===============
หุบเหวบนฟากฟ้า
===============
Psycho G.
ผมคิดว่าคุณหมอเองก็ต้องหาว่าผมบ้าอย่างแน่นอน เมื่ออ่านบันทึกฉบับนี้จบ แต่นั่นไม่สำคัญหรอกเพราะไม่ว่าใครก็ยากจะทำใจเชื่อกับเรื่องราวพิลึกโลกอันขัดต่อสามัญสำนึกของคนธรรมดา
ถ้าจะบอกว่าอยู่ดีๆ มวลของผมลดลงไป 20 กิโลกรัมเวลา 2 วันโดยที่ไม่ได้เข้าโปรแกรมลดน้ำหนักหรืออดอาหารเลยสักนิด คงไม่มีใครยอมเชื่อ แต่ถึงจะมีหลักฐานปรากฏให้เห็นคงจะมีคนไม่อยากเชื่อเหมือนกัน เพราะมันผิดปกติวิสัยธรรมดาสามัญทั่วไป
“อะไรนะ น้ำหนักลงอีกแล้ว”
บรรดาเพื่อนมารุมมองเครื่องชั่งพลางพากันพูดอย่างแปลกใจ พวกเราอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังและผมกำลังยืนอยู่บนเครื่องชั่งน้ำหนักแบบหยอดเหรียญ ผมมองตัวเลขแล้วฝืนยิ้มให้กับเพื่อนด้วยสีหน้าท่าทางพยายามให้ดูเป็นปกติทั้งที่รู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน
“สงสัยเครื่องมันคงเสีย” ผมตั้งสมมุติฐานแต่พวกเพื่อนไม่ยอมรามือง่าย ๆ
“แกลงมาก่อน ข้าจะลองชั่งดูมั่ง”
จากนั้นเจ้าเพื่อนขี้สงสัยก็จัดการขึ้นไปยืนบนเครื่องชั่ง ลงทุนหยอดเหรียญสนองความอยากรู้ พอมองตัวเลขบอกน้ำหนักสีหน้าท่าทางของมันแสดงความแปลกใจชัดเจน
“เครื่องมันไม่ได้เสียนี่นา” มันตั้งข้อสังเกตพลางชี้ให้เพื่อน ๆ ดู
“เห็นไหม น้ำหนักข้าไม่เปลี่ยน แต่แก....”
มันหยุดพูดแล้วหันมามองผมเหมือนมองมนุษย์ต่างดาว
“น้ำหนักแกวัดได้เท่าลูกหมา มันเป็นไปได้ยังไง แกเป็นคนหรือเปล่า หรือว่าเป็นเอเลี่ยน”
“มันอาจเป็นไปได้ว่า “เพื่อนอีกคนยื่นหน้ามาเสนอแนะทางออกให้ ทั้งที่สายตาของมันที่มองมายังผมเต็มไปด้วยความสงสัยเช่นกัน
“เครื่องชั่งมันเลือกคน มันไม่ชอบใจคนไหนก็ให้ตัวเลขมั่วๆ แล้วแกไปทำอะไรให้มันไม่พอใจวะ”
“ไอ้บ้า”
ผมหัวเราะแล้วด่าเจ้าเพื่อนจอมกวนไปคำหนึ่ง ก่อนทำเป็นไม่เห็นว่าเรื่องนี้สำคัญอะไรมากมาย แต่ความจริงแล้วผมรู้สึกใจหายและหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ความผิดปกติแปลกประหลาดเกิดกับผมมาหลายวันแล้ว
พวกคุณต้องเคยมองท้องฟ้า
มันลึกล้ำสวยงามเร้นลับน่าค้นหาน่าสนใจโดยเฉพาะกับคนว่างจัด ความจริงผมเองก็เคยมองท้องฟ้าในแบบอย่างที่พวกคุณเคยมอง แต่ความรู้สึกมันต่างกัน พวกคุณมองเห็นท้องฟ้าเป็นความว่างเปล่าสูงขึ้นไปในอากาศ สูงขึ้นไป..... ไกลออกไป...กลางวันผ่านหมู่เมฆขาวลอยฟ่องเป็นเกาะแก่งกลางเวิ้งน้ำสีคราม กลางคืนผ่านดวงดาวส่องแสงระยิบยับออกไปไกลแสนไกลสูงสุดจินตนาการ ใต้ฝ่าเท้าของพวกคุณคือพื้นดินลึกล้ำดำดิ่งลงไปสู่ใจกลางโลก เบื้องบนเบื้องล่างตรงกันข้ามกันคนละขั้วคนละทิศทาง เป็นสิ่งที่เราท่านรู้กันเป็นอย่างดี
แต่กับผมไม่ได้เป็นแบบนั้น
หลังจากความอ้างว่างเงียบเหงาและคำว่า “ตกงาน” มาเจอกัน จนเกิดหลุมบ่อบนเส้นทางชีวิต ทำให้ผมมีเวลาว่างสำหรับตัวเองหลังจากเหินห่างไปนานในช่วงทำงาน มีเวลาออกมานอนบนเก้าอี้ผ้าใบช่วงบ่ายบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน นอนมองท้องฟ้าปล่อยจินตนาการฟุ้งซ่านกระจายขึ้นไปอย่างไร้ความหมาย ระยะแรกก็ไม่มีอะไรมากมายนอกจากความเวิ้งว้างและความหม่นมัวของถนนชีวิตในอนาคตไกลลิบจนมองไม่เห็น แต่พอนานวันเข้าความคิดและจินตนาการของผมเริ่มเปลี่ยนไป
มีนิยายอยู่บนท้องฟ้า มีเรื่องราวอยู่ในกลุ่มก้อนเมฆ พวกมันก่อตัวเป็นภาพสร้างเรื่องราวมากมายตามใจจินตนาการ ยิ่งมีเวลาจ้องมองนานเท่าไรยิ่งมองเห็นชีวิตและเรื่องราวมากมายหลายหลากขึ้นทุกที จนผมเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติอันน่าประหลาดเมื่อพบว่าก้อนเมฆจำนวนหนึ่งไม่ได้เคลื่อนที่ไปตามกระแสลม พวกมันลอยไปมาเหมือนมีชีวิต บางครั้งรวมกลุ่มสุมหัวกันเหมือนปรึกษาหารือกัน บางครั้งกระจายกันออกไปทางใครทางมันหายไปหลายวัน ก่อนจะลอยกับมาหากันอีก ถ้าใครไม่สังเกตคงไม่ความน่ามหัศจรรย์ใจของบรรดาก้อนเมฆพวกนี้แน่นอน
ในบางวันท้องฟ้าปราศจากก้อนเมฆ แต่ไม่ได้หมายความว่าผืนฟ้าครามจะไม่มีความหมาย มีอะไรบางอย่างหลบซ่อนอยู่บนท้องฟ้าและเฝ้าสังเกตความเป็นไปบนโลกอย่างเงียบงัน ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าท้องฟ้าเป็นอะไรกันแน่ บางทีอาจเป็นสิ่งมีชีวิตห่อหุ้มโลกของเราอยู่ คอยเฝ้ามองความเป็นไปบนพื้นโลกอย่างสนใจ และบางครั้งอาจอยากเล่นสนุกกับพวกเราด้วย หรืออาจเป็นกรงขังไร้สภาพโดยมีอวกาศกว้างไกลเป็นลูกกรงอนันต์
คุณคงเคยอ่านข่าวว่ามีคนหายสาบสูญไปบ่อย ๆ พวกเขาอาจโดนฆาตกรรม ลักพาตัว หรืออะไรก็ตามแต่ผู้คนจะสมุติฐาน ความจริงผมกำลังคิดว่าท้องฟ้าอาจมีส่วนขโมยคนเหล่านั้นไปจากโลก แน่นอนว่าท้องฟ้าฉลาดพอในการเลือกเหยื่อ และไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความสนุก เหมือนกรณีคนเราออกไปในป่าล่าสัตว์เป็นเกมกีฬามากกว่าจะต้องการนำมาเป็นอาหาร
ผมอยากให้คุณมีเวลามองท้องฟ้ามากพอ เพื่อจะได้รู้ว่าผมไม่ได้คิดหรือฟุ้งซ่านไปเอง มันก็ดีอยู่หรอกเมื่อคุณมองท้องฟ้าใหม่ ๆ คุณจะชื่นชมกับภาพวิวทิวทัศน์บนท้องฟ้า ภูเขามากมายหลายลูกเรียงรายกลางทะเลสีครามและฟองคลื่นตามจินตนาการ แต่พอเวลาผ่านไปภาพนิยายบนท้องฟ้าจะเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกทีจนกระทั่งเริ่มรู้สึกว่าก้อนเมฆพวกนั้นกำลังจ้องมองอยู่ บางครั้งยังยิ้มเยาะเย้ยด้วยด้วยนัยน์ตาที่มองไม่เห็น บางทีคุณอาจจะได้ยินเสียงของพวกมันกำลังนินทาเยาะเย้ยคุณอยู่ด้วยซ้ำ
ว่าไปแล้วบางครั้งบางวันก้อนเมฆพวกนี้กล้าหาญขนาดเปลี่ยนแปลงเป็นภาพใบหน้าอสุรกายมหึมาจ้องมองลงมาอย่างไม่เกรงใจ พอผมคว้ากล้องจะถ่ายภาพเป็นหลักฐานพวกมันก็รีบสลายตัวไปอย่างรวดเร็วและสนุกสนานราวกับว่ามันไม่อยากปรากฏตัวเป็นหลักฐาน
ผมรู้ว่าท้องฟ้ากำลังสนใจผมอยู่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันกำลังเชิญชวนแกมบังคับอย่างเงียบเชียบ
ไม่นานมานี้เอง ผมเริ่มรู้แล้วว่ามันกำลังจะทำอะไร
เช้าวันหนึ่งขณะผมกำลังก้าวเท้าลงบันไดเดินไปยังสนามหญ้าหน้าบ้าน ก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ตัวเบาหวิว พื้นดินหมุนคว้างเหมือนคนจะเป็นลม แต่ไม่ใช่.. ผมยังมีสติดีพอจะรับรู้ว่าแผ่นดินกำลังโคลงเคลงไปมาเหมือนกำลังยืนอยู่บนเรือกลางทะเลคลั่งคลื่นลม ตอนแรกคิดว่าเป็นแผ่นดินไหว แต่หลังจากเหตุการณ์สงบลง กลับพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสภาพเรียบร้อยอาคารบ้านเรือน สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ อยู่ในสภาพปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถ้าอย่างนั้นปัญหาต้องอยู่ที่ตัวผมเอง อาจเป็นเพราะส่วนควบคุมการทรงตัวผิดปกติ
ผมไปให้หมอตรวจร่างกาย ผลออกมาว่าสุขภาพร่างกายของผมแข็งแรงเป็นปกติดีทุกประการ เป็นได้ไหมว่าร่างกายของผมอาจจะเสียศูนย์เสียการทรงตัวชั่วคราว แต่จะอธิบายการทำตัวนอกกฎของแรงโน้มถ่วงอย่างไร
วันต่อมาความผิดปกติมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อผมอาบน้ำแต่งตัวก่อนเดินออกจากบ้านตั้งใจจะไปสมัครงานอะไรก็ได้ เพื่อความอยู่รอดของชีวิต เพราะเงินสะสมร่อยหรอลงทุกที ถ้าไม่มีเงินคงอดตายในอนาคต
พอเดินพ้นออกจากบ้านผ่านสนามหญ้าเกือบถึงประตูรั้ว ผมรู้สึกว่าตัวเบาหวิวราวกับจะล่องลอยได้ อาการแบบนั้นมันน่าจะเป็นของคนเสพยามากกว่า แต่ในชีวิตผมไม่เคยแตะต้องสิ่งเสพติดมอมเมามาก่อน จึงไม่น่าจะมีอาการคล้ายคนเสพยา เท้าเหยียบพื้นเหมือนไม่ถนัดชอบกล แล้วพื้นดินก็เริ่มเอียงทีละนิด...ทีละนิด...จนกลายเป็นพื้นเอียงลาดชันสี่สิบห้าองศาอย่างไม่น่าเชื่อ...และที่สำคัญดูเหมือนว่าเหตุการณ์ประหลาดนี้จะเกิดขึ้นกับผมคนเดียว เพราะถนนหน้าบ้าน ผู้คนเดินผ่านไปมายังมีลำตัวตั้งฉากกับพื้นกันทุกคน มีผมคนเดียวเท่านั้นยืนนิ่งตัวเอียงผิดมนุษย์
เด็กผู้หญิงวัยสี่ห้าขวบจูงมือคุณแม่วัยสาวเดินผ่านหน้าบ้าน ผ่านประตูรั้วซึ่งเป็นประตูเหล็กดัดโปร่ง สามารถมองเข้ามาในบริเวณบ้านได้ชัดเจน เธอดึงมือผู้เป็นแม่ให้มองมายังผมแล้วพูดเสียงใสว่า
“คุณแม่คะ พี่เขาทำอะไรอยู่คะ ทำไมยืนตัวเอียงได้คะ”
ผู้เป็นแม่หยุดเดินพลางขยับแว่นไปมาจ้องมองอย่างพิจารณาแล้วหันไปบอกกับลูกสาวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า
“พี่เขาต้องฝึกการออกกำลังกายแบบใหม่แน่เลย ต้องมีอุปกรณ์พิเศษสักอย่างทำให้พี่เขาเอียงได้จ๊ะ”
อุปกรณ์กับผีน่ะสิ... ผมนึกในใจ รู้ว่าขณะนี้คนอื่นมองเห็นผมยืนตัวเอียงสี่สิบห้าองศาอยู่กับพื้นแบบไม่น่าเป็นไปได้ และยังเข้าใจว่ามีเครื่องมือมาช่วยทำตัวเอียง อยากจะขำแต่ก็ขำไม่ออก ผมจะอธิบายให้คนอื่นรู้ได้อย่างไรกับเหตุการณ์ประหลาดที่กำลังเผชิญอยู่ ผมไม่กล้าเดินตัวเอียงออกจากเขตบ้านเพราะมันจะดูผิดธรรมชาติและคงกลายเป็นจุดสนใจซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด
ผมพยายามเดินกลับเข้ามาในตัวบ้านอย่างลำบากเหมือนเดินขึ้นเนินเขาสูงชัน เพราะถนนข้างสนามหญ้ากลายเป็นพื้นที่ลาดชันไปเสียแล้ว เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในห้องนั่งเล่น พื้นซึ่งเคยเอียงก็ค่อยกลับมาเป็นสภาพปกติ ทำให้ผมสามารถไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องทำเอียงตัวกับพื้น ความตั้งใจจะออกไปหางานทำนอกบ้านเลยระงับไว้ก่อนจากความไม่แน่ใจและหวาดผวากับอาการประหลาดพิลึกโลก หลังจากอยู่ในบ้านทั้งวันผมก็เริ่มคิดว่าจะต้องออกจากบ้านไปหางานทำให้ได้ในวันต่อไป จะมานั่งนอนไม่ทำงานคงอดตายเข้าสักวัน
เช้าวันต่อมาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ผมตั้งสติให้ดี เตรียมพร้อมเดินออกจากบ้าน ราวกับว่ามีอันตรายใหญ่หลวงรออยู่ข้างนอก ทั้งที่ยังไม่มีอะไรปรากฏตัวออกมาคุกคาม เอาล่ะ... เป็นอย่างไรก็เป็นกัน ผมคิดในใจก่อนก้าวเท้าออกจากบ้านตรงไปยังประตูรั้วหน้าบ้าน
เมื่อผมก้าวออกจากบ้าน พื้นดินก็เริ่มทักทายด้วยการเอียงวูบขึ้นมาทันทีราวกับว่ามันรอคอยผมอยู่ตลอดเวลา และในวันนี้อาการหนักมากขึ้นกว่าเดิม พื้นดินเอียงถึงระดับเก้าสิบองศาจนกลายเป็นหน้าผาสูงชันไปเสียแล้ว ผมลื่นไถลไปตามพื้นดินเหมือนคนตะกายปากเหว เคราะห์ดีว่ามือคว้าต้นไม้หน้าบ้านไว้ทัน ห้อยต่องแต่งอยู่กับหน้าผาซึ่งเคยเป็นสนามหญ้า อาการประหลาดไม่มีผลต่ออย่างอื่นเลย โต๊ะหินอ่อนและสิ่งของต่างๆ ยังคงวางอยู่บนหน้าผาไม่ได้ร่วงหล่นลงไปตามความลาดเอียง
เด็กหญิงคนเดิมกับคุณแม่วัยสาวเดินผ่านหน้าบ้านแล้วพากันหยุดมองลอดเหล็กดัดของประตูรั้วหน้าบ้านเข้ามา คงอยากรู้ว่าผมฝึกพิเศษไปได้ขนาดไหน
“โห...คุณแม่คะ ดูสิ พี่เขาลอยในอากาศทำตัวขนานได้ด้วย เก่งจริงเลยนะคะ”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในสายตาของแม่ลูกบ้านใกล้เรือนเคียงมองเห็นร่างของผมลอยตัวขนานไปกับพื้นดินเหมือนมายากล โดยมีมือทั้งสองข้างยึดต้นไม้ไว้แน่น คงเป็นภาพพิสดารในสายตาคนอื่น แต่คงไม่มีใครนึกว่าผมกำลังจะตกลงไหลลงไปตามผิวโลกแน่นอน
“พยายามเข้านะคะ” ผู้เป็นแม่เอามือป้องปากร้องมาให้กำลังใจ “ทำได้ขนาดนี้ไปออกงานวัดเก็บเงินได้เลยนะคะ”
ฟังแล้วทั้งขำทั้งสยองกับสภาพตนเอง ยังดีว่าหลังจากนั้นไม่นานก่อนผมจะหมดแรงยึด พื้นดินเริ่มเอียงกลับคืนสู่สภาพปกติ จากหุบเหวชันดิ่งนรกเก้าสิบองศาก็ค่อยกลายมาเป็นพื้นแนวราบเหมือนเดิม ผมหล่นลงไปนอนบนพื้นด้วยอาการเหน็ดเหนื่อยจากการออกแรงยึดขาโต๊ะแบบไม่คิดชีวิตเพื่อไม่ให้ตัวเองร่วงหล่นลงไปตามหน้าผาชันเมื่อครู่
เปล่า...ผมคิดว่ามันไม่ได้ใจดีหรือสงสารผมหรอก มันกำลังล้อผมเล่นเหมือนแมวจับหนูได้แต่ยังไม่ยอมกิน เอาไว้ตบเล่นสักพักเพื่อความสนุกสนาน ปล่อยให้ตายใจแล้วเล่นงานหนักภายหลัง พอตั้งตัวได้ผมลุกขึ้นวิ่งเข้าไปในบ้านแบบไม่คิดชีวิตและอกสั่นขวัญหาย มีอาการเหมือนคนสติแตกไปพักใหญ่
.........,มีต่อครับ.........
หุบเขาลึกบนฟากฟ้า
หุบเหวบนฟากฟ้า
===============
Psycho G.
ผมคิดว่าคุณหมอเองก็ต้องหาว่าผมบ้าอย่างแน่นอน เมื่ออ่านบันทึกฉบับนี้จบ แต่นั่นไม่สำคัญหรอกเพราะไม่ว่าใครก็ยากจะทำใจเชื่อกับเรื่องราวพิลึกโลกอันขัดต่อสามัญสำนึกของคนธรรมดา
ถ้าจะบอกว่าอยู่ดีๆ มวลของผมลดลงไป 20 กิโลกรัมเวลา 2 วันโดยที่ไม่ได้เข้าโปรแกรมลดน้ำหนักหรืออดอาหารเลยสักนิด คงไม่มีใครยอมเชื่อ แต่ถึงจะมีหลักฐานปรากฏให้เห็นคงจะมีคนไม่อยากเชื่อเหมือนกัน เพราะมันผิดปกติวิสัยธรรมดาสามัญทั่วไป
“อะไรนะ น้ำหนักลงอีกแล้ว”
บรรดาเพื่อนมารุมมองเครื่องชั่งพลางพากันพูดอย่างแปลกใจ พวกเราอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังและผมกำลังยืนอยู่บนเครื่องชั่งน้ำหนักแบบหยอดเหรียญ ผมมองตัวเลขแล้วฝืนยิ้มให้กับเพื่อนด้วยสีหน้าท่าทางพยายามให้ดูเป็นปกติทั้งที่รู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน
“สงสัยเครื่องมันคงเสีย” ผมตั้งสมมุติฐานแต่พวกเพื่อนไม่ยอมรามือง่าย ๆ
“แกลงมาก่อน ข้าจะลองชั่งดูมั่ง”
จากนั้นเจ้าเพื่อนขี้สงสัยก็จัดการขึ้นไปยืนบนเครื่องชั่ง ลงทุนหยอดเหรียญสนองความอยากรู้ พอมองตัวเลขบอกน้ำหนักสีหน้าท่าทางของมันแสดงความแปลกใจชัดเจน
“เครื่องมันไม่ได้เสียนี่นา” มันตั้งข้อสังเกตพลางชี้ให้เพื่อน ๆ ดู
“เห็นไหม น้ำหนักข้าไม่เปลี่ยน แต่แก....”
มันหยุดพูดแล้วหันมามองผมเหมือนมองมนุษย์ต่างดาว
“น้ำหนักแกวัดได้เท่าลูกหมา มันเป็นไปได้ยังไง แกเป็นคนหรือเปล่า หรือว่าเป็นเอเลี่ยน”
“มันอาจเป็นไปได้ว่า “เพื่อนอีกคนยื่นหน้ามาเสนอแนะทางออกให้ ทั้งที่สายตาของมันที่มองมายังผมเต็มไปด้วยความสงสัยเช่นกัน
“เครื่องชั่งมันเลือกคน มันไม่ชอบใจคนไหนก็ให้ตัวเลขมั่วๆ แล้วแกไปทำอะไรให้มันไม่พอใจวะ”
“ไอ้บ้า”
ผมหัวเราะแล้วด่าเจ้าเพื่อนจอมกวนไปคำหนึ่ง ก่อนทำเป็นไม่เห็นว่าเรื่องนี้สำคัญอะไรมากมาย แต่ความจริงแล้วผมรู้สึกใจหายและหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ความผิดปกติแปลกประหลาดเกิดกับผมมาหลายวันแล้ว
พวกคุณต้องเคยมองท้องฟ้า
มันลึกล้ำสวยงามเร้นลับน่าค้นหาน่าสนใจโดยเฉพาะกับคนว่างจัด ความจริงผมเองก็เคยมองท้องฟ้าในแบบอย่างที่พวกคุณเคยมอง แต่ความรู้สึกมันต่างกัน พวกคุณมองเห็นท้องฟ้าเป็นความว่างเปล่าสูงขึ้นไปในอากาศ สูงขึ้นไป..... ไกลออกไป...กลางวันผ่านหมู่เมฆขาวลอยฟ่องเป็นเกาะแก่งกลางเวิ้งน้ำสีคราม กลางคืนผ่านดวงดาวส่องแสงระยิบยับออกไปไกลแสนไกลสูงสุดจินตนาการ ใต้ฝ่าเท้าของพวกคุณคือพื้นดินลึกล้ำดำดิ่งลงไปสู่ใจกลางโลก เบื้องบนเบื้องล่างตรงกันข้ามกันคนละขั้วคนละทิศทาง เป็นสิ่งที่เราท่านรู้กันเป็นอย่างดี
แต่กับผมไม่ได้เป็นแบบนั้น
หลังจากความอ้างว่างเงียบเหงาและคำว่า “ตกงาน” มาเจอกัน จนเกิดหลุมบ่อบนเส้นทางชีวิต ทำให้ผมมีเวลาว่างสำหรับตัวเองหลังจากเหินห่างไปนานในช่วงทำงาน มีเวลาออกมานอนบนเก้าอี้ผ้าใบช่วงบ่ายบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน นอนมองท้องฟ้าปล่อยจินตนาการฟุ้งซ่านกระจายขึ้นไปอย่างไร้ความหมาย ระยะแรกก็ไม่มีอะไรมากมายนอกจากความเวิ้งว้างและความหม่นมัวของถนนชีวิตในอนาคตไกลลิบจนมองไม่เห็น แต่พอนานวันเข้าความคิดและจินตนาการของผมเริ่มเปลี่ยนไป
มีนิยายอยู่บนท้องฟ้า มีเรื่องราวอยู่ในกลุ่มก้อนเมฆ พวกมันก่อตัวเป็นภาพสร้างเรื่องราวมากมายตามใจจินตนาการ ยิ่งมีเวลาจ้องมองนานเท่าไรยิ่งมองเห็นชีวิตและเรื่องราวมากมายหลายหลากขึ้นทุกที จนผมเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติอันน่าประหลาดเมื่อพบว่าก้อนเมฆจำนวนหนึ่งไม่ได้เคลื่อนที่ไปตามกระแสลม พวกมันลอยไปมาเหมือนมีชีวิต บางครั้งรวมกลุ่มสุมหัวกันเหมือนปรึกษาหารือกัน บางครั้งกระจายกันออกไปทางใครทางมันหายไปหลายวัน ก่อนจะลอยกับมาหากันอีก ถ้าใครไม่สังเกตคงไม่ความน่ามหัศจรรย์ใจของบรรดาก้อนเมฆพวกนี้แน่นอน
ในบางวันท้องฟ้าปราศจากก้อนเมฆ แต่ไม่ได้หมายความว่าผืนฟ้าครามจะไม่มีความหมาย มีอะไรบางอย่างหลบซ่อนอยู่บนท้องฟ้าและเฝ้าสังเกตความเป็นไปบนโลกอย่างเงียบงัน ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าท้องฟ้าเป็นอะไรกันแน่ บางทีอาจเป็นสิ่งมีชีวิตห่อหุ้มโลกของเราอยู่ คอยเฝ้ามองความเป็นไปบนพื้นโลกอย่างสนใจ และบางครั้งอาจอยากเล่นสนุกกับพวกเราด้วย หรืออาจเป็นกรงขังไร้สภาพโดยมีอวกาศกว้างไกลเป็นลูกกรงอนันต์
คุณคงเคยอ่านข่าวว่ามีคนหายสาบสูญไปบ่อย ๆ พวกเขาอาจโดนฆาตกรรม ลักพาตัว หรืออะไรก็ตามแต่ผู้คนจะสมุติฐาน ความจริงผมกำลังคิดว่าท้องฟ้าอาจมีส่วนขโมยคนเหล่านั้นไปจากโลก แน่นอนว่าท้องฟ้าฉลาดพอในการเลือกเหยื่อ และไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความสนุก เหมือนกรณีคนเราออกไปในป่าล่าสัตว์เป็นเกมกีฬามากกว่าจะต้องการนำมาเป็นอาหาร
ผมอยากให้คุณมีเวลามองท้องฟ้ามากพอ เพื่อจะได้รู้ว่าผมไม่ได้คิดหรือฟุ้งซ่านไปเอง มันก็ดีอยู่หรอกเมื่อคุณมองท้องฟ้าใหม่ ๆ คุณจะชื่นชมกับภาพวิวทิวทัศน์บนท้องฟ้า ภูเขามากมายหลายลูกเรียงรายกลางทะเลสีครามและฟองคลื่นตามจินตนาการ แต่พอเวลาผ่านไปภาพนิยายบนท้องฟ้าจะเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกทีจนกระทั่งเริ่มรู้สึกว่าก้อนเมฆพวกนั้นกำลังจ้องมองอยู่ บางครั้งยังยิ้มเยาะเย้ยด้วยด้วยนัยน์ตาที่มองไม่เห็น บางทีคุณอาจจะได้ยินเสียงของพวกมันกำลังนินทาเยาะเย้ยคุณอยู่ด้วยซ้ำ
ว่าไปแล้วบางครั้งบางวันก้อนเมฆพวกนี้กล้าหาญขนาดเปลี่ยนแปลงเป็นภาพใบหน้าอสุรกายมหึมาจ้องมองลงมาอย่างไม่เกรงใจ พอผมคว้ากล้องจะถ่ายภาพเป็นหลักฐานพวกมันก็รีบสลายตัวไปอย่างรวดเร็วและสนุกสนานราวกับว่ามันไม่อยากปรากฏตัวเป็นหลักฐาน
ผมรู้ว่าท้องฟ้ากำลังสนใจผมอยู่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันกำลังเชิญชวนแกมบังคับอย่างเงียบเชียบ
ไม่นานมานี้เอง ผมเริ่มรู้แล้วว่ามันกำลังจะทำอะไร
เช้าวันหนึ่งขณะผมกำลังก้าวเท้าลงบันไดเดินไปยังสนามหญ้าหน้าบ้าน ก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ตัวเบาหวิว พื้นดินหมุนคว้างเหมือนคนจะเป็นลม แต่ไม่ใช่.. ผมยังมีสติดีพอจะรับรู้ว่าแผ่นดินกำลังโคลงเคลงไปมาเหมือนกำลังยืนอยู่บนเรือกลางทะเลคลั่งคลื่นลม ตอนแรกคิดว่าเป็นแผ่นดินไหว แต่หลังจากเหตุการณ์สงบลง กลับพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสภาพเรียบร้อยอาคารบ้านเรือน สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ อยู่ในสภาพปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถ้าอย่างนั้นปัญหาต้องอยู่ที่ตัวผมเอง อาจเป็นเพราะส่วนควบคุมการทรงตัวผิดปกติ
ผมไปให้หมอตรวจร่างกาย ผลออกมาว่าสุขภาพร่างกายของผมแข็งแรงเป็นปกติดีทุกประการ เป็นได้ไหมว่าร่างกายของผมอาจจะเสียศูนย์เสียการทรงตัวชั่วคราว แต่จะอธิบายการทำตัวนอกกฎของแรงโน้มถ่วงอย่างไร
วันต่อมาความผิดปกติมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อผมอาบน้ำแต่งตัวก่อนเดินออกจากบ้านตั้งใจจะไปสมัครงานอะไรก็ได้ เพื่อความอยู่รอดของชีวิต เพราะเงินสะสมร่อยหรอลงทุกที ถ้าไม่มีเงินคงอดตายในอนาคต
พอเดินพ้นออกจากบ้านผ่านสนามหญ้าเกือบถึงประตูรั้ว ผมรู้สึกว่าตัวเบาหวิวราวกับจะล่องลอยได้ อาการแบบนั้นมันน่าจะเป็นของคนเสพยามากกว่า แต่ในชีวิตผมไม่เคยแตะต้องสิ่งเสพติดมอมเมามาก่อน จึงไม่น่าจะมีอาการคล้ายคนเสพยา เท้าเหยียบพื้นเหมือนไม่ถนัดชอบกล แล้วพื้นดินก็เริ่มเอียงทีละนิด...ทีละนิด...จนกลายเป็นพื้นเอียงลาดชันสี่สิบห้าองศาอย่างไม่น่าเชื่อ...และที่สำคัญดูเหมือนว่าเหตุการณ์ประหลาดนี้จะเกิดขึ้นกับผมคนเดียว เพราะถนนหน้าบ้าน ผู้คนเดินผ่านไปมายังมีลำตัวตั้งฉากกับพื้นกันทุกคน มีผมคนเดียวเท่านั้นยืนนิ่งตัวเอียงผิดมนุษย์
เด็กผู้หญิงวัยสี่ห้าขวบจูงมือคุณแม่วัยสาวเดินผ่านหน้าบ้าน ผ่านประตูรั้วซึ่งเป็นประตูเหล็กดัดโปร่ง สามารถมองเข้ามาในบริเวณบ้านได้ชัดเจน เธอดึงมือผู้เป็นแม่ให้มองมายังผมแล้วพูดเสียงใสว่า
“คุณแม่คะ พี่เขาทำอะไรอยู่คะ ทำไมยืนตัวเอียงได้คะ”
ผู้เป็นแม่หยุดเดินพลางขยับแว่นไปมาจ้องมองอย่างพิจารณาแล้วหันไปบอกกับลูกสาวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า
“พี่เขาต้องฝึกการออกกำลังกายแบบใหม่แน่เลย ต้องมีอุปกรณ์พิเศษสักอย่างทำให้พี่เขาเอียงได้จ๊ะ”
อุปกรณ์กับผีน่ะสิ... ผมนึกในใจ รู้ว่าขณะนี้คนอื่นมองเห็นผมยืนตัวเอียงสี่สิบห้าองศาอยู่กับพื้นแบบไม่น่าเป็นไปได้ และยังเข้าใจว่ามีเครื่องมือมาช่วยทำตัวเอียง อยากจะขำแต่ก็ขำไม่ออก ผมจะอธิบายให้คนอื่นรู้ได้อย่างไรกับเหตุการณ์ประหลาดที่กำลังเผชิญอยู่ ผมไม่กล้าเดินตัวเอียงออกจากเขตบ้านเพราะมันจะดูผิดธรรมชาติและคงกลายเป็นจุดสนใจซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด
ผมพยายามเดินกลับเข้ามาในตัวบ้านอย่างลำบากเหมือนเดินขึ้นเนินเขาสูงชัน เพราะถนนข้างสนามหญ้ากลายเป็นพื้นที่ลาดชันไปเสียแล้ว เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในห้องนั่งเล่น พื้นซึ่งเคยเอียงก็ค่อยกลับมาเป็นสภาพปกติ ทำให้ผมสามารถไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องทำเอียงตัวกับพื้น ความตั้งใจจะออกไปหางานทำนอกบ้านเลยระงับไว้ก่อนจากความไม่แน่ใจและหวาดผวากับอาการประหลาดพิลึกโลก หลังจากอยู่ในบ้านทั้งวันผมก็เริ่มคิดว่าจะต้องออกจากบ้านไปหางานทำให้ได้ในวันต่อไป จะมานั่งนอนไม่ทำงานคงอดตายเข้าสักวัน
เช้าวันต่อมาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ผมตั้งสติให้ดี เตรียมพร้อมเดินออกจากบ้าน ราวกับว่ามีอันตรายใหญ่หลวงรออยู่ข้างนอก ทั้งที่ยังไม่มีอะไรปรากฏตัวออกมาคุกคาม เอาล่ะ... เป็นอย่างไรก็เป็นกัน ผมคิดในใจก่อนก้าวเท้าออกจากบ้านตรงไปยังประตูรั้วหน้าบ้าน
เมื่อผมก้าวออกจากบ้าน พื้นดินก็เริ่มทักทายด้วยการเอียงวูบขึ้นมาทันทีราวกับว่ามันรอคอยผมอยู่ตลอดเวลา และในวันนี้อาการหนักมากขึ้นกว่าเดิม พื้นดินเอียงถึงระดับเก้าสิบองศาจนกลายเป็นหน้าผาสูงชันไปเสียแล้ว ผมลื่นไถลไปตามพื้นดินเหมือนคนตะกายปากเหว เคราะห์ดีว่ามือคว้าต้นไม้หน้าบ้านไว้ทัน ห้อยต่องแต่งอยู่กับหน้าผาซึ่งเคยเป็นสนามหญ้า อาการประหลาดไม่มีผลต่ออย่างอื่นเลย โต๊ะหินอ่อนและสิ่งของต่างๆ ยังคงวางอยู่บนหน้าผาไม่ได้ร่วงหล่นลงไปตามความลาดเอียง
เด็กหญิงคนเดิมกับคุณแม่วัยสาวเดินผ่านหน้าบ้านแล้วพากันหยุดมองลอดเหล็กดัดของประตูรั้วหน้าบ้านเข้ามา คงอยากรู้ว่าผมฝึกพิเศษไปได้ขนาดไหน
“โห...คุณแม่คะ ดูสิ พี่เขาลอยในอากาศทำตัวขนานได้ด้วย เก่งจริงเลยนะคะ”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในสายตาของแม่ลูกบ้านใกล้เรือนเคียงมองเห็นร่างของผมลอยตัวขนานไปกับพื้นดินเหมือนมายากล โดยมีมือทั้งสองข้างยึดต้นไม้ไว้แน่น คงเป็นภาพพิสดารในสายตาคนอื่น แต่คงไม่มีใครนึกว่าผมกำลังจะตกลงไหลลงไปตามผิวโลกแน่นอน
“พยายามเข้านะคะ” ผู้เป็นแม่เอามือป้องปากร้องมาให้กำลังใจ “ทำได้ขนาดนี้ไปออกงานวัดเก็บเงินได้เลยนะคะ”
ฟังแล้วทั้งขำทั้งสยองกับสภาพตนเอง ยังดีว่าหลังจากนั้นไม่นานก่อนผมจะหมดแรงยึด พื้นดินเริ่มเอียงกลับคืนสู่สภาพปกติ จากหุบเหวชันดิ่งนรกเก้าสิบองศาก็ค่อยกลายมาเป็นพื้นแนวราบเหมือนเดิม ผมหล่นลงไปนอนบนพื้นด้วยอาการเหน็ดเหนื่อยจากการออกแรงยึดขาโต๊ะแบบไม่คิดชีวิตเพื่อไม่ให้ตัวเองร่วงหล่นลงไปตามหน้าผาชันเมื่อครู่
เปล่า...ผมคิดว่ามันไม่ได้ใจดีหรือสงสารผมหรอก มันกำลังล้อผมเล่นเหมือนแมวจับหนูได้แต่ยังไม่ยอมกิน เอาไว้ตบเล่นสักพักเพื่อความสนุกสนาน ปล่อยให้ตายใจแล้วเล่นงานหนักภายหลัง พอตั้งตัวได้ผมลุกขึ้นวิ่งเข้าไปในบ้านแบบไม่คิดชีวิตและอกสั่นขวัญหาย มีอาการเหมือนคนสติแตกไปพักใหญ่
.........,มีต่อครับ.........