อารัมภบท
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศยูโกสลาเวียในอดีต เพื่อนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
อนึ่ง บทความต่อไปนี้ ข้าพเจ้าได้นำไปโพสต์ยังเพจ"เมื่อมอดไหม้ ไฟสงคราม"อยู่ก่อนหน้านี้ โดยหวังว่าข้อมูลดังต่อไปนี้ อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งแก่ท่านผู้สนใจใคร่ศึกษา หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-180066308851476/
มีขึ้น ตั้งอยู่ แตกดับ กฎของธรรมชาติข้อนี้ยังคงทรงพลังและแข็งแกร่ง ไม่ว่าสัตว์ มนุษย์ สังคม ชาติ มหาภาค สรรพสิ่งใด ก็มิอาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมของการล่มสลายไปได้ แต่เรา อาจชะลอการสูญสลายมันได้ เพียงแค่ ..... ?
มาจะกล่าวบทไป ถึงสงครามใหญ่ที่ยูโกสลาเวีย แต่ก่อนที่ผมจะพูดถึงการล่มสลายของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียในปี 1992 นั้น คงต้องเริ่มเล่าเรื่องของชาวเซิร์บในเซอร์เบียก่อน และก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องของชาวเซิร์บในเซอร์เบียนั้น ผมก็จะขอพูดถึงเรื่องชาวสลาฟกลุ่มนี้ ก่อนที่จะมีการรวมตัวก่อตั้งสหพันธ์ขึ้น และล่มสลายไปในที่สุด โดยขออิงฐานข้อมูลจากวิกิพีเดียเป็นหลัก
เริ่มต้น ต้องมาว่ากันถึงกลุ่มชาติพันธุ์สลาฟที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งพอจะแบ่งออกได้อยู่ 3 กลุ่ม คือกลุ่มชาวสลาฟที่อาศัยอยู่ตะวันตก กลุ่มซีกตะวันออก และ ที่อาศัยอยู่ทางใต้ของทวีปยุโรป ซึ่งถิ่นฐานเดิมของชนสลาฟซึ่งเคยรวมตัวกันอย่างเหนี่ยวแน่นนั้น โดยการสันนิษฐานว่าอาจเคยอาศัยอยู่แถบยุโรปตะวันออกมาก่อน กระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 6 ชนสลาฟก็แผ่ขยายไปจากที่ตั้งถิ่นฐานเดิมไปจนถึงทางตะวันออกสุดของยุโรปกลาง และ คาบสมุทรบอลข่าน บางกลุ่มก็ไปถึงไซบีเรียและเอเชียกลางหรือไปยังส่วนอื่นๆ ของโลก แต่ในที่นี่ เราจะมาเจาะจงไปที่ชาวสลาฟใต้ ที่อาศัยอยู่ในแถบคาบสมุทรบอลข่าน นั้นคือชนชาวเซิร์บในประเทศเซอร์เบีย

(ชุดและการแต่งกายของชนพื้นเมืองเซอร์เบีย)
มาจะกล่าวบทไปถึงจักรวรรดิเซอร์เบีย ในช่วงราชวงศ์ราดซีวิลล์เป็นผู้สร้างและปกครองดินแดนนี้มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งอยู่ภายใต้อาณัติแห่งอาณาจักรออตโตมัน จึงคงสถานะเป็นราชรัฐเซอร์เบียเรื่อยมา ลุถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อาณาจักรออตโตมันเริ่มเสื่อมอำนาจลงจากการทำสงครามอยู่บ่อยครั้ง อาณาจักรต่างๆซึ่งอยู่ใต้การปกครองทั้งหลายก็เริ่มแข็งเมือง ซึ่งในห้วงเวลาเดียวกันนั้น พวกไวแนคหรือชาวเชเชนได้หันไปสวามิภักดิ์ต่อจักรวรรดิ์รัสเซีย ที่กำลังเรืองอำนาจอยู่ทางตอนเหนือแล้ว ซึ่งนั้นมันก็เป็นเรื่องของเชเชนใครสนใจอยากไปเชือด ก็ตามอ่านบทความของพี่เชษฐาเอานะ เหอๆ...
กลับมาว่ากันต่อกับชาวเซิร์บ

(Kralj Milan Obrenovic เจ้าชายมิลานที่ 1 )
ณ เวลานั้นเองราชรัฐเซอร์เบีย นำโดยเจ้าชายมิลาน ออเบรนอวิก ก็นำทัพทำสงครามขับไล่กองทหารออตโตมันออกจากเซอร์เบียไปได้สำเร็จ ทำให้เซอร์เบียได้รับอิสรภาพในปี 1878 ตามสนธิสัญญาเบอร์ลินก็ได้รับรองให้ราชอาณาจักรเซอร์เบียได้เอกราชอย่างเป็นทางการอีกด้วย สร้างความยินดีปรีดาต่อมวลมหาชนชาวเซิร์บเป็นอย่างยิ่ง และพระองค์เองได้รับการสถาปนาราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ต่อมา(ในปี 1882-1889)
ณ เวลานั้นเซอร์เบียถือเป็นประเทศที่มีกำลังทหารแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรข้างเคียงเสียอีก นั่นหมายความว่า ชาวเชื้อชาติอื่นข้างเคียงต้องอยู่ใต้อาณัติการปกครองโดยชาวเซิร์บ รวมถึงชาติซึ่งมีกำลังอ่อนด้อยอื่นๆ ก็ต้องอยู่ในความปกครองดูแลนั้นด้วยเช่นกัน.....

(ภาพบนคือสงครามบอลข่านครั้งที่ 1 ส่วนภาพล่างนั้นหัวข่า ปัดโธ่ พูดคำว่าบอลข่านที่ไรนึกถึงหัวข่าทู้กที)
.....ราชอาณาจักรเซอร์เบียในช่วง ค.ศ.ที่ 1912 ได้เกิดสงครามบอลข่านครั้งที่ 1 ขึ้นระหว่างจักรวรรดิออตโตมันกับสันนิบาตบอลข่าน(บัลแกเรีย กรีซ มอนเตเนโกรและเซอร์เบีย) ผลของสงครามนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งสูญเสียดินแดนเกือบทั้งหมดเป็นค่าปฏิกรรมสงคราม และประเทศเซอร์เบียนั้นยังได้ดินแดนเมืองวอยโวดีนา และสิทธิ์ครอบครองมอนเตเนโกร ทำให้เซอร์เบียขยายอาณาเขตกว้างออกไปยิ่งขึ้น
ต้นปี ค.ศ.ที่19 นี่เอง ที่เซอร์เบียได้มีการรวมศูนย์อำนาจการปกครองชนชาติอื่นเข้าด้วยกันเรื่อยมา อาณาเขตของเซอร์เบียแผ่ขยายออกไปกลืนกินอาณาจักรใกล้เคียง เช่น มอนเตเนโกร โคโซโว วอยโวดีนา มาซีโดเนีย สโลวีเนีย และโครเอเชียเป็นต้น หลังจากนั้นราชอาณาจักรเซอร์เบียยุติการเป็นราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1918 เมื่อชาวเซิร์บและมอนเตเนโกร รวมตัวกับรัฐแห่งชาวสโลวีน ชาวโครแอต ก่อตั้งเป็น"รัฐแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน" ที่ชื่อต้องเป็นเช่นนี้คงเป็นไปเพื่อการประนีนอม ในเรื่องของเชื้อชาติและศาสนาเป็นหลัก และเพื่อป้องกันความขัดแย้งและการแบ่งแยกกันนั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เราพอจะคาดการณ์ถึงนัยยะสำคัญประการหนึ่ง คือประเทศอื่นๆ มิได้ยินยอมรับอธิปไตยภายใต้การปกครองของพวกเซิร์บเท่าไรนัก

(PetarI-Karadjordjevic สมเด็จพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1)
จนมาถึงในยุคกษัตริย์แห่งเซอร์เบีย สมเด็จพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1ได้ครองราชย์ทรงปกครองชาวเมืองโดยปกติสุข แต่เค้าลางแห่งสงครามใหญ่ใกล้เริ่มปะทุขึ้นทุกที นั้นก็ด้วยนโยบายต่างประเทศแบบจักรวรรดินิยมของประเทศมหาอำนาจยุโรปทั้งหลาย ผลสืบเนื่องจากสงครามบอลข่านครั้งที่ 1และ 2 รวมถึงชนวนเหตุปลงพระชนม์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยนักชาตินิยมยูโกสลาฟ "กัฟรี ปรินซิป" ผู้ลงมือปลงพระชนม์"อาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย" เป็นผลให้เยอรมนีผู้นำฝ่ายมหาอำนาจกลาง ซึ่งเป็นพันธมิตรกับออสเตรีย-ฮังการี ใช้ข้ออ้างนี้ในการทำสงคราม ถ้าเปรียบว่าประเทศเหล่านี้มีสถานะเป็นบุคคลแล้วล่ะก็ คุณเซอร์เบียนี้โดนคุณเยอรมันกระทืบซะกระอักกระอ่วมเลยล่ะครับ แต่ผลของสงครามในที่สุดนำไปสู่การพ่ายแพ้ของฝ่ายมหาอำนาจกลางอย่างราบคาบทั้งการทหารและการเมือง เป็นผลให้ฝ่ายมหาอำนาจกลางคือจักรวรรดิ์ใหญ่ทั้งสี่รัฐ อันได้แก่ จักรวรรดิเยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี ตุรกี และบัลแกเรีย สูญดินแดนไปมหาศาล แผนที่ยุโรปกลางถูกเขียนขึ้นใหม่ องค์การสันนิบาตชาติ และสนธิสัญญาต่างๆได้ถูกจัดทำขึ้นมาเพื่อป้องกันการเกิดสงคราม แต่.....กลับนำไปสู่สงครามใหญ่อีกครั้ง !

หลังมรสุมใหญ่สงครามโลกครั้งที่ 1 ผ่านไป สมเด็จพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 ทรงเสด็จสวรรคต ที่สุดแล้วสมเด็จพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มกุฎราชกุมารได้ขึ้นครองราชอาณาจักรเซิร์บโครแอตและสโลวีนแทน ท่ามกลางความชื่นมื่นยินดีของหลายฝ่าย แต่ไม่ใช่กับชนบางกลุ่มที่ถูกกดขี่เรื่อยมาตลอดการปกครองของชาวเซิร์บ เค้าลางอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่การแตกแยกในเรื่องเชื้อชาติ และวิกฤตทางการเมือง มันเริ่มขึ้นเมื่อนายสเตฟาน ราดิก นักการเมืองชาวโครแอตถูกลอบสังหาร ลึกๆแล้วพระองค์คงทราบปัญหาเรื่องเหล่านี้ดี จึงทรงขจัดปัญหาในจุดนี้ ด้วยวิธีการรวมอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมด ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปิดการประชุมสภา และนำระบอบเผด็จการมาใช้แทน ทั้งนี้ยังทรงเปลี่ยนชื่อประเทศในปี 1929 เป็น "ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย"

(Alexander I, King of Yugoslavia มกุฎราชกุมารอเล็กซานเดอร์แห่งเซอร์เบีย)
.....ระบอบเผด็จการที่พระองค์นำมาใช้แก้ปัญหาได้ในหลายๆจุด ซึ่งก็สร้างความพอพระทัยให้พระองค์ได้ในบางส่วน แต่นั่น กลับเป็นดาบสองคม นำไปสู่การลอบปลงพระชนม์ในที่สุด !
ในวันที่ 9 ตุลาคม 1934 ขณะที่พระองค์เสด็จเยือนเมืองมาร์เซย์ ฝรั่งเศสเพื่อกระชับสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ ขณะทรงประทับรถพระที่นั่งเปิดประทุนแล่นไปตามทาง สองฟากข้างมีประชาชนต้อนรับกันเนืองแน่น พระองค์อยู่ท่ามกลางสายตาประชาชนที่เฝ้ามองอย่างชื่นชม แต่ในท่ามกลางฝูงชนนั้น กลับมีใครบางคนที่ประสงค์ร้ายยืนพรางตนอยู่สงบนิ่ง คอยจ้องมองพระองค์โดยไม่คลาดสายตา !
.....เมื่อทุกอย่างเข้าที่
.....เมื่อรถพระที่นั่งแล่นมาถึง
.....และ เมื่อกระสุนสังหารถูกคัดเข้ารังเพลิง...!!!
"วาโด เชอนอเซมสกี" มือสังหารจากองค์การปฏิวัติภายในมาซิโดเนียน กลุ่มปฏิวัตินี้ได้ทำการต่อสู้แบ่งแยกดินแดนวาร์ดามาซิโดเนียให้ออกจากยูโกสลาเวีย กลุ่มปฏิวัตินี้ได้ปฏิบัติการร่วมกับพันธมิตรอย่างกลุ่มการเคลื่อนไหวปฏิวัติโครเอเชีย ที่นำโดยอันเต พาเวลิช ภายใต้การสนับสนุนอย่างลับๆ ของผู้นำอิตาลี เบนิโต มุสโสลินี.....
ติดตามอ่านบทความตอนที่ 2 ตามลิงก์นี้
http://pantip.com/topic/34978383
ล้างพันธุ์ยูโกสลาเวีย (ตอนที่ 1)
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศยูโกสลาเวียในอดีต เพื่อนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
อนึ่ง บทความต่อไปนี้ ข้าพเจ้าได้นำไปโพสต์ยังเพจ"เมื่อมอดไหม้ ไฟสงคราม"อยู่ก่อนหน้านี้ โดยหวังว่าข้อมูลดังต่อไปนี้ อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งแก่ท่านผู้สนใจใคร่ศึกษา หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-180066308851476/
มีขึ้น ตั้งอยู่ แตกดับ กฎของธรรมชาติข้อนี้ยังคงทรงพลังและแข็งแกร่ง ไม่ว่าสัตว์ มนุษย์ สังคม ชาติ มหาภาค สรรพสิ่งใด ก็มิอาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมของการล่มสลายไปได้ แต่เรา อาจชะลอการสูญสลายมันได้ เพียงแค่ ..... ?
มาจะกล่าวบทไป ถึงสงครามใหญ่ที่ยูโกสลาเวีย แต่ก่อนที่ผมจะพูดถึงการล่มสลายของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียในปี 1992 นั้น คงต้องเริ่มเล่าเรื่องของชาวเซิร์บในเซอร์เบียก่อน และก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องของชาวเซิร์บในเซอร์เบียนั้น ผมก็จะขอพูดถึงเรื่องชาวสลาฟกลุ่มนี้ ก่อนที่จะมีการรวมตัวก่อตั้งสหพันธ์ขึ้น และล่มสลายไปในที่สุด โดยขออิงฐานข้อมูลจากวิกิพีเดียเป็นหลัก
เริ่มต้น ต้องมาว่ากันถึงกลุ่มชาติพันธุ์สลาฟที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งพอจะแบ่งออกได้อยู่ 3 กลุ่ม คือกลุ่มชาวสลาฟที่อาศัยอยู่ตะวันตก กลุ่มซีกตะวันออก และ ที่อาศัยอยู่ทางใต้ของทวีปยุโรป ซึ่งถิ่นฐานเดิมของชนสลาฟซึ่งเคยรวมตัวกันอย่างเหนี่ยวแน่นนั้น โดยการสันนิษฐานว่าอาจเคยอาศัยอยู่แถบยุโรปตะวันออกมาก่อน กระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 6 ชนสลาฟก็แผ่ขยายไปจากที่ตั้งถิ่นฐานเดิมไปจนถึงทางตะวันออกสุดของยุโรปกลาง และ คาบสมุทรบอลข่าน บางกลุ่มก็ไปถึงไซบีเรียและเอเชียกลางหรือไปยังส่วนอื่นๆ ของโลก แต่ในที่นี่ เราจะมาเจาะจงไปที่ชาวสลาฟใต้ ที่อาศัยอยู่ในแถบคาบสมุทรบอลข่าน นั้นคือชนชาวเซิร์บในประเทศเซอร์เบีย
(ชุดและการแต่งกายของชนพื้นเมืองเซอร์เบีย)
มาจะกล่าวบทไปถึงจักรวรรดิเซอร์เบีย ในช่วงราชวงศ์ราดซีวิลล์เป็นผู้สร้างและปกครองดินแดนนี้มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งอยู่ภายใต้อาณัติแห่งอาณาจักรออตโตมัน จึงคงสถานะเป็นราชรัฐเซอร์เบียเรื่อยมา ลุถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อาณาจักรออตโตมันเริ่มเสื่อมอำนาจลงจากการทำสงครามอยู่บ่อยครั้ง อาณาจักรต่างๆซึ่งอยู่ใต้การปกครองทั้งหลายก็เริ่มแข็งเมือง ซึ่งในห้วงเวลาเดียวกันนั้น พวกไวแนคหรือชาวเชเชนได้หันไปสวามิภักดิ์ต่อจักรวรรดิ์รัสเซีย ที่กำลังเรืองอำนาจอยู่ทางตอนเหนือแล้ว ซึ่งนั้นมันก็เป็นเรื่องของเชเชนใครสนใจอยากไปเชือด ก็ตามอ่านบทความของพี่เชษฐาเอานะ เหอๆ...
กลับมาว่ากันต่อกับชาวเซิร์บ
(Kralj Milan Obrenovic เจ้าชายมิลานที่ 1 )
ณ เวลานั้นเองราชรัฐเซอร์เบีย นำโดยเจ้าชายมิลาน ออเบรนอวิก ก็นำทัพทำสงครามขับไล่กองทหารออตโตมันออกจากเซอร์เบียไปได้สำเร็จ ทำให้เซอร์เบียได้รับอิสรภาพในปี 1878 ตามสนธิสัญญาเบอร์ลินก็ได้รับรองให้ราชอาณาจักรเซอร์เบียได้เอกราชอย่างเป็นทางการอีกด้วย สร้างความยินดีปรีดาต่อมวลมหาชนชาวเซิร์บเป็นอย่างยิ่ง และพระองค์เองได้รับการสถาปนาราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ต่อมา(ในปี 1882-1889)
ณ เวลานั้นเซอร์เบียถือเป็นประเทศที่มีกำลังทหารแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรข้างเคียงเสียอีก นั่นหมายความว่า ชาวเชื้อชาติอื่นข้างเคียงต้องอยู่ใต้อาณัติการปกครองโดยชาวเซิร์บ รวมถึงชาติซึ่งมีกำลังอ่อนด้อยอื่นๆ ก็ต้องอยู่ในความปกครองดูแลนั้นด้วยเช่นกัน.....
(ภาพบนคือสงครามบอลข่านครั้งที่ 1 ส่วนภาพล่างนั้นหัวข่า ปัดโธ่ พูดคำว่าบอลข่านที่ไรนึกถึงหัวข่าทู้กที)
.....ราชอาณาจักรเซอร์เบียในช่วง ค.ศ.ที่ 1912 ได้เกิดสงครามบอลข่านครั้งที่ 1 ขึ้นระหว่างจักรวรรดิออตโตมันกับสันนิบาตบอลข่าน(บัลแกเรีย กรีซ มอนเตเนโกรและเซอร์เบีย) ผลของสงครามนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งสูญเสียดินแดนเกือบทั้งหมดเป็นค่าปฏิกรรมสงคราม และประเทศเซอร์เบียนั้นยังได้ดินแดนเมืองวอยโวดีนา และสิทธิ์ครอบครองมอนเตเนโกร ทำให้เซอร์เบียขยายอาณาเขตกว้างออกไปยิ่งขึ้น
ต้นปี ค.ศ.ที่19 นี่เอง ที่เซอร์เบียได้มีการรวมศูนย์อำนาจการปกครองชนชาติอื่นเข้าด้วยกันเรื่อยมา อาณาเขตของเซอร์เบียแผ่ขยายออกไปกลืนกินอาณาจักรใกล้เคียง เช่น มอนเตเนโกร โคโซโว วอยโวดีนา มาซีโดเนีย สโลวีเนีย และโครเอเชียเป็นต้น หลังจากนั้นราชอาณาจักรเซอร์เบียยุติการเป็นราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1918 เมื่อชาวเซิร์บและมอนเตเนโกร รวมตัวกับรัฐแห่งชาวสโลวีน ชาวโครแอต ก่อตั้งเป็น"รัฐแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน" ที่ชื่อต้องเป็นเช่นนี้คงเป็นไปเพื่อการประนีนอม ในเรื่องของเชื้อชาติและศาสนาเป็นหลัก และเพื่อป้องกันความขัดแย้งและการแบ่งแยกกันนั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เราพอจะคาดการณ์ถึงนัยยะสำคัญประการหนึ่ง คือประเทศอื่นๆ มิได้ยินยอมรับอธิปไตยภายใต้การปกครองของพวกเซิร์บเท่าไรนัก
(PetarI-Karadjordjevic สมเด็จพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1)
จนมาถึงในยุคกษัตริย์แห่งเซอร์เบีย สมเด็จพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1ได้ครองราชย์ทรงปกครองชาวเมืองโดยปกติสุข แต่เค้าลางแห่งสงครามใหญ่ใกล้เริ่มปะทุขึ้นทุกที นั้นก็ด้วยนโยบายต่างประเทศแบบจักรวรรดินิยมของประเทศมหาอำนาจยุโรปทั้งหลาย ผลสืบเนื่องจากสงครามบอลข่านครั้งที่ 1และ 2 รวมถึงชนวนเหตุปลงพระชนม์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยนักชาตินิยมยูโกสลาฟ "กัฟรี ปรินซิป" ผู้ลงมือปลงพระชนม์"อาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย" เป็นผลให้เยอรมนีผู้นำฝ่ายมหาอำนาจกลาง ซึ่งเป็นพันธมิตรกับออสเตรีย-ฮังการี ใช้ข้ออ้างนี้ในการทำสงคราม ถ้าเปรียบว่าประเทศเหล่านี้มีสถานะเป็นบุคคลแล้วล่ะก็ คุณเซอร์เบียนี้โดนคุณเยอรมันกระทืบซะกระอักกระอ่วมเลยล่ะครับ แต่ผลของสงครามในที่สุดนำไปสู่การพ่ายแพ้ของฝ่ายมหาอำนาจกลางอย่างราบคาบทั้งการทหารและการเมือง เป็นผลให้ฝ่ายมหาอำนาจกลางคือจักรวรรดิ์ใหญ่ทั้งสี่รัฐ อันได้แก่ จักรวรรดิเยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี ตุรกี และบัลแกเรีย สูญดินแดนไปมหาศาล แผนที่ยุโรปกลางถูกเขียนขึ้นใหม่ องค์การสันนิบาตชาติ และสนธิสัญญาต่างๆได้ถูกจัดทำขึ้นมาเพื่อป้องกันการเกิดสงคราม แต่.....กลับนำไปสู่สงครามใหญ่อีกครั้ง !
หลังมรสุมใหญ่สงครามโลกครั้งที่ 1 ผ่านไป สมเด็จพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 ทรงเสด็จสวรรคต ที่สุดแล้วสมเด็จพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มกุฎราชกุมารได้ขึ้นครองราชอาณาจักรเซิร์บโครแอตและสโลวีนแทน ท่ามกลางความชื่นมื่นยินดีของหลายฝ่าย แต่ไม่ใช่กับชนบางกลุ่มที่ถูกกดขี่เรื่อยมาตลอดการปกครองของชาวเซิร์บ เค้าลางอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่การแตกแยกในเรื่องเชื้อชาติ และวิกฤตทางการเมือง มันเริ่มขึ้นเมื่อนายสเตฟาน ราดิก นักการเมืองชาวโครแอตถูกลอบสังหาร ลึกๆแล้วพระองค์คงทราบปัญหาเรื่องเหล่านี้ดี จึงทรงขจัดปัญหาในจุดนี้ ด้วยวิธีการรวมอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมด ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปิดการประชุมสภา และนำระบอบเผด็จการมาใช้แทน ทั้งนี้ยังทรงเปลี่ยนชื่อประเทศในปี 1929 เป็น "ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย"
(Alexander I, King of Yugoslavia มกุฎราชกุมารอเล็กซานเดอร์แห่งเซอร์เบีย)
.....ระบอบเผด็จการที่พระองค์นำมาใช้แก้ปัญหาได้ในหลายๆจุด ซึ่งก็สร้างความพอพระทัยให้พระองค์ได้ในบางส่วน แต่นั่น กลับเป็นดาบสองคม นำไปสู่การลอบปลงพระชนม์ในที่สุด !
ในวันที่ 9 ตุลาคม 1934 ขณะที่พระองค์เสด็จเยือนเมืองมาร์เซย์ ฝรั่งเศสเพื่อกระชับสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ ขณะทรงประทับรถพระที่นั่งเปิดประทุนแล่นไปตามทาง สองฟากข้างมีประชาชนต้อนรับกันเนืองแน่น พระองค์อยู่ท่ามกลางสายตาประชาชนที่เฝ้ามองอย่างชื่นชม แต่ในท่ามกลางฝูงชนนั้น กลับมีใครบางคนที่ประสงค์ร้ายยืนพรางตนอยู่สงบนิ่ง คอยจ้องมองพระองค์โดยไม่คลาดสายตา !
.....เมื่อทุกอย่างเข้าที่
.....เมื่อรถพระที่นั่งแล่นมาถึง
.....และ เมื่อกระสุนสังหารถูกคัดเข้ารังเพลิง...!!!
"วาโด เชอนอเซมสกี" มือสังหารจากองค์การปฏิวัติภายในมาซิโดเนียน กลุ่มปฏิวัตินี้ได้ทำการต่อสู้แบ่งแยกดินแดนวาร์ดามาซิโดเนียให้ออกจากยูโกสลาเวีย กลุ่มปฏิวัตินี้ได้ปฏิบัติการร่วมกับพันธมิตรอย่างกลุ่มการเคลื่อนไหวปฏิวัติโครเอเชีย ที่นำโดยอันเต พาเวลิช ภายใต้การสนับสนุนอย่างลับๆ ของผู้นำอิตาลี เบนิโต มุสโสลินี.....
ติดตามอ่านบทความตอนที่ 2 ตามลิงก์นี้ http://pantip.com/topic/34978383