เราไม่เชื่อฟังพ่อแม่หนักมาก มีวิธีแก้ยังไงบ้างคะ

เราก็ไม่ใช่เด็กๆแล้วล่ะค่ะ ปีหน้าก็ย่าง 30 เข้าไปละ แต่เรายังไม่มีท่าทีว่าเรา จะลด ละ เลิก ทะเลาะกับแม่และพ่อได้เลยในหลายๆครั้งที่คุยกัน เราพยายามข่มใจแล้ว แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ทะเลาะกัน หลังจากทะเลาะกัน เราก็รู้สึกผิด คิดมาก บางครั้งเผลอไปว่าแม่แรงๆต่อหน้าคนอื่น แต่รู้ตัวอีกทีนึง มันก็ไม่ทันแล้ว

ส่วนประวัติเรา ตั้งแต่เราเกิด เราอยู่กับพี่สาวที่บ้านย่า ย่าและอา(น้องพ่อ) เป็นคนที่เลี้ยงเรามา ตั้งแต่เราเกิด (แต่แม่กับพ่อไม่ได้เลิกกันนะคะ พอดีตอนนั้นท่านมีความจำเป็น) เราอาศัยกับย่ามาจน อายุ 18 ปี (ค่าใช้จ่ายตั้งแต่เกิดจนจบ ม.ต้น ย่าและอา เป็นคนส่งเสียทั้งหมด แม่และพ่อ เริ่มต้นส่งเราเรียนตั้งแต่ม.ปลาย จนจบมหาวิทยาลัย) (ระหว่างนี้ แม่ก็มารับเรากลับไปอยู่ด้วย แต่เราไม่ไป แต่พี่สาวเรา ต้องย้ายไปอยู่กับพ่อ ตอนเข้า ม.1) จนเราเข้ามหาลัย เราเลือกมหาลัยที่ไกลบ้านที่สุด เรามีความรู้สึกที่ไม่อยากอยู่บ้าน อยู่บ้านแล้วเราอึดอัด ไม่ใช่ว่าเราอยู่กับย่าแล้วเราอึดอัด แต่เราอึดอัดที่เราไม่อยากกลับไปอยู่กับแม่ เรารู้สึกผิด ที่เราไม่กลับไปอยู่กับแม่ เราเลยเลือกที่จะหนี หนีไปที่ไกลๆ ทุกครั้งตอนปิดเทอม เราไม่รู้สึกอยากกลับบ้านเลย ถ้าเป็นเทอมซัมเมอร์เราจะเรียนซัมเมอร์ เรากลับบ้านปีละประมาณ 5 วัน เรากลับบ้านไปเมื่อไหร่ เราจะมานอน มาเที่ยว มานั่งเล่นบ้านย่าซะส่วนใหญ่ เป็นเหตุให้พ่อกับแม่มักจะน้อยใจ ท่านไม่ได้บอกเราหรอก แต่เราสัมผัสได้จากคำพูดที่ท่านพูดออกมา

และตั้งแต่เราจำความได้ เราทำอะไร แม่ไม่เคยเห็นว่าดีเลย ตั้งแต่เราเด็กๆ แม่มักจะนำเราไปเปรียบเทียบกับลูกพี่ลูกน้อง(อายุเท่ากัน) เสมอๆ ตั้งแต่เรื่องการเรียน ลามไปจนถึงเรื่องการแต่งกาย จนถึงตอนนี้ก็ยังเปรียบเทียบอยู่ มีอยู่ครั้งนึง เราไปซื้อเสื้อผ้า เราพาแม่ไปด้วย แม่พูดว่า "ทำไมไม่แต่งตัวให้มันดีเหมือนพี่...(ชื่อลูกพี่ลูกน้อง) บ้าง" เราเลยตอบกลับไปกึ่งตะโกน ต่อที่สาธารณะว่า "ถ้าชอบพี่...(ชื่อลูกพี่ลูกน้อง) คนนี้มาก แม่ก็ไปเป็นแม่เขาเลยแม่" เรารู้แหละ ว่าแม่เสียใจมาก เราก็เสียใจเหมือนกัน

แม่อยากให้เราทำอาชีพอาชีพนึงซึ่งเราไม่ได้มีความรักและชอบในสาขาอาชีพนั้นเลย(ลูกพี่ลูกน้องเราคนนั้น เขาเรียนคณะที่แม่เราอยากให้เราเรียน) แต่เหมือนแม่ยิ่งยัดเยียด เรายิ่งถอยห่าง เรายิ่งปิด เรามีปัญหาอะไร เราไม่เคยเล่าให้พ่อ แม่ พี่ น้อง ย่า อา หรือคนในครอบครัวเราฟังเลย และพอเราไม่ชอบอาชีพนั้นมากๆ ตอนเราสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราไม่ปรึกษาใครในครอบครัวเลย เราอยากเข้าเรียนในสายศิลป์ แต่เราก็ยังไม่กล้าพอที่จะขัดคำสั่งแม่จนสุดทาง เรากลัวว่าแม่จะไม่พอใจ(คนแถวบ้านมักชื่นชมคนเรียนสายวิทย์) เราก็เลยเลือกเรียกในสาขาสายวิทย์ ซึ่งก็เป็นคณะที่เราไม่ได้ชอบซักเท่าไหร่ ทันทีที่ประกาศผลสอบออกมา เราดีใจมาก เราสอบติดคณะและมหาลัยที่เราเลือกไว้ ซึ่งแน่นอน เป็นมหาลัยที่ไกลบ้านมาก ห่างกันเกือบ 1000 km ตอนนั้นเราอยู่บ้านย่า ทั้งย่า ทั้งอา น้องน้อง ดีใจกันทุกคน ทันทีที่เรารู้ เรารีบโทรไปหาแม่ เราบอกแม่ว่าเราสอบติดคณะนี้ มหาวิทยาลัยนี้ ต้องรายงานตัววันนี้ ทันทีที่เราพูดจบ แม่ก็ถามว่า "ไม่มีคณะและมหาลัยที่ดีกว่านี้แล้วหรอ" เราเลยตอบแม่ไปว่า "ถ้าไม่ให้เรียนคณะนี่ ที่นี่ ก็เอาตังค์มา จะไปเรียนราม" และแม่ก็เงียบไป คงจะเป็นอีกครั้งนึงที่เราทำให้แม่เสียใจ

ณ ตอนนี้ เราอายุ 29 ย่าง 30 (ก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยได้คุยกับแม่ จนกระทั่งแม่ส่งเราเรียนหนังสือ เราเลยเริ่มคุยกับท่านมากขึ้น) แม่เริ่มไม่ค่อยพูดกับเรา เพราะแม่เคยพูดให้คนอื่นฟังว่า แม่พูดอะไรกับเราไม่ได้ พูดเมื่อไหร่ เถียงเมื่อนั้น แต่เรารู้ว่าท่านรักและเป็นห่วงเรา เรามีพี่น้องรวมเราทั้งหมดสี่คน เราเป็นคนที่สาม ทั้งสามคนแม่เลี้ยงมาทุกคน(รวมถึงพี่สาวที่ย้ายไปอยู่กับแม่ตั้งแต่ ม.1 พี่สาวมีนิสัยก้าวร้าวกับแม่มากกว่าเรา แต่พี่สาวเราก็รักแม่มาก) มีเราคนเดียวที่โตมากับย่า เรารู้สึกว่า เราไม่สนิทกับพี่น้องคนไหนเลย ตอนนี้กลับบ้านไป เรารู้สึกเหมือนเราไม่ใช่คนในครอบครัว ที่บ้านมีปัญหา มีเรื่องอะไร เราจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องตลอดเวลา คุยเรื่องอะไรกันก็แล้วแต่ ถึงแม้ว่าเราอยู่ร่วมในเหตุการณ์ แต่สุดท้ายแล้ว เหมือนเราโดนผลักออกมาจากวงอยู่บ่อยๆ

ถ้าพูดไป ถามว่าเรารักแม่ไหม ตอบได้เต็มปากเลยว่ารัก ย่ากับอาเราก็รัก เราว่าเรารักทั้งสามท่านเท่าๆกันเลยแหละ แต่เราจะสนิทกับย่ากับอา มากกว่ากับแม่ ทุกคนมักจะมาบอกเราว่า มีอะไรให้แม่มากกว่า กลับบ้านให้ไปบ้านแม่ก่อน ก่อนจะแวะบ้านย่า(ตอนเรียน เรามักจะแวะไปหาย่า นอนกับย่าก่อนเสมอ) ตอนเราไปเรียนปีแรก เรากลับมาบ้าน เราคิดถึงย่ามาก เรานอนกอดย่าทั้งคืน กอดไม่ปล่อย เหงื่อออกก็ไม่ปล่อยจนเช้า แม่ไม่เคยกอดเรา แต่เราเคยกอดแม่ครั้งนึง ตอนวันเกิดเรา เมื่อปีที่แล้ว ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและยังเป็นครั้งเดียว ที่เราเคยกอดแม่ มีอะไรเราก็อยากแบ่งให้เท่าๆกัน เราคิดว่าทั้งสามท่านมีบุญคุณกับเราเท่าเทียมกัน ย่ากันอาท่านเลี้ยงดูอบรมเรามาตลอดทั้ง 18 ปี แม่ก็ให้กำเนิดเรา แต่เรามองว่า ถ้าไม่ได้คนเลี้ยงอบรมสั่งสอนเราดี เราก็ไม่สามารถมีวันนี้ได้เช่นกัน เรามีอะไรก็จะแบ่งเท่าๆกัน สมมติว่าครั้งนี้เราให้เงินพ่อกับแม่ อีกครั้งนึงเราก็ซื้อเสื้อผ้าให้อา อีกครั้งก็ซื้อของใช้ให้ย่า แต่คนอื่นๆมักจะบอกให้เรา ให้แม่มากกว่า ซึ่งมันขัดกับความรู้สึกเรา เพราะเราเห็นอา เห็นย่าต้องลำบาก เพื่อที่จะหาเงินมาส่งให้เราเรียน ทั้งที่เขาก็ไม่ค่อยมี ถ้าถามว่า แล้วแม่ล่ะ ไม่ลำบากหรอ แม่ก็น่าจะลำบากเหมือนกัน ที่พยายามหาเงินส่งให้เราเรียน แต่เราคิดว่านั่นเป็นหน้าที่ของพ่อและแม่ทุกคนที่พึงกระทำ แต่กับย่าและอา ไม่ใช่หน้าที่ของท่านเลย แต่ท่านก็ยังเลี้ยงดูเรามาอย่างดี เราเลยคิดว่า ถ้าเรามีอะไรเราแบ่งให้ทั้งสามท่านเท่าเทียมกัน มันคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด สำหรับเราแล้ว

และตอนนี้แม่กดดันเราเรื่องแต่งงาน เราและแฟนมีแผนแต่งงานกัน ในอีกไม่เกินสองปี เราอธิบาย เราบอกแม่ถึงความจำเป็น ตอนเราพูดให้แม่ฟัง เหมือนแม่จะเข้าใจ แต่พอเวลาผ่านไป แม่ก็จะถามเราอีก ถามจนเราเครียด ถามแทบจะทุกครั้งที่เราโทรคุยกัน(เราทำงานต่างจังหวัด) ที่เรายังไม่แต่งกันคือ เราไม่พร้อมในเรื่องสำคัญ แต่เหมือนแม่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ เราก็เป็นคนแข็งๆ แม่เลยไม่ค่อยกล้าพูดกับเรา แต่จะไปบ่นกับลูกคนอื่นๆ แล้วมันก็วกเข้ามาถึงหูเราจนได้ เราเครียดมาก แม่อยากให้เราแต่งงาน เพราะเราเป็นลูกคนเดียวที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลัก แต่เป็นเพราะว่า แม่แคร์คำพูดคนอื่น มากกว่าเรา มากกว่าลูก มากกว่าคนในครอบครัว แม่กลัวว่าจะถูกนินทา ตอนนี้เรารู้สึกกดดัน ที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา เราไม่กล้าพาแฟนไปบ้าน เราเคยพาไปคนนึง คบกันมาประมาณ 5 ปี ซึ่งไปด้วยความไม่ได้ตั้งใจ คนนั้นก็มีโอกาสได้รู้จักกับญาติๆ เรา แต่สุดท้ายแล้ว เราเลิกกัน แม่เราคงจะผิดหวังมาก แต่เราก็ผิดหวังไม่ต่างจากแม่ ผู้ชายคนนั้นมีผู้หญิงคนอื่น เราซื้อรถ ซื้อบ้าน พร้อมจะสร้างครอบครัว แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นคนบอกเลิกเรา เขาบอกว่า เขาไม่ได้รักเราแล้ว เขาไม่อยากโกหกเราว่าเขารักเราอีกต่อไป เราก็ตัดสินใจรับคำบอกเลิกของเขา แต่เราก็ไม่ได้บอกครอบครัวเราว่าเหตุผลจริงๆที่เลิกกับคนนั้นเพราะอะไร เราบอกที่บ้านว่า เราเป็นคนบอกเลิกเอง เราไม่อยากให้พ่อแม่เป็นห่วง ไม่อยากให้ใครเป็นห่วง เราจึงทำตัวเป็นว่าเราเข้มแข็ง เราแอบร้องไห้คนเดียว ก็ไม่มีใครรู้ ในเฟสของเรา เราไม่เคยพูดถึงเรื่องแย่ๆของเรา เราไม่เคยระบายว่าเราเจ็บยังไง เรารู้สึกยังไง ทุกวันนี้ พ่อแม่เราก็ยังพูดกับคนอื่นๆ ในทำนองที่ว่าเราไม่น่าเลิกกับคนนั้นไป เราก็ได้แต่รู้สึกแย่ ทุกวันนี้พ่อแม่ยังไม่กล้าบอกใครเลย ว่าเราเลิกกับแฟนคนนั้นไปแล้ว เค้ากลัวคนจะว่า กลัวคนจะนินทา ถึงตอนนี้เราไม่กล้าพาแฟนคนปัจจุบันไปบ้าน ทั้งๆที่เราอยากพาไป เพราะเรากลัวว่าถ้าไม่ได้แต่งงานกัน พ่อแม่จะเสียหน้าอีก คิดว่าจะพาไปแนะนำก็ตอนไปขอเลย แต่ที่เรารู้สึกแย่ที่สุด ก็ตอนที่พี่ชายเราพูดว่า "มันก็ไม่ไหวนะ พาไปบ้านปีละคน แม่ก็คงอาย" จากวันนั้นถึงวันนี้ เราคุยกับพี่ชายเราปกติ แต่เราไม่สนิทใจเหมือนเดิม เรารู้สึกว่า ตอนนี้ ทั้งบ้าน เราอยู่ตัวคนเดียว...

ตอนนี้เรากำลังวางแผนที่จะแต่งงาน เราไม่อยากให้งานแต่งเรา งานรื่นเริง งานที่ควรยินดี กลายเป็นงานเศร้าเคล้าน้ำตา ของเรากับแม่ เราไม่รู้จะทำไงดี ให้ท่านรับฟังเรา หรือให้เรารับฟังท่านมากขึ้น

ปล. กับย่าหรือกับอา เราไม่เคยเถียงเลย

อาจจะยาวไปหน่อย ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ เราอัดอั้นมานาน ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำแนะนำ และพันทิพสำหรับที่ให้เราได้ระบายความอัดอั้นที่ไม่สามารถพูดกับใครได้ ขอบคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่