลอยู่นาน คือถ้าไปเที่ยวมันก็จะเสียตังค์เยอะ
แต่นานๆ ทีจะได้ว่างยาวๆ แบบนี้อีก
ตอนตัดสินใจ อารมณ์ประมาณนี้เลยครับ
สุดท้ายก็ตกลงว่าจะไปด้วย โดยกะว่าจะไปแค่เขื่อนเชี่ยวหลานสักสองสามคืน แล้วก็กลับ
เลยจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเมสเซนเจอร์ใบเล็กไป ไม่ได้ใช้เป้ใหญ่ เพราะคิดว่าไปแค่ไม่กี่วัน
ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมก็ด่าตัวเองในอดีต ที่ไม่เอาเป้ใหญ่มา...
วันที่ 19 มีนาคม 2559
ผมสะพายกระเป๋าของผม ไปรอเจอนายหัวที่สถานี MRT จตุจักร เพราะนายหัวแกอยากได้กระเป๋าเป้ใบใหญ่ขึ้น
เลยพากันไปเดินเลือกอยู่ที่จตุจักร เสร็จแล้วก็กลับไปเอาเสื้อผ้าและข้าวของของเขาที่ฝากไว้กับโฮสเทล และนั่งรถเมล์มุ่งหน้าสู่สายใต้
ซื้อตั๋วไปลงแถวบ้านตาขุน ระหว่างทางรถก็จอดแวะแถวประจวบ ให้กินข้าวต้มตอนประมาณเที่ยงคืน
วันที่ 20 มีนาคม 2559
ผมกะนายหัวตื่นด้วยการปลุกของพนักงานบนรถ
น้องเขาบอกว่า เมื่อกี้ลืมไปว่าพวกพี่จะลงบ้านตาขุน ตอนนี้รถเลยมาได้ 1-2 กิโลแล้ว เดินเอาหน่อยนะ...
และพวกผมก็โดนทิ้งไว้กลางทาง
เราสองคนเลยเดินย้อนมาจนถึงทางแยกที่จะไปเขื่อน นายหัวตัดสินใจว่า จะเดินเข้าไปเรื่อยๆ
หรือไม่ก็ลองโบกรถเข้า เพราะรถสองแถวข้างหน้านั้นแพงมาก (อันหลังผมห็นด้วย)
ยืนรอไม่นานพวกผมก็โบกได้รถคันแรก เป็นรถของพี่แม่ค้าร้านก๋วยเตี๋ยวบนเขื่อน
เป็นประสบการณ์การโบกรถครั้งแรกของผมเลยครับ ไม่คิดว่าจะโบกได้
(ไม่นับตอนผมบวช แล้วเดินจะไปวัดที่จะเข้าปริวาส แล้วมีโยมที่ผ่านมาอาสารับผมขึ้นไปด้วย)
และแล้วพวกเราก็มาถึงเขื่อนจนได้
ทีแรก นายหัวเราจะปูผ้า แล้วนอนบนนั้นแหละคืนนี้ แต่ผมคิดว่า จนท.คงไม่อนุญาตหรอก
จนเมื่อสิ่งนี้ผ่านมา ทำให้นายหัวเปลี่ยนใจ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แล้วเราสองคนก็เดินลงมาจากบนเขื่อน เพื่อจะพยายามไปหาที่พักของอุทยานครับ กะจะเช่าเต้นท์นอนกันที่นี่คืนนี้ (พวกเราไม่ได้เอาเต้นท์มา)
ลงมาก็โบกรถเข้าไปที่ทำการของอุทยาน
พอเข้าไป พี่ๆ เจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่าตรงนี้มีที่กางเต้นท์ จะเอามาเองหรือจะเช่าก็ได้ แต่แถวนี้ไม่มีอะไรให้ดูเลย
แนะนำให้ไปอีกจุด แถวๆ คลองแสง ติดอ่างเก็บน้ำและมีท่าเรือด้วย
แล้วพี่เขาก็พาพวกเรามาส่งตรงที่ทำการแถวคลองแสงครับ
ปรากฏว่าที่นี่ไม่มีเต้นท์ให้เช่าเหมือนที่แรก แต่พี่เจ้าหน้าที่ก็พยายามช่วยเหลือ ถามเพื่อนๆ เขาด้วยกันเองว่ามีใครมีเต้นท์ส่วนตัวไหม เอามาให้น้องๆ เขาเช่าหน่อย
พี่ที่นั่นเลยเสนอให้นอนที่ศาลาใหญ่ริมอ่างเก็บน้ำ มีน้ำ/ไฟ ให้ใช้ แต่ไม่มีเครื่องนอน และยังไม่ได้ทำความสะอาด
ทีแรกพวกเราก็ตั้งใจจะค้างแรมกันที่นี่ครับ ทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูนิดหน่อย แล้วก็จะนอนบนโต๊ะใหญ่กัน
ผลัดกันไปอาบน้ำทั้งคู่ (ทั้งสองคนอาบน้ำครั้งล่าสุดก็เมื่อวานตอนเช้าครับ ครบ 24 ชม.พอดี...)
ผมกวาดศาลาไปได้ครึ่งนึง นายหัวก็เปลี่ยนแผนกะทันหัน
แกไม่นอนที่นี่แล้วคืนนี้ อยากจะไปต่อแถวชายหาดที่ไหนก็ได้ แล้วแวะเที่ยวระหว่างทาง เพราะแกเห็นว่ามีถ้ำและน้ำตกเยอะแยะ…
อ้าวเฮ้ย...เดี๋ยวๆๆๆๆ
คือผมตั้งใจจะมาเที่ยวที่นี่ ค้างสักคืนสองคืน แล้วก็กลับ กทม.
แต่แผนเปลี่ยนแล้วเรียบร้อย อุตส่าห์มาด้วยกันขนาดนี้แล้ว ผมก็ต้องไปกับมันครับ อยู่เที่ยวคนเดียวที่นี่ต่อ แลดูจะแพงกว่าเที่ยวที่อื่นสองคน
สุดท้ายผมก็ลาพี่ๆ เจ้าหน้าที่อุทยาน ตั้งใจแต่แรกว่าจะขอบริจาคเงินเข้าอุทยานนิดนึงง
ในฐานะที่พวกผมใช้น้ำ/ไฟ ของหลวงไปแล้ว แต่พี่ๆ ไม่รับ บอกไม่เป็นไร (ขอบคุณมากครับ)
ถามว่าไปจะไปทะเลกันยังไง
"โบกไปครับ"