เริ่มต้นชีวิตวัยรุ่น

กระทู้สนทนา
พาเที่ยวรอบบ้านไปแล้ว  คราวนี้จะพาไปย้อนระลึกถึงวัยเรียนกันบ้าน ต้องขออภัยที่จากตอนนี้ไปจะต้องมีการพาดพิงถึงบบุคคลภายนอก โดยการเอ่ยชื่อ แต่รับรอง ไม่เสียหาย 555
    หลังจากที่ผมจบจากโรงเรียนอนุบาลบ้านบาตรแล้ว ผมก็มาเรียนต่อชั้น ป.1 ที่โรงเรียนแสนยานุกรวิทยา 555 ไม่เคยได้ยินชื่อโรงเรียนนี้ใช่ไม๊ โรงเรียนนี้ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้วครับ ผ่านไปล่าสุด กลายเป็น โรงแรมที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติไปแล้ว ผมเรียนที่โรงเรียนนี้แค่ปีเดียวครับ คือ ป.1 แล้วมาเรียน ป.2 ที่โรงเรียนภารตะวิทยา เรียนยาวเลยแหล่ะ ตั้งแต่ ป.2 ยันจบ ม.3 ปีที่เข้าเรียน ป.2 ก็ประมาณ พ.ศ. 2517-2518 ราวๆนี้ อธิบายโครงสร้างของโรงเรียนนี้ให้ฟังก่อนน่ะครับโดยหันหน้าเข้าโรงเรียน ทางซ้ายมือ สมัยก่อนจะเป็นตึกไม้ 3 ชั้น โดยชั้น 1 กับ 2 จะเป็นห้องเรียนทั้งหมด ตึกด้านหน้าที่ข้างบนเป็นฟักทอง 3 ลูก ตึกนี้ก็มี 3 ชั้น ไม่รวมดาดฟ้า ทางด้านขวา เป็นโรงอาหาร โล่งๆ  โดยด้านที่ใกล้กับเสาธง คือด้านหน้าโรงเรียน เป็นห้องศิลป ถัดจากห้องศิลปะมาก็เป็นร้านขายขนม น้ำ ถัดมาอีกหน่อยก็เป็นร้านขายอาหาร มีร้านก๋วยเตี๋ยว 1 ร้าน กับร้านข้าวแกง 1 ร้าน ทั้งโรงเรียนมีร้านค้าเท่านี้จริงๆ ทั้งหมดนี้ต้องรองรับนักเรียนประมาณ 3 ร้อยกว่าคนในสมัยนั้น เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กในละแวกนั้น  เลยทำให้เหมือนโรงเรียนนานาชาติมาก เพื่อนในห้อง มีทั้งแขก คนไทย และลูกคนจีน เห็นไม๊ ว่านานาชาติขนาดไหน ด้วยที่ร้านค้ามีแค่นั้น ลองคิดดูเวลาพักเที่ยงจะวุ่นวายโกลาหลขนาดไหน เพราะพักเกือบจะพร้อมๆ กัน เว้นแต่เด็กเล็ก เหมือนจะได้พักก่อน แต่เด็กเล็ก ก็จะมีผู้ปกครองเอาอาหารมาส่งให้ ผมเองบางครั้งก็จะมีโอกาสได้กินอาหารที่โรงอาหารนี้ด้วยในวันที่แม่ติดธุระไม่ได้มาส่งข้าวเที่ยง ทำไมแม่ต้องมาส่งข้าวตอนเที่ยงนะเหรอ แม่ผมเป็นแม่บ้านครับ คุณพ่อทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวคนเดียว เลี้ยง 5 ชีวิตเลย พ่อผมเก่งไม๊ แล้วน้องๆผมอีก 2 คนก็เรียนที่เดียวกัน บ้านก็ใกล้โรงเรียน แถมมาที่โรงเรียนตอนเที่ยงเป็นโอกาสที่ดีที่แม่จะได้เจอบรรดาแม่ๆ ทั้งหลาย ตั้งวงสนทนาระหว่างรอลูก
    เวลาพักเที่ยงก็ไม่ได้มากมาย น่าจะประมาณสัก 40-45 นาที เด็กที่โตหน่อยก็จะใช้เวลาในการกินข้าวเร็วมาก เพราะเวลาที่เหลือ คือเวลาที่จะได้เล่นในสนาม การละเล่นของเด็กสมัยก่อนนะเหรอ ขอบอกว่า เด็กสมัยนี้น่าจะไม่รู้จัก แถมเล่นไม่เป็นแล้ว เช่น กระต่ายขาเดียว โบราณเรียกชื่อ บอลลูน  ซ่อนหา  พวกผู้หญิง ก็จะเล่นกระโดดหนังยาง  เล่นตุ๊กตากระดาษ  หมากเก็บ  อะไรพวกนี้  ก็ถือว่าเป็นการละเล่นที่สนุกที่สุดแล้วในสมัย 40 กว่าปีก่อน  พอหมดเวลาพักเที่ยง พวกผู้ชายก็จะโดยคุณครูดุว่าตลอด สาเหตุเนื่องจากเหม็น 555 จะไม่เหม็นยังไงไหวหล่ะครับ เล่นกลางแดดเปรี้ยงๆ เหงื่อทั้งนั้น มานั่งกันหน้าสลอน ไม่ได้ล้างหน้าล้างตากันเลย ก็สมควรแหล่ะครับ ที่จะโดนด่า  สัญญานในการบอกหมดชั่วโมงเรียนของผมยังใช้การตีระฆังอยู่เลย มาเปลี่ยนเป็นใช้อ๊อดไฟฟ้าเมื่อตอนผมใกล้จบ ม.3 ไม่กี่ปีเอง ผมว่ามันคลาสิคดีน่ะ เปลี่ยนวิชาเรียนก็ตีระฆัง แต่คงใช้ได้เฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กๆ แบบผม เพราะถ้าเป็นโรงเรียนที่มีบริเวณกว้าง ตีระฆังน่าจะไม่ได้ยิน
    วิชาที่น่าสนใจมากในสมัยก่อน คือวิชาขับร้อง นักเรียนก็จะร้องเพลงที่กำลังนิยมในสมัยนั้น  ช่วงนั้นเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างเพลงลูกกรุง กับเพลงสตริง เพลงลูกทุ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะจะได้ยินบ่อยกว่าเพลงแนวอื่น ทีนี้ในวิชาขับร้อง นักเรียนก็ต้องมาร้องเพลงหน้าชั้น ที่จำได้แม่นๆ ก็มีเพื่อนคนแขก ชื่อ ด.ช.ดีปัก เวลาเพื่อนๆ เรียก็จะเรียก ดีปั๊ก เรียกสั้นๆ ว่า ไอ้ปั๊ก ดีน่ะสมัยก่อนยังไม่มีคนเลี้ยงหมาพันธ์ปั๊ก ไม่งั้นมันคงโกรธ ไอ้ปั๊กจะร้องเพลงอยู่เพลงเดียว “สุขาอยู่หนใด” กี่ครั้งกี่หน ก็เพลงนี้ ไม่มีใครซ้ำมันด้วย มีแต่คนอื่นไปซ้ำมัน เพราะชื่อไอ้ปั๊ก เป็นชื่อแรก ๆ ตามบัญชีรายชื่อนักเรียนในห้อง เลยร้องเพลงนี้ได้ทุกปีไม่ซ้ำใคร อีกคน สาวน้อยลูกตำรวจ ด.ญ.ชมพู่  เธอคนนี้ร้องแต่เพลงต่างชาติ 555 โจ้โจ้ซัง ของรุ่งฤดี ที่จำได้แม่นเพราะตอนที่ชมพู่ร้องเพลงนี้ แขนหล่อนหัก ใส่เฝือกมายืนร้องเพลงหน้าชั้น เหตุการณ์นี้เธอจึงถูกเพื่อนๆ ล้อเรื่องเพลงนี้มาจนถึงทุกวันนี้  อีกสาวนึง ด.ญ. มาลี คนนี้แหล่ะ ลูกสาวเจ้าของศาลาโฟโมสต์ คนนี้มาแนวอินเตอร์ ร้องเพลงฝรั่งตลอด  หน้าตาเธอจะเหมือน อึ้งย้ง ในหนังเรื่องมังกรหยก ขาวๆ หมวยๆ ไว้ผมเปีย 2 ข้าง  เธอเป็นคนสวยน่ะ ตอนเด็ก ๆ เหมือน มาลีจะสูงกว่าผมเยอะ เคยเจอแบบไม่คาดคิดอยู่ครั้งนึง นานหลายปีมาแล้ว ทำไมตัวเธอเตี้ยลง คงไม่น่าจะใช่ แต่น่าจะเป็นเพราะสมัยเด็ก ผมคงตัวเตี้ยมากๆ นั่นเอง ยังมีเพื่อนอีกหลายคนนะครับ ที่ยังมีการติดต่อมาจนถึงทุกวันนี้นับเวลาที่รู้จักกันก็น่าจะมากกว่า 40 ปี
    นี่ครับ รูปโรงเรียนภารตะ ที่พูดถึง ฟักทอง 3 ลูก เมื่อก่อน ตึกทั้ง 2 ข้างไม่ได้เป็นแบบนี้นะครับ ด้านซ้ายมือ เป็นตึกไม้ 3 ชั้น เก่าๆ เก่าจนขนาดเอามาแต่งเรื่องผีหลอกนักเรียนในโรงเรียนได้อ่ะ ตึกด้านขวาก็ไม่มี เป็นหลังคาแผ่นสังกะสี หรือเปล่าไม่แน่ใจ เป็นที่กินข้าวกลางวันของนักเรียนทั้งโรงเรียน ผ่านไปดูโรงเรียนเก่าวันนี้ ทำไมรู้สึกว่า ฟักทองลูกมันเล็กลง สมัยเด็ก ๆ รู้สึกว่มันใหญ่กว่านี้มาก ที่เห็นเป็นหน้าต่างเยอะๆ ที่ชั้น 2 นั้นจะเป็นห้องกว้างๆ ใช้สำหรับจัดงานแต่งงานบ้าง งานสำคัญต่างๆ ของสมาคมบ้าง ที่ตรงนี้ ทุกวันจะมีขนม + ชาแขก(ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร) รสชาติจะเหมือนชาร้อนของเรานี่แหล่ะ พวกผมจะขึ้นไปแอบกินบ่อยๆ 555 แต่ขนม ไม่เคยกินนะ กินแต่ชาอย่างเดียว ในชั้นนี้จะมีโทรศัพท์สาธารณะอยู่เครื่องนึง สมัยก่อน ก็จะมีแต่แบบหมุนอย่างเดียว สารพัดวิธีที่จะโกงเจ้าโทรฯ เครื่องนี้ เริ่มตั้งแต่หยอดเหรียญไปบาทนึง มีวิธีทำให้โรได้มากกว่า 3 นาที โดทยไม่ตัด แถมตอนวางสาย เงินยังคืนกลับมาด้วย หนักหน่อย ถ้าใครไม่ค่อยมีเงิน ก็ใช้วิธี คว่ำเจ้าเครื่องโทรฯ นี่ แล้วเขย่าๆ ให้เหรียญออกมา ได้มาหลายบาทอยู่เหมือนกัน สมัยก่อน ค่าครองชีพไม่แพงเหมือนสมัยนี้นะครับ ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 5 บาท 10 บาท ไม่รวมค่าข้าวกลางวัน เพราะแม่ไปส่งข้าวให้ ก็เหลือเงินกลับบ้านทุกวันนะ บาทนึงบ้างสองบาทบ้าง หยอดกระปุก แล้ววันเสาร์ ก็เอาไปฝากธนาคารออมสิน สาขาที่ใกล้บ้านที่สุดก็ตรงสี่แยกคอกวัวนั่นแหล่ะครับ เมื่อก่อนจะเปิดวันเสาร์ครึ่งวัน เป็นธนาคารเดียวที่เปิดบริการ ไม่เหมือนสมัยนี้  ยิ่งวันเสาร์ที่เป็นวันเด็กด้วย คนจะเยอะมาก เพราะอยากได้ของที่ระลึกวันเด็กที่ธนาคารออมสินแจกทุกปี เวลาจะไปฝากเงิน ก็เดินเอาครับ สมัยก่อนจะไปไหนมาไหน เน้นเดินครับ รถเมล์มีน้อยสาย ถึงจะไม่เสียเงินเพราะยังเด็กอยู่ก็เถอะ เลยทำให้จนทุกวันนี้ ถ้าไปไหนไม่ไกลมาก ก็เน้นเดินเหมือนเดิม ได้ออกกำลังกายด้วย

    รูปนี้เป็นตึกด้านขวา ด้านหลังของตึกนี้ ก็คือโรงเรียนเบญจมราชาลัย ทรงของตึกเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อน เป็นตึกไม้ 3 ชั้น ดูน่ากลัวๆ ยังไงไม่รู้ ยิ่งมีเรื่องเล่าว่าตึกนี้มีผี ยิ่งทำให้ไม่ค่อยมีเด็กคนไหนอยากจะเดินผ่านชั้น 2 ของตึกนี้เวลาเย็นๆ ด้วยโครงสร้างของตึกเป็นไม้ ก็จะมีวิธีดูแลรักษาพื้นไม้ให้เงาวับ เค้าเรียกวิธีลงเทียน วิธีทำผมไม่รู้หรอกว่าทำอย่างไร มีส่วนผสมอะไรบ้าง เพราะครูที่สอนวิชาการงาน จะเป็นคนจัดการ พวกผมมีหน้าที่ขัดให้ขึ้นเงาเท่านั้น สารพัดวิธีที่จะเอามาใช้ เริ่มตั้งแต่ผ้าผืนเล็ก ก็นั่งขัดไป แต่ถ้ามีผ้าผืนใหญ่อันนี้สนุกแล้ว เพราะจะให้เพื่อนที่ตัวเล็กๆ นั่นหมายความรวมถึงผมด้วย นั่งที่ชายผ้า แล้วเพื่อนที่ตัวโตกว่า จะลากผ้าไปรอบๆ ห้อง สนุกดี ลงเทียนพื้นไม้นี่ ระยะเวลาการลงเทียนไม่แน่นอนหรอกครับ อาจจะเทอมละ ครั้งหรือสองครั้ง แล้วแต่จะเห็นสมควร ส่วนตึกที่เห็นในรูปเป็นตึกที่สร้างขึ้นมาใหม่ ไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ แต่น่าจะหลายปีแล้ว ส่วนรถที่เห็นจอดอยู่นั้น ก็เป็นรถของคนที่มาเข้าโบสถ์วันอาทิตย์
    โบสถ์ที่พูดถึง ก็หมายถึงเทพมณเฑียร ที่ตั้งอยู่ชั้น 3 คือบริเวณที่เป็นฐานของฟักทองนั่นแหล่ะครับ http://www.siamganesh.com/hindusamaj.html    เวปนี้จะบอกรายละเอียดต่างๆ ของเทพมณเฑียรได้อย่างดีเลยครับ บริเวณชั้น 3 นี่ ทุกวันศุกร์ช่วงเวลาบ่าย ก่อนเลิกเรียน นักเรียนทุกคน ทุกชั้น จะต้องขึ้นไปสวดมนต์ ถ้าเข้าไปดูรูปในเวปแล้วจะเห็ยพรมแดงๆ นั่นแหล่ะครับ เด็กจะนั่งกันอยู่ที่พรมนั่น แบ่งซ้ายขวา ผู้ชายฝั่งหนึ่ง ผู้หญิงฝั่งหนึ่ง ไล่กันมาตั้งแต่ด้านหน้าใกล้กับเทวรูป ก็จะเป็นเด็กชั้นเล็กที่สุด ไล่มาข้างหลังสุดก็จะเป็น ม.3
    รูกจักโรงเรียนเก่าผมแล้ว ครั้งหน้า จะพาไปพบกับวีรกรรมสุดแสบสมัยมัธยมกัน ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่