.
ตามความหมายของคำว่า
อุปโลกน์ จาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน คือ อุปโลกน์[อุปะโหฺลก อุบปะโหฺลก] : ก. ยกกันขึ้นเป็น เช่น อุปโลกน์ให้เป็นหัวหน้า
คำๆนี้คือตัวอย่างที่ดีที่สะท้อนถึงความผิดเพี้ยนและบิดเบี้ยวของสังคมไทยในปัจจุบัน เพราะคำๆนี้ แต่เดิมมีรากศัพท์มาจากคำทางพระพุทธศาสนา ที่ดั้งเดิมเรียกว่า
อปโลกน์ [อะปะโหฺลก] แต่เรียกกันผิดเพี้ยน จนเป็นอุปโลกน์[อุบปะโหฺลก]กันต่อมา และที่แย่ก็คือความหมายก็ผิดเพี้ยนไปจากคำดั้งเดิมที่หมายถึง อปโลกน์ [อะปะโหฺลก] ซึ่งหมายถึง : บอกเล่า, การบอกเล่า, การบอกกล่าวกับที่ประชุมเพื่อให้รับทราบพร้อมกัน หรือขอความเห็นชอบร่วมกันในกิจบางอย่างของส่วนรวม (ความหมายจาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์)
มีพระรูปหนึ่งท่านได้อธิบายความหมายของคำๆนี้ในทางธรรมให้เข้าใจง่ายๆ ว่า
การอปโลกน์ คือ การสมมุติขึ้นมา อย่างเช่น การประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า "
ยัคเฆ ภัณเต สังโฆ ชานาตุ" ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดฟังคำข้าพเจ้า บัดนี้ได้มีทายกทายิกาผู้มีจิตศรัทธา น้อมนำมาซึ่งภัตตาหาร ถวายเป็นสังฆทานในท่ามกลางสงฆ์ อันว่าสังฆทานนั้นย่อมมีผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ไม่ได้จำเพาะเจาะจงให้เฉพาะภิกษุสามเณรรูปใดรูปหนึ่ง แต่ว่าสมควรแก่สงฆ์ทั่วทั้งสังฆมณฑล ให้แจกแก่สงฆ์ทั้งหลายในบรรดาที่มาถึงในสถานที่นั้น
และบัดนี้ข้าพเจ้าจักสมมติตนเป็นผู้แจกของสงฆ์ ถ้าหากว่าเห็นไม่สมควรก็ให้ทักท้วงขึ้นได้อย่าได้เกรงใจ หากสงฆ์ทั้งหลายเห็นว่าสมควรแล้วก็ให้นิ่งอยู่ ..... ในเมื่อสงฆ์ทั้งหลายนิ่งอยู่ ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นการสมควรแล้ว จึงขอแจกภัต ณ บัดนี้ แล้วก็เริ่มต้นว่า "
อะยัง ปะฐะมะภาโค มหาเถรัสสะปาปุนาติ" ส่วนที่ ๑ พึงถึงแก่พระมหาเถระ ผู้เป็นใหญ่เหนือกว่าข้าพเจ้า "
อะวะเสสาภาคา อัมหากัง สามเณรานัญจะ ปาปุนาติ" ส่วนที่เหลือจึงถึงแก่ข้าพเจ้าตลอดจนพระภิกษุทั้งมัชฌิมะ และนวกะคือผู้กลางและผู้ใหม่ทั้งหลายตลอดจนถึงสามเณรทุกรูปด้วย
เมื่อเหลือจากพระภิกษุและสามเณรทำภัตกิจแล้วไซร้ ขอมอบให้เป็นของทายก ทายิกา ตลอดจนถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ต้องการมีส่วนร่วมในอาหารนี้ด้วยเทอญ ทำในลักษณะนี้ถ้าพระอื่นในหมู่คณะหรือในที่ประชุมนั้นตอบว่า "
สาธุ" ก็เป็นอันว่าภัตตราหารเหล่านั้น เหล่าทายก ทายิกา ผู้มีจิตศรัทธาผู้นำมาถวายหรือมาเข้าพิธีนั้นๆสามารถร่วมทานได้
ความหมายในทางธรรมเป็นเช่นนั้น ก็นับว่าสมเหตุสมผล เพราะพุทธสานิกชนผู้เลื่อมใสศรัทธาพุทธศาสนาเป็นผู้เต็มใจนำภัตตราหารมาถวายแด่คณะสงฆ์
เหล่าสงฆ์ย่อมสามารถสมมุติตนเองเป็นประธาน และสามารถหารือกันเองได้ (อปโลกน์) ว่าจะจัดการอย่างไรต่อไปในพิธีกรรมนั้นๆ
แต่ในทางโลกนอกจากจะนำคำมาใช้โดยไม่รักษารูปเสียงเดิมแล้ว ยังตีความหมายให้ความหมายเดิมผิดเพี้ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยใช้แทนความหมายกิริยา ที่แตกต่างไปจนไม่น่าเชื่อว่าคำๆนี้มาจากทางพระพุทธศาสนา เห็นได้ชัดจาก ในแวดวงการเมืองในปัจจุบัน กับการอุปโลกน์ ซึ่งผมขอเรียกว่า
แนวคิดอุปโลกน์นิยม ที่กระทำการโดยวิธีการบังคับเอาอำนาจมาจากผู้อื่นโดยมิใช่ผู้อื่นมอบให้ด้วยความเต็มใจ แล้วอุปโลกน์ แต่งตั้งตัวเองเองเป็นประธานครอบครองอำนาจส่วนรวม แม้จะกล่าวอ้างว่า ไม่มีใครออกมาต่อต้านขัดขืน
แต่มองให้ลึกก็จะทราบเหตุผลได้ว่า ที่ได้มาเป็นเพราะใช้กำลังบังคับข่มขู่นั้นต่างหาก
ดังนั้นแนวคิดนี้ที่ว่า เมื่อมากันเองแล้ว จะแต่งตั้งกันเองอย่างไรก็ได้ มันเป็นการอุปโลกน์กันขึ้นมาเองของมนุษย์ที่พยายามปรุงแต่งตนเองให้มีภาพลักษณ์ที่สูงส่งตามแบบอย่างคณะสงฆ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนความดีงามอย่างหนึ่งในสังคมพุทธศาสนา
เป็นการกระทำที่ อุตริ และผิดเพี้ยนจากนัยยะที่แท้จริงของความหมายดั้งเดิม แต่มันดูน่าเกลียดและอัปลักษณ์ไปไหม หากมองย้อนไปถึงความหมายดั้งเดิมของคำ น่าเกลียดไปไหมหากเปรียบเทียบการกระทำของตนเองกับการกระทำดั้งเดิม ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ หากงานบุญใดที่มีสงฆ์ทำพิธี แล้วทั้งงาน มีแต่สงฆ์เท่านั้น ที่ร้องขานรับ “สาธุ” แต่ชาวบ้านเบ้ปากสั่นหัวกันทั่วหน้า ภาพเหล่านั้นควรเกิดขึ้นหรือไม่ คิดว่าทุกคนที่เข้ามาอ่านคงรู้คำตอบดี
ผมเห็นบางคนอ้างคุณงามความดีกันตลอดเวลา เลยขอเปลี่ยนแนวมาเขียนบทความอิงความดีงามทางพุทธศาสนาดูบ้าง เอาความหมายของคำพระที่ท่านว่า มาบอกกล่าวกันบ้าง จะได้ไม่หลงผิดเข้าใจพลาด จนผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
เพราะถ้าถึงตอนลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ แล้วชาวบ้านไม่ร้องขาน “[สาธุ” มันคงน่าเกลียดและถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของความอัปลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตยของชาติเราแน่ๆ
ชอบอ้างคุณงามความดีกันนัก ไอ้รองอดีตเด็กวัดเก่าเลยขอเปิดกัณฑ์เทศน์ย่อยๆ สั่งสอน เหล่าคนดีสาวกผุ้งมงายในนิกายอุปโลกน์นี้สักหน่อย เพื่อจะได้ตาสว่างขึ้นมาบ้าง
ป.ล.แนวคิดอุปโลกน์นิยม เป็นแบบไหน ถ้าท่านผู้อ่านได้ติดตามการเมืองอยู่บ้าง ก็จะรู้ได้เองว่าแนวคิดเช่นนี้มีจริงหรือไม่
ขอคุยกับเพื่อนพี่น้องที่เข้ามาอ่านบทความของผมอยู่เป็นประจำสักหน่อยว่า ผมไม่ได้จะเปลี่ยนแนวมาเขียนเรื่องธัมมะธัมโมหรอกนะครับ บังเอิญว่าช่วงหลังได้อ่านหนังสือประเภทนี้บ้าง เลยตั้งข้อสังเกตุบางอย่างและจับประเด็นบางส่วนมาเขียนเป็นบทความ เพราะอย่างที่บอกไปในบทความที่เเล้วว่า ตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นคนเคร่งครัดปฏิบัติตนตามกรอบของศาสนาเป็นกิจวัตรอันใด ความลึกซึ้งเชี่ยวชาญในด้านนี้ก็หามีไม่ มีเพียงความรู้เพียงผิวเผินแค่ปลายก้อย แต่ที่ยังหยิบมาเขียนก็เพราะว่า ราชดำเนินแห่งนี้ สิ่งดีๆที่เคยมีให้อ่านกันอยู่เป็นประจำ มันลดน้อยลงจนน่าใจหาย บางทีเกร็ดความรู้ที่ผมนำมาอ้างอิง แม้ว่ามันจะน้อยนิด แต่มันก็ยังดีกว่า ที่จะปล่อยให้สาระความรู้หดหายและหมดไปจากห้องราชดำเนิน
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
(บทความ...นายพระรอง) แนวคิดอุปโลกน์นิยม ความผิดเพี้ยนของสังคม ที่บิดเบี้ยวกันจนอัปลักษณ์
ตามความหมายของคำว่า อุปโลกน์ จาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน คือ อุปโลกน์[อุปะโหฺลก อุบปะโหฺลก] : ก. ยกกันขึ้นเป็น เช่น อุปโลกน์ให้เป็นหัวหน้า
คำๆนี้คือตัวอย่างที่ดีที่สะท้อนถึงความผิดเพี้ยนและบิดเบี้ยวของสังคมไทยในปัจจุบัน เพราะคำๆนี้ แต่เดิมมีรากศัพท์มาจากคำทางพระพุทธศาสนา ที่ดั้งเดิมเรียกว่า อปโลกน์ [อะปะโหฺลก] แต่เรียกกันผิดเพี้ยน จนเป็นอุปโลกน์[อุบปะโหฺลก]กันต่อมา และที่แย่ก็คือความหมายก็ผิดเพี้ยนไปจากคำดั้งเดิมที่หมายถึง อปโลกน์ [อะปะโหฺลก] ซึ่งหมายถึง : บอกเล่า, การบอกเล่า, การบอกกล่าวกับที่ประชุมเพื่อให้รับทราบพร้อมกัน หรือขอความเห็นชอบร่วมกันในกิจบางอย่างของส่วนรวม (ความหมายจาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์)
มีพระรูปหนึ่งท่านได้อธิบายความหมายของคำๆนี้ในทางธรรมให้เข้าใจง่ายๆ ว่า
การอปโลกน์ คือ การสมมุติขึ้นมา อย่างเช่น การประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า "ยัคเฆ ภัณเต สังโฆ ชานาตุ" ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดฟังคำข้าพเจ้า บัดนี้ได้มีทายกทายิกาผู้มีจิตศรัทธา น้อมนำมาซึ่งภัตตาหาร ถวายเป็นสังฆทานในท่ามกลางสงฆ์ อันว่าสังฆทานนั้นย่อมมีผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ไม่ได้จำเพาะเจาะจงให้เฉพาะภิกษุสามเณรรูปใดรูปหนึ่ง แต่ว่าสมควรแก่สงฆ์ทั่วทั้งสังฆมณฑล ให้แจกแก่สงฆ์ทั้งหลายในบรรดาที่มาถึงในสถานที่นั้น
และบัดนี้ข้าพเจ้าจักสมมติตนเป็นผู้แจกของสงฆ์ ถ้าหากว่าเห็นไม่สมควรก็ให้ทักท้วงขึ้นได้อย่าได้เกรงใจ หากสงฆ์ทั้งหลายเห็นว่าสมควรแล้วก็ให้นิ่งอยู่ ..... ในเมื่อสงฆ์ทั้งหลายนิ่งอยู่ ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นการสมควรแล้ว จึงขอแจกภัต ณ บัดนี้ แล้วก็เริ่มต้นว่า "อะยัง ปะฐะมะภาโค มหาเถรัสสะปาปุนาติ" ส่วนที่ ๑ พึงถึงแก่พระมหาเถระ ผู้เป็นใหญ่เหนือกว่าข้าพเจ้า "อะวะเสสาภาคา อัมหากัง สามเณรานัญจะ ปาปุนาติ" ส่วนที่เหลือจึงถึงแก่ข้าพเจ้าตลอดจนพระภิกษุทั้งมัชฌิมะ และนวกะคือผู้กลางและผู้ใหม่ทั้งหลายตลอดจนถึงสามเณรทุกรูปด้วย
เมื่อเหลือจากพระภิกษุและสามเณรทำภัตกิจแล้วไซร้ ขอมอบให้เป็นของทายก ทายิกา ตลอดจนถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ต้องการมีส่วนร่วมในอาหารนี้ด้วยเทอญ ทำในลักษณะนี้ถ้าพระอื่นในหมู่คณะหรือในที่ประชุมนั้นตอบว่า "สาธุ" ก็เป็นอันว่าภัตตราหารเหล่านั้น เหล่าทายก ทายิกา ผู้มีจิตศรัทธาผู้นำมาถวายหรือมาเข้าพิธีนั้นๆสามารถร่วมทานได้
ความหมายในทางธรรมเป็นเช่นนั้น ก็นับว่าสมเหตุสมผล เพราะพุทธสานิกชนผู้เลื่อมใสศรัทธาพุทธศาสนาเป็นผู้เต็มใจนำภัตตราหารมาถวายแด่คณะสงฆ์ เหล่าสงฆ์ย่อมสามารถสมมุติตนเองเป็นประธาน และสามารถหารือกันเองได้ (อปโลกน์) ว่าจะจัดการอย่างไรต่อไปในพิธีกรรมนั้นๆ
แต่ในทางโลกนอกจากจะนำคำมาใช้โดยไม่รักษารูปเสียงเดิมแล้ว ยังตีความหมายให้ความหมายเดิมผิดเพี้ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยใช้แทนความหมายกิริยา ที่แตกต่างไปจนไม่น่าเชื่อว่าคำๆนี้มาจากทางพระพุทธศาสนา เห็นได้ชัดจาก ในแวดวงการเมืองในปัจจุบัน กับการอุปโลกน์ ซึ่งผมขอเรียกว่า แนวคิดอุปโลกน์นิยม ที่กระทำการโดยวิธีการบังคับเอาอำนาจมาจากผู้อื่นโดยมิใช่ผู้อื่นมอบให้ด้วยความเต็มใจ แล้วอุปโลกน์ แต่งตั้งตัวเองเองเป็นประธานครอบครองอำนาจส่วนรวม แม้จะกล่าวอ้างว่า ไม่มีใครออกมาต่อต้านขัดขืน แต่มองให้ลึกก็จะทราบเหตุผลได้ว่า ที่ได้มาเป็นเพราะใช้กำลังบังคับข่มขู่นั้นต่างหาก
ดังนั้นแนวคิดนี้ที่ว่า เมื่อมากันเองแล้ว จะแต่งตั้งกันเองอย่างไรก็ได้ มันเป็นการอุปโลกน์กันขึ้นมาเองของมนุษย์ที่พยายามปรุงแต่งตนเองให้มีภาพลักษณ์ที่สูงส่งตามแบบอย่างคณะสงฆ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนความดีงามอย่างหนึ่งในสังคมพุทธศาสนา เป็นการกระทำที่ อุตริ และผิดเพี้ยนจากนัยยะที่แท้จริงของความหมายดั้งเดิม แต่มันดูน่าเกลียดและอัปลักษณ์ไปไหม หากมองย้อนไปถึงความหมายดั้งเดิมของคำ น่าเกลียดไปไหมหากเปรียบเทียบการกระทำของตนเองกับการกระทำดั้งเดิม ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ หากงานบุญใดที่มีสงฆ์ทำพิธี แล้วทั้งงาน มีแต่สงฆ์เท่านั้น ที่ร้องขานรับ “สาธุ” แต่ชาวบ้านเบ้ปากสั่นหัวกันทั่วหน้า ภาพเหล่านั้นควรเกิดขึ้นหรือไม่ คิดว่าทุกคนที่เข้ามาอ่านคงรู้คำตอบดี
ผมเห็นบางคนอ้างคุณงามความดีกันตลอดเวลา เลยขอเปลี่ยนแนวมาเขียนบทความอิงความดีงามทางพุทธศาสนาดูบ้าง เอาความหมายของคำพระที่ท่านว่า มาบอกกล่าวกันบ้าง จะได้ไม่หลงผิดเข้าใจพลาด จนผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เพราะถ้าถึงตอนลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ แล้วชาวบ้านไม่ร้องขาน “[สาธุ” มันคงน่าเกลียดและถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของความอัปลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตยของชาติเราแน่ๆ
ชอบอ้างคุณงามความดีกันนัก ไอ้รองอดีตเด็กวัดเก่าเลยขอเปิดกัณฑ์เทศน์ย่อยๆ สั่งสอน เหล่าคนดีสาวกผุ้งมงายในนิกายอุปโลกน์นี้สักหน่อย เพื่อจะได้ตาสว่างขึ้นมาบ้าง
ป.ล.แนวคิดอุปโลกน์นิยม เป็นแบบไหน ถ้าท่านผู้อ่านได้ติดตามการเมืองอยู่บ้าง ก็จะรู้ได้เองว่าแนวคิดเช่นนี้มีจริงหรือไม่
ขอคุยกับเพื่อนพี่น้องที่เข้ามาอ่านบทความของผมอยู่เป็นประจำสักหน่อยว่า ผมไม่ได้จะเปลี่ยนแนวมาเขียนเรื่องธัมมะธัมโมหรอกนะครับ บังเอิญว่าช่วงหลังได้อ่านหนังสือประเภทนี้บ้าง เลยตั้งข้อสังเกตุบางอย่างและจับประเด็นบางส่วนมาเขียนเป็นบทความ เพราะอย่างที่บอกไปในบทความที่เเล้วว่า ตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นคนเคร่งครัดปฏิบัติตนตามกรอบของศาสนาเป็นกิจวัตรอันใด ความลึกซึ้งเชี่ยวชาญในด้านนี้ก็หามีไม่ มีเพียงความรู้เพียงผิวเผินแค่ปลายก้อย แต่ที่ยังหยิบมาเขียนก็เพราะว่า ราชดำเนินแห่งนี้ สิ่งดีๆที่เคยมีให้อ่านกันอยู่เป็นประจำ มันลดน้อยลงจนน่าใจหาย บางทีเกร็ดความรู้ที่ผมนำมาอ้างอิง แม้ว่ามันจะน้อยนิด แต่มันก็ยังดีกว่า ที่จะปล่อยให้สาระความรู้หดหายและหมดไปจากห้องราชดำเนิน
ขอบคุณครับ
นายพระรอง