ขอเปิดรีวิวแรกด้วยทริปที่ประทับใจทริปนี้น้าค้า ไม่เคยรีวิวในนี้มาก่อนเลย แต่อยากแชร์ประสบการณ์ในทริปนี้จริงๆค่ะ
เที่ยวโอมานทริปนี้ เราเดินทางต้นเดือนมีนาคม ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการเที่ยวที่นี่เป็นที่สุด เนื่องจากอากาศไม่ร้อนจนเกินไป ส่วนตอนกลางคืนก็อากาศสบายๆ และที่ทะเลทรายจะหนาวหน่อย แนะนำให้เที่ยวช่วงฤดูหนาวของเค้านะคะ ซึ่งก็จะอยู่ระหว่าง พฤศจิกายน ถึง มีนาคม ค่าเงินที่นั่นเป็น OMR ช่วงที่หวานไป 1 OMR เท่ากับ 92.45 บาทค่ะ
ค่าครองชีพที่นั่นก็ไม่สูงนะคะ แลกไปไม่ต้องเยอะมากค่ะ ถ้าไป 3 วัน ค่ากินคนละ 40-50 OMR ก็เหลือเฟือ
เรื่องวีซ่านั่นไม่ต้องกังวลค่ะ เราไปทำ
Visa on arrival ได้ที่นู่นเลย ประมาณ 17 USD แลกจากที่นี่ไปเผื่อก็ดีนะคะ แต่ถ้าลืมแลกไป ตรงที่ทำวีซ่าก็มี ที่แลกเงินเลยค่ะ ไม่ต้องห่วง
เรานั่งเครื่องจาก กรุงเทพ ไปลงมัสกัต ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศโอมาน โดยสายการบินไทย flight TG 507 14.10 ถึงกรุงมัสกัต 19.35 เวลาที่นั่นจะช้ากว่าเรา 3 ชม. ค่ะ รวมๆ flight time ก็จะประมาณ 8 ชม. ที่นานเพราะเค้ามีไปจอดที่การาจีประมาณ 1 ชม.ค่ะ พอไปถึง เค้าค่อนข้างเข้มงวดมาก ห้ามถ่ายรูปที่สนามบินเป็นอันขาด พอไปถึงก็ถามเค้าว่าที่ทำวีซ่าอยู่ตรงไหน ซึ่งหาง่ายมากค่ะ เดินตรงไปนิดเดียวเท่านั้น ระยะเวลาในการทำวีซ่าก็ประมาณ 15 นาทีเท่านั้นค่ะ ไม่ต้องใช้เอกสารใดๆนะคะ รูปก็ไม่ต้องค่ะ แค่ยื่นเงินกับpassport อย่างเดียว
ส่วนถ้าใครอยากจะอัพรูปแบบ real time ก็ซื้อ
simcard ได้ไม่ยากค่ะ ถามที่ tourist information ที่สนามบินได้เลย ของหวานใช้ของบริษัท Ooredoo ค่าซิม 2 OMR ค่าเนทก็ 1 OMR ต่อ 1GB ต่อ 1 วัน แต่จะเล่นพวก IG FB Line ที่นู่นต้องโหลด App “Betternet” ต้องมี VPN เพราะทางนั้นเค้าลอคเว็บพวกนี้ไว้ค่ะ
คืนแรกที่ไปถึงก็พักผ่อน นอนเอาแรง เพราะอีกวันตื่นตีห้าเลยค่ะ โรงแรมที่เราพักคือ Hotel Park Inn by Radisson ใกล้ๆห้าง Lulu Hypermarket เดินไปซื้อของนู่นนี่ได้ค่ะ ห้างเค้าก็ปิดประมาณ ห้าทุ่มเลย
Day 1 (ขอนับจากวันที่เริ่มเที่ยวนะคะ)
5.45 ออกจากโรงแรมโดยไกด์ส่วนตัว และเค้าก็จะดูแลเราไปจนจบทริปนี่แหละค่ะ เริ่มต้นด้วยการเดินทางไปเมือง Nizwa เมืองนี้แต่ก่อนเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศนี้ เราใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชม. ก็ถึง Nizwa Fort ซึ่งเป็นป้อมปราการของเมืองนี้ เราใช้เวลาอยู่ในนั่นประมาณ 1 ชม.ครึ่ง เพราะเราเดินดูทั่วๆ มีตลาดเล็กๆน่ารัก มี guest house เห็นฝรั่งมานั่งทาน breakfast กัน สวยงามมากค่ะ อ่อสำหรับใครที่อยากเข้าห้องน้ำ ที่ Nizwa Fort ห้องน้ำเค้าสะอาดนะคะ ไม่ต้องกลัวว่าจะสกปรกเข้าไม่ได้ เค้ามีแม่บ้านทำความสะอาดอยู่เรื่อยๆค่ะ
ออกจาก Nizwa ประมาณ 9 โมง แวะถ่ายรูปที่
Nizwa Gate ซะหน่อยก่อนออกเดินทางต่อไปเมือง Balah
ใช้เวลาร่วมชั่วโมงก็ถึง
Balah Fort เป็นป้อมปราการของเมืองนี้เช่นกัน เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นาน ก่อนจะเดินทางต่อ
เรามาต่อกันที่
Misfat al Abreyeen ที่นี่เป็น village หรืออยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1000 เมตร มีแหล่งเพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ แตกต่างจากระหว่างทางมา ซึ่งจะเป็นภูเขา หิน ดูแห้งแล้ง มีบ้านสไตล์พื้นเมืองสร้างอยู่บนหิน สวยงามมากค่ะ เรามาถึงประมาณ 11 โมง ก็เดินดูรอบๆ และก็ได้เข้าไปลิ้มลองรสชาติของ Arabic Coffee กลิ่นก็จะเป็นแบบสมุนไพรหน่อย หอมๆ สไตล์เค้า ดื่มคู่กับ Date หรือ อินทผาลัมที่บ้านเราเรียก คือ อร่อยมาก กินไปเยอะมาก หวานอร่อยและไม่อ้วน
เราเดินทางต่อไปที่
Jebel Shams ขึ้นเขาไปถ่ายรูป ข้างบนคือลมเย็นมาก หนาวมากนะคะ แม้แดดจะแรงแต่เจอลมกลบค่ะ วิวที่ถ่ายมาได้ คงไม่ได้ครึ่งกับที่ตาเห็นจริงๆ
เราลงมาจากเขา 13.30 แล้วก็ซื้ออาหารกลางวันร้านท้องถิ่นโดย ที่นี่เวลาเค้าจะซื้ออาหารกัน เค้าจอดหน้าร้าน แล้วบีบแตร ก็จะมีคนเดินเอาเมนูออกมารับออเดอร์ แต่ละร้านที่ไกด์เราไปบีบแตรนี่ อร่อยมาก และแต่ละมื้อจ่ายแค่คนละ 1 OMR – 1.50 OMR คือถูกและดี ทานมันบนรถเนี่ยแหละค่ะ เวลามีน้อยต้องใช้ให้คุ้ม
เราออกจากทางไปทะเลทราย
Wahiba Sands ตอนบ่ายสอง ถึง ประมาณเกือบๆห้าโมง ใช้เวลาเดินทางร่วม สามชั่วโมง ด้วยความที่ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก จึงต้องขอแจ้งว่าเราใช้ทางเข้าจาก
Alwasel Village ก่อนจะเข้าไปเราก็แวะ supermarket ซื้อของที่จะทำบาบีคิวกินสำหรับมือค่ำนี้ เพราะเราจะนอนกลางทะเลทราย ตั้งแคมป์กันที่นี่เลย การขับรถเข้ามาในทะเลทรายที่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ ต้องเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญจริงๆ ส่วนไกด์เราน่ารักมาก คือเราเลือกได้เลยอยากนอนเขาลูกไหน สูงแค่ไหนก็ไต่ขึ้นไปได้ค่ะ หวาดเสียวนิดหน่อย แต่เพื่อ Location พระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดก็ยอมค่ะ
เราต้องรีบกลางเต๊นท์ก่อนที่จะค่ำนะคะ เพราะเดี๋ยวลมจะแรง อย่าเรียกว่าเราเลยค่ะ เรียกว่าไกด์เราจะดีกว่า นางทำทุกอย่างให้หมดเลย น่ารักสุดๆ เราก็เดินทำตัวuseless ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ 555 เต๊นท์เราที่มีเตียงลมด้วยนะคะ นอนนุ่มค่ะ ผ้าห่ม หมอนมีหมด แม้แต่ห้องน้ำ คือห้องน้ำเต๊นท์ คือมีส้วม มีชักโครก มีที่ฉีดก้น สะอาด คืองงมากเกิดมาไม่เคยรู้ว่ามีสิ่งนี้บนโลก แถมน้ำอาบนี่ ถ้าเกิดหนาวอาบไม่ได้ ไกด์เราก็นำไปอุ่นให้ เพื่อให้เราได้อาบน้ำอุ่นนะคะ คือไม่ใช่มีห้องน้ำรวมแบบลานกางเต๊นท์บ้านเรานะคะ นี่คือเนินทรายนั้นมีแค่เรา มองลงไปยังไม่มีใครเลยค่ะ
พอพระอาทิตย์ตกก็เริ่มก่อไฟ เพื่อมื้อเย็น ทำบาร์บีคิวกินกันเสร็จ ไกด์ก็ชวนไฟดูดาวบนจุดสูงสุดของเนินตอนกลางคืน คือเรานี่ตะเกียกตะกายปืนขึ้นไปสุดๆ ลื่นแล้วลื่นอีก ตอนแรกก็ว่าจะไม่ปืน เพราะอยู่ข้างล่างก็เห็นดาวเหมือนกัน แต่พอขึ้นไปเท่านั้นแหละ โอ้โห ดาวเต็มฟ้า บรรยากาศโรแมนติคมากๆ พยายามถ่ายรูปเท่าไหร่ก็ออกมาไม่ได้สวยเท่าตาเห็นจริงๆ บวกกับสกิลเราก็ยังไม่เริ่ดด้วย
ดูดาวเสร็จก็สไลด์ตัวลงมาจากเนินค่ะ เหมือนเด็กเล่นสไลด์เดอร์เลยค่ะ สนุกดี แล้วก็เตรียมตัวเข้านอน เพราะต้องตื่นตีห้า มาดูพระอาทิตย์ขึ้น
เดี๊ยวมาต่อ Day 2 น้าค้า ขอตัวไปเคลียงานก่อนค่า
ถ้าอยากอ่านแบบเต็มๆรอไม่ไหว เข้าไปอ่านในบล็อคได้น้าค้า
http://wthediary.blogspot.com
[CR] ทริปสุดประทับใจที่โอมาน Amazing Oman
เที่ยวโอมานทริปนี้ เราเดินทางต้นเดือนมีนาคม ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการเที่ยวที่นี่เป็นที่สุด เนื่องจากอากาศไม่ร้อนจนเกินไป ส่วนตอนกลางคืนก็อากาศสบายๆ และที่ทะเลทรายจะหนาวหน่อย แนะนำให้เที่ยวช่วงฤดูหนาวของเค้านะคะ ซึ่งก็จะอยู่ระหว่าง พฤศจิกายน ถึง มีนาคม ค่าเงินที่นั่นเป็น OMR ช่วงที่หวานไป 1 OMR เท่ากับ 92.45 บาทค่ะ
ค่าครองชีพที่นั่นก็ไม่สูงนะคะ แลกไปไม่ต้องเยอะมากค่ะ ถ้าไป 3 วัน ค่ากินคนละ 40-50 OMR ก็เหลือเฟือ
เรื่องวีซ่านั่นไม่ต้องกังวลค่ะ เราไปทำ Visa on arrival ได้ที่นู่นเลย ประมาณ 17 USD แลกจากที่นี่ไปเผื่อก็ดีนะคะ แต่ถ้าลืมแลกไป ตรงที่ทำวีซ่าก็มี ที่แลกเงินเลยค่ะ ไม่ต้องห่วง
เรานั่งเครื่องจาก กรุงเทพ ไปลงมัสกัต ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศโอมาน โดยสายการบินไทย flight TG 507 14.10 ถึงกรุงมัสกัต 19.35 เวลาที่นั่นจะช้ากว่าเรา 3 ชม. ค่ะ รวมๆ flight time ก็จะประมาณ 8 ชม. ที่นานเพราะเค้ามีไปจอดที่การาจีประมาณ 1 ชม.ค่ะ พอไปถึง เค้าค่อนข้างเข้มงวดมาก ห้ามถ่ายรูปที่สนามบินเป็นอันขาด พอไปถึงก็ถามเค้าว่าที่ทำวีซ่าอยู่ตรงไหน ซึ่งหาง่ายมากค่ะ เดินตรงไปนิดเดียวเท่านั้น ระยะเวลาในการทำวีซ่าก็ประมาณ 15 นาทีเท่านั้นค่ะ ไม่ต้องใช้เอกสารใดๆนะคะ รูปก็ไม่ต้องค่ะ แค่ยื่นเงินกับpassport อย่างเดียว
ส่วนถ้าใครอยากจะอัพรูปแบบ real time ก็ซื้อ simcard ได้ไม่ยากค่ะ ถามที่ tourist information ที่สนามบินได้เลย ของหวานใช้ของบริษัท Ooredoo ค่าซิม 2 OMR ค่าเนทก็ 1 OMR ต่อ 1GB ต่อ 1 วัน แต่จะเล่นพวก IG FB Line ที่นู่นต้องโหลด App “Betternet” ต้องมี VPN เพราะทางนั้นเค้าลอคเว็บพวกนี้ไว้ค่ะ
คืนแรกที่ไปถึงก็พักผ่อน นอนเอาแรง เพราะอีกวันตื่นตีห้าเลยค่ะ โรงแรมที่เราพักคือ Hotel Park Inn by Radisson ใกล้ๆห้าง Lulu Hypermarket เดินไปซื้อของนู่นนี่ได้ค่ะ ห้างเค้าก็ปิดประมาณ ห้าทุ่มเลย
Day 1 (ขอนับจากวันที่เริ่มเที่ยวนะคะ)
5.45 ออกจากโรงแรมโดยไกด์ส่วนตัว และเค้าก็จะดูแลเราไปจนจบทริปนี่แหละค่ะ เริ่มต้นด้วยการเดินทางไปเมือง Nizwa เมืองนี้แต่ก่อนเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศนี้ เราใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชม. ก็ถึง Nizwa Fort ซึ่งเป็นป้อมปราการของเมืองนี้ เราใช้เวลาอยู่ในนั่นประมาณ 1 ชม.ครึ่ง เพราะเราเดินดูทั่วๆ มีตลาดเล็กๆน่ารัก มี guest house เห็นฝรั่งมานั่งทาน breakfast กัน สวยงามมากค่ะ อ่อสำหรับใครที่อยากเข้าห้องน้ำ ที่ Nizwa Fort ห้องน้ำเค้าสะอาดนะคะ ไม่ต้องกลัวว่าจะสกปรกเข้าไม่ได้ เค้ามีแม่บ้านทำความสะอาดอยู่เรื่อยๆค่ะ
ออกจาก Nizwa ประมาณ 9 โมง แวะถ่ายรูปที่ Nizwa Gate ซะหน่อยก่อนออกเดินทางต่อไปเมือง Balah
ใช้เวลาร่วมชั่วโมงก็ถึง Balah Fort เป็นป้อมปราการของเมืองนี้เช่นกัน เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นาน ก่อนจะเดินทางต่อ
เรามาต่อกันที่ Misfat al Abreyeen ที่นี่เป็น village หรืออยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1000 เมตร มีแหล่งเพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ แตกต่างจากระหว่างทางมา ซึ่งจะเป็นภูเขา หิน ดูแห้งแล้ง มีบ้านสไตล์พื้นเมืองสร้างอยู่บนหิน สวยงามมากค่ะ เรามาถึงประมาณ 11 โมง ก็เดินดูรอบๆ และก็ได้เข้าไปลิ้มลองรสชาติของ Arabic Coffee กลิ่นก็จะเป็นแบบสมุนไพรหน่อย หอมๆ สไตล์เค้า ดื่มคู่กับ Date หรือ อินทผาลัมที่บ้านเราเรียก คือ อร่อยมาก กินไปเยอะมาก หวานอร่อยและไม่อ้วน
เราเดินทางต่อไปที่ Jebel Shams ขึ้นเขาไปถ่ายรูป ข้างบนคือลมเย็นมาก หนาวมากนะคะ แม้แดดจะแรงแต่เจอลมกลบค่ะ วิวที่ถ่ายมาได้ คงไม่ได้ครึ่งกับที่ตาเห็นจริงๆ
เราลงมาจากเขา 13.30 แล้วก็ซื้ออาหารกลางวันร้านท้องถิ่นโดย ที่นี่เวลาเค้าจะซื้ออาหารกัน เค้าจอดหน้าร้าน แล้วบีบแตร ก็จะมีคนเดินเอาเมนูออกมารับออเดอร์ แต่ละร้านที่ไกด์เราไปบีบแตรนี่ อร่อยมาก และแต่ละมื้อจ่ายแค่คนละ 1 OMR – 1.50 OMR คือถูกและดี ทานมันบนรถเนี่ยแหละค่ะ เวลามีน้อยต้องใช้ให้คุ้ม
เราออกจากทางไปทะเลทราย Wahiba Sands ตอนบ่ายสอง ถึง ประมาณเกือบๆห้าโมง ใช้เวลาเดินทางร่วม สามชั่วโมง ด้วยความที่ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก จึงต้องขอแจ้งว่าเราใช้ทางเข้าจาก Alwasel Village ก่อนจะเข้าไปเราก็แวะ supermarket ซื้อของที่จะทำบาบีคิวกินสำหรับมือค่ำนี้ เพราะเราจะนอนกลางทะเลทราย ตั้งแคมป์กันที่นี่เลย การขับรถเข้ามาในทะเลทรายที่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ ต้องเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญจริงๆ ส่วนไกด์เราน่ารักมาก คือเราเลือกได้เลยอยากนอนเขาลูกไหน สูงแค่ไหนก็ไต่ขึ้นไปได้ค่ะ หวาดเสียวนิดหน่อย แต่เพื่อ Location พระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดก็ยอมค่ะ
เราต้องรีบกลางเต๊นท์ก่อนที่จะค่ำนะคะ เพราะเดี๋ยวลมจะแรง อย่าเรียกว่าเราเลยค่ะ เรียกว่าไกด์เราจะดีกว่า นางทำทุกอย่างให้หมดเลย น่ารักสุดๆ เราก็เดินทำตัวuseless ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ 555 เต๊นท์เราที่มีเตียงลมด้วยนะคะ นอนนุ่มค่ะ ผ้าห่ม หมอนมีหมด แม้แต่ห้องน้ำ คือห้องน้ำเต๊นท์ คือมีส้วม มีชักโครก มีที่ฉีดก้น สะอาด คืองงมากเกิดมาไม่เคยรู้ว่ามีสิ่งนี้บนโลก แถมน้ำอาบนี่ ถ้าเกิดหนาวอาบไม่ได้ ไกด์เราก็นำไปอุ่นให้ เพื่อให้เราได้อาบน้ำอุ่นนะคะ คือไม่ใช่มีห้องน้ำรวมแบบลานกางเต๊นท์บ้านเรานะคะ นี่คือเนินทรายนั้นมีแค่เรา มองลงไปยังไม่มีใครเลยค่ะ
พอพระอาทิตย์ตกก็เริ่มก่อไฟ เพื่อมื้อเย็น ทำบาร์บีคิวกินกันเสร็จ ไกด์ก็ชวนไฟดูดาวบนจุดสูงสุดของเนินตอนกลางคืน คือเรานี่ตะเกียกตะกายปืนขึ้นไปสุดๆ ลื่นแล้วลื่นอีก ตอนแรกก็ว่าจะไม่ปืน เพราะอยู่ข้างล่างก็เห็นดาวเหมือนกัน แต่พอขึ้นไปเท่านั้นแหละ โอ้โห ดาวเต็มฟ้า บรรยากาศโรแมนติคมากๆ พยายามถ่ายรูปเท่าไหร่ก็ออกมาไม่ได้สวยเท่าตาเห็นจริงๆ บวกกับสกิลเราก็ยังไม่เริ่ดด้วย
ดูดาวเสร็จก็สไลด์ตัวลงมาจากเนินค่ะ เหมือนเด็กเล่นสไลด์เดอร์เลยค่ะ สนุกดี แล้วก็เตรียมตัวเข้านอน เพราะต้องตื่นตีห้า มาดูพระอาทิตย์ขึ้น
เดี๊ยวมาต่อ Day 2 น้าค้า ขอตัวไปเคลียงานก่อนค่า
ถ้าอยากอ่านแบบเต็มๆรอไม่ไหว เข้าไปอ่านในบล็อคได้น้าค้า
http://wthediary.blogspot.com