40 สิ่งที่ได้เรียนรู้ จากการไปซื้อของที่เมืองจีน เหมาะสำหรับคนที่กำลังจะไปจีนครั้งแรกครับ ^ ^

Note 1. ก่อนอื่นผมขอแจ้งวัตถุประสงค์ของการตั้งกระทู้นี้ เป็นเกล็ดความรู้ หรือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการไปซื้อของที่เมืองจีน ครั้งนี้เป็นการเดินทางครั้งที่ 4 แล้ว แต่เนื้อหาทั้งหมดจะเป็นการรวบรวมประสบการณ์ทั้ง 4 ครั้งที่ผ่านมา โดยจะเน้นเป็นครั้งนี้มากที่สุดเนื่องจากผมเพิ่งจะกลับมาถึงประเทศไทยวันนี้ (26 มี.ค. 59) ตอนตี 3 นี่เอง

Note 2. เนื้อหาทั้งหมดผมขอรับรองว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด และเพิ่มเติมคือความคิดเห็นของผม จากมุมมองของผม ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะเป็นเพียงมุมมองที่ผมได้รับประสบการณ์ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะไม่ใช่มุมมองที่ถูกต้องทั้งหมดก็ได้ เนื่องจากประเทศจีนกว้างใหญ่ไพศาลมาก และผมเองก็ได้สัมผัสเพียงแค่บางมุมเท่านั้นเอง

Note 3. ผมจะยินดีเป็นอย่างมากหากว่าบทความนี้เป็นประโยชน์กับคนที่กำลังจะไปเมืองจีน และยินดีเป็นอย่างยิ่งหาจะมีเพื่อนๆที่มีประสบการณ์อาจจะในมุมมองที่แตกต่างออกไป มาคอมเม้นท์เพิ่มเติม ยินดีรับฟังความคิดต่างครับ

Note 4. รูปส่วนใหญ่ผมถ่ายเองนะครับ อาจจะมีบางรูปที่ถ่ายไม่ทัน และ/หรือ นำรูปจากอินเตอร์เน็ตมาเพื่ออ้างอิงก็จะใส่ Credits และแจ้งก่อนครับ

เรามาเริ่มกันเลยครับ


1. Planning - วางแผน ก่อนเดินทาง
     ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะต้องวางแผนกันเป็นอย่างดีแล้วแน่นอนครับ แต่... ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน แต่หากว่าเราทำการบ้านมาเป็นอย่างดีแล้ว ปัญหาก็จะลดลงครับ และครั้งนี้ผมก็ใช้เวลาวางแผนกันประมาณ 1 เดือน สำหรับทริปประมาณ 5 วันเท่านั้นเองครับ แต่เมื่อมาถึงก็เจอปัญหาแรกเลยคือ Metro (รถไฟฟ้า) ปิดให้บริการหลังจาก 5 ทุ่มครับ (ตามป้าย) แต่เมื่อผมถามไกด์ๆบอกว่าหมดประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง แต่ที่เราหาข้อมูลกันก่อนเดินทางจากเว็บแนะนำบ้าง จากเพื่อนที่ไปมาแล้วบ้าง บอกว่าหมดประมาณ เที่ยงคืน ถึงตีหนึ่ง >< และสิ่งที่เกินความคาดหมายของผมอีกอย่างหนึ่งคือ เที่ยวบินที่ผมเดินทาง ดีเลย์ 30 นาทีครับ ทำให้ผมถึงเมืองจีน ประมาณ เที่ยงคืน

2. Warning - คำเตือนที่สำคัญมาก
     เมื่อรถไฟฟ้าปิดให้บริการเราก็ต้องหาทางอื่นเช่น Taxi หรือ Bus และผมก็เจอกับป้ายเตือน 3 สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างมากครับ และผมเองก็เจอปัญหากับตัวเช่นกันคือ 1. ระวังรถเถื่อน. 2. Official counter only. 3. ระวังของหาย/ถูกขโมย


ภาพแรกคือป้ายที่ตำรวจปักไว้เพื่อเตือนนักท่องเที่ยวเลยครับ


ภาพที่สอง คือหน้าเคาร์เตอร์ที่จะมีคนแต่งตัวใส่สูท ถือ walkie talkie เหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ของสนามบิน เดินป้วนเปี้ยนแถวๆหน้าเคาร์เตอร์นี้ และเข้ามาติดต่อเราเพื่อเสนอบริการ Taxi และเมื่อเราถามว่าเราจะไปโรงแรมเราจะไปยังไงได้บ้าง เค้าก็จะบอกเลยว่าต้องไป Taxi เท่านั้น และราคาก็มหาโหดมากครับ เค้าแจ้งผมมาประมาณ 400 RMB (Yuan) พอเราจะไม่ไปก็รีบลดให้เหลือ 300 RMB ครับ แต่เราก็ยังไม่ไปอยู่ดี 555
     และก็เป็นที่เคาร์เตอร์นี้ครับที่ช่วยชีวิตผมไว้พอเข้าไปถามโดยตรงที่เคาร์เตอร์ ผ่านการเซ้าซี้จากคนที่พยายามชวนเราไป Taxi ได้ความว่ามีรถ Express Bus จอดอยู่หน้าประตู ถัดจากเคาเตอร์นี้เลย ผ่านหน้าโรงแรมผมพอดิบพอดี ในสนนราคาคนละ 22 RMB ครับ (ซึ่งถือว่าราคาสูงมากแล้วเนื่องจากเป็น Express Bus ที่จะจอดเฉพาะป้ายที่กำหนดเท่านั้น และตลอดเส้นทางมีไม่ถึง 10 ป้ายครับ) ประหยัดจากเดิมหลายเท่าเลยสำหรับสองคนครับ

3. Focus Focus Focus. If not, you'll get plenty of ideas without goods. - ต้องโฟกัสสิ่งที่คุณค้นหา ไม่อย่างนั้นแล้วคุณจะได้ไอเดียโดยปราศจากสินค้า
     แน่นอนว่าการมาเมืองจีน สิ่งหนึ่งที่ฮิต และนิยมมากคือการเดินงานแฟร์ และผมเองก็มา 4 ครั้งก็มาเดินงานแฟร์ทุกครั้ง และแน่นอนครับ ครั้งแรกที่ผมมาไม่ได้ Focus ดังนั้นผมจึงกลับบ้านไปพร้อมกับไอเดีย ไม่ได้สินค้า และผมแนะนำว่าคุณควร Focus เป็นอย่างมาก และทำการบ้านก่อนที่เมืองไทยว่าคุณจะไปเพื่อหาอะไรกันแน่ เพื่อที่คุณจะได้สินค้าสมดังตั้งใจครับ หรือถ้าคุณจะ plan ว่าไปเดินงานแฟร์เพื่อเก็บไอเดียอันนี้ก็ไม่ว่ากันครับ คุณได้สิ่งนั้นแน่นอน

4. Are you prepare for 1 Million Sq.m. of walking? - คุณเตรียมตัวสำหรับ การเดินดูงานแฟร์บนพื้นที่ 1 ล้าน ตร.ม. แล้วรึยังครับ
     ผมไม่ได้พิมพ์ตัวเลขผิดแต่อย่างใดนะครับ นี่คือเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่สนับสนุนข้อ 3. ด้านบนว่าถ้าหากคุณไม่ Focus ก็ยากมากที่คุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ เนื่องจากมันจะตระการตามาก ของหลากหลายสุดๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่คนไทยนิยมไปอย่าง Canton Fair ซึ่งใช้พื้นที่ทั้งหมด และมีทั้งสิ้น 3 Phase นั่นหมายถึง พื้นที่ประมาณ 3 ล้าน ตร.ม. สำหรับการเดิน เดิน เดิน เดิน และยังเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้น เราอาจจะต้องเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้หลายอย่างครับ เช่น 1. ไม่ควรแบกของหนักๆไป เพราะไหล่คุณจะหลุด 2. ควรมีกระเป๋าล้อลากไปเพื่อใส่แคทตาล็อก 3. รองเท้าควรเป็นคู่ที่คุณใส่แล้วเดินได้สบาย ไม่เมื่อย จะดีที่สุด 4. หรือคุณอาจจะเตรียมอุปกรณ์ที่ช่วยให้คุณไม่ต้องเดินก็ยิ่งดี แต่การขนขึ้นเครื่องก็เป็นอะไรที่ต้องหาข้อมูลก่อนนะครับ

5. ไม่ควรเดินงานแฟร์วันสุดท้าย
     เนื่องจากวันสุดท้าย คนจัดบูธจะเก็บของค่อนข้างเร็ว คือเที่ยงๆก็จะเริ่มทะยอยเก็บกันแล้ว สาเหตุน่าจะเป็นเพราะทางพื้นที่จะมีการกำหนดระยะเวลาขนของออก ไม่งั้นจะมีค่าปรับ และด้วยความที่จำนวนร้านค้านั้นเยอะมากๆๆๆๆๆๆ ทำให้บางร้านทะยอยเก็บก่อนเพื่อเลี่ยงการจราจร และความหนาแน่นตอนเลิกงาน

6. รู้จักกวางโจว
     คนไทยเรียก "กวางโจว" "กวางเจา"
     ฝรั่งเรียก "Canton"
     ที่จีนเขียนว่า "Guang Zhou"
     คนจีนเรียก "กว่างเจา"

7. รถไฟฟ้า ถูกมากกกกกกก
     8 สถานี เพียงแค่ 4 Yuan (20฿) เท่านั้น !!!!! นี่คือเหตุผลที่เราจะมีอิสระในการเดินทางมากๆในกว่างเจา

8. ถ้าคิดว่าถูกมากแล้ว ฟังอีกอย่าง
     หากขึ้นครบ 15 เที่ยวต่อเดือนจะได้ลดเพิ่มอีก 40%!! ตัวอย่าง จาก 4 Yuan จะเหลือ 2.4 Yuan (12฿) เท่านั้น!! คุณพระ !!

9. ทำไมต้องจ้างไกด์ จ้างเหมารถ
     การเดินทางมาจีน 3 ครั้งที่ผ่านมา ผมไม่ได้จ้างไกด์ และใช้ภาษาอังกฤษ+เครื่องคิดเลขมาตลอด ก็ไม่เคยมีปัญหา แต่ครั้งนี้ผมตัดสินใจจ้างไกด์ ซึ่งเป็นคนจีนแท้ แต่พูด และ เขียนไทยคล่องกว่าลูกสาวผมด้วยซ้ำ - -" และผลลัพธ์ที่ได้ ผมค่อนข้างประทับใจมาก เนื่องจากการดีลธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น เร็วขึ้น
     ส่วนเรื่องการจ้างเหมารถ เดิมทีนั้นผมไม่เคยจ้างคนขับรถ และเดินทางเป็นหลักด้วย Metro (รถไฟฟ้า) และเมื่อจะไปโรงงานไหนก็จะให้ทางโรงงานมารับที่โรงแรม ซึ่งปัญหาคือเราจะสามารถเดินทางไปโรงงานได้ค่อนข้างจำกัดคืออย่างมากประมาณวันละ 2 แห่งเท่านั้น และเมื่อเราตัดสินใจจ้างรถเหมารายวันนั้น ผลลัพธ์คือเราสามารถวางแผนได้ค่อนข้างดีมากครับ คือบางวันไปโรงงานได้ 4 ที่ บางวันได้ถึง 6-8 ที่หากว่าโรงงานนั้นอยู่ใกล้กันมากจริงๆ
     หากใครสนใจสอบถามหลังไมค์ได้นะครับ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

10. Specialist city - การเป็นเมืองผู้เชี่ยวชาญ
     อย่างที่หลายๆท่านคงรู้อยู่แล้วว่าเมืองจีนบางเมืองเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตของบางอย่างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชัดเจนสุดๆ ซึ่งไอเดียของเรื่องนี้มาจากการที่สภาพพื้นที่ของจีนนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมากๆ ดังนั้น เค้าจึงคิดรวมตัวกันเพื่อทำให้ลูกค้าหาเค้าได้ง่าย (เหมือนการสร้างแบรนด์ที่ทำให้คนรู้จักเราได้ง่าย) เพราะการสื่อสารในสมัยก่อนนั้นไม่มีสื่อออนไลน์เหมือนในปัจจุบัน แต่ก็อีกนั่นแหละ การที่มีธุรกิจ หรือโรงงานประเภทเดียวกันอยู่ในเมืองเดียวกันก็ทำให้คนซื้อ ประหยัดเวลาในการเยี่ยมชมหลายๆโรงงานด้วยเช่นกัน ไม่ต้องนั่งเครื่องบินไปอีกเมืองเพื่อซื้อของประเภทเดียวกัน เป็นไอเดียที่เจ๋งมากๆเลยครับ

11. มาถึงเรื่องสภาพอากาศกันบ้าง
     ก่อนเดินทางมาผมได้ตรวจสอบสภาพอากาศของเมืองกว่างเจาผ่านทาง App Weather แล้วพบว่าฝนตกทุกวันเลย และอุณหภูมิก็ต่ำกว่าบ้านเรามาก โดยต่ำสุดที่ 10 องศา เซลเซียส ในขณะที่บ้านเราปาเข้าไป 36-38 องศา แต่ที่ผมประหลาดใจคือ ฝนตกทุกวัน ตกทั้งวัน ตกมาเป็นเดือนแล้ว แต่น้ำไม่ยักท่วมครับ.... น่าประหลาดใจสำหรับคนกรุงเทพอย่างผมเป็นอย่างยิ่งครับ บ่งบอกถึงการวางผังเมืองที่ยอดเยี่ยมจริงๆครับ อันนี้ผมแค่บ่นในฐานะประชาชนคนกรุงเทพฯนะครับ ไม่ได้มีเจตนาจะเข้าสู่เรื่องการเมืองแต่อย่างใด โปรดอย่ากินมาม่ากันเลย ^ ^

12. สภาพอากาศผิดปกติ ที่ไทยถือว่าน้อยแล้ว
     ตอนแรกผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรครับที่ว่าเมืองจีนมีฝนตกมาเป็นเดือน และอุณหภูมิก็ลดลงตำกว่า 20 องศา และต่ำสุดที่ 10 องศา แต่ผมต้องประหลาดใจเนื่องจากหลังจากได้คุยกันกับไกด์แล้วปรากฎว่าจริงๆตอนนี้เป็นฤดูร้อนครับ ไม่ใช่ ฝน หรือหนาว แต่อย่างใด นั่นแปลว่าสภาพอากาศที่ผันผวนและผิดปกตินั้น เมืองไทยนับว่าผิดปกติน้อยมากครับ น่าห่วงนะครับสำหรับโลกเรา T_T

13. Single gateway role model
     หากจะหาต้นฉบับการใช้ Single Gateway แล้วบังคับใช้ได้ดั่งใจนึก ก็คงหนีไม่พ้นเมืองจีนครับ เนื่องจากที่นี่ ไม่มี Facebook, ไม่มี Line, ไม่มี Google ไม่มี Amazon ไม่มี ebay ที่นี่มีแต่ Baidu (ไป๋ตู้) Wechat (แทนไลน์) และแน่นอน Alibaba ของมหาเทพแจ็ค หม่า นั่นเอง ดังนั้นหากคุณจะมาจีน ก็ควรเตรียมตัวเรื่องพวกนี้ไว้ก่อนเนิ่นๆ เช่น install wechat ไว้ก่อนเนิ่นๆ เพราะคนที่นี่ใช้ wechat กันเกือบ 100%

14. รัฐบาลหนุนคนในชาติ
     หลายๆคนอาจจะต่อต้านระบอบเผด็จการ หรือคอมมิวนิสต์ แต่ผมกลับรู้สึกประทับใจในระบอบของประเทศจีนเป็นอย่างมาก เนื่องจากรัฐบาลของจีนนั้น พร้อมจะกีดกัดธุรกิจจากต่างชาติ เพื่อให้คนในชาตินั้นสามารถเติบโตได้ ลองคิดกันดูนะครับว่าถ้าหาก Amazon, eBay ได้เข้ามาในจีนตั้งแต่แรก Alibaba จะเกิดจริงๆหรือ วันนี้เราจะรู้จัก Jack Ma กันทั้งโลกแบบนี้หรือไม่

15. คนทำธุรกิจในจีนให้ประสบความสำเร็จได้ผมว่าต้องเทพมาก
     ต่อเนื่องจากข้อ 14. นะครับ คนทำธุรกิจในจีน มีเยอะมากๆครับ ผมคิดว่าถ้าผมมาทำที่นี่คงจะเจ๊งเป็นแน่ๆ เพราะขนาดยักษ์ใหญ่จากบ้านเรา อย่างเซ็นทรัล ซีพี ยังขาดทุนเลย เพราะคนที่นี่ไม่กลัวเจ๊งกันเลยครับ ดังนั้น สำหรับ Jack Ma แล้วผมว่าแกเทพมากจริงๆครับ ที่สามารถทะลุขึ้นมาท่ามกลางการแข่งขันที่โหดร้าย ทารุณขนาดนี้ มาได้อย่างสวยงามจริงๆ

16. Thailand มี Line. China มี Wechat.
     ที่ต้องพูดถึง WeChat เป็นพิเศษเป็นเพราะว่า Wechat สามารถโฆษณาขายของ&จ่ายเงินได้ และเป็นที่นิยมมากๆ เติบโตแบบสุดขีดครับ

17. USA มี Apple, China มี Opple
     และตั้งชื่อทำนองนี้กับสินค้าอื่นๆอีกมากมาย ตั้งกันชนิดที่ว่า ก็อป กันจะ จะ ไม่มีเนียน โต้งๆ แทบจะทุกประเภทสินค้าครับ แม้แต่สี, ครั้งหนึ่งผมเคยเห็นร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งซึ่งสีเหมือน 7-11 บ้านเรา ก็เลยแวะด้วยความเคยชิน แต่ก็รู้สึกแปลกๆที่สินค้าที่ขายดูจะเป็น House Brand มากกว่า Inter Brand แต่ด้วยความที่เรามาต่างเมือง ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่พอออกมาจากร้าน แล้วกลับมองป้ายอีกทีกลับเป็นป้าย 7-12 อะไรทำนองนี้ครับ สุดยอด ข้าน้อยคาราวะ

18. -1 F
     -1 F คือ Floor -1 หรือ Floor Minus One ครับ - -" ซึ่งผิดหลักของฝรั่งสุดๆในการเรียกชั้น ซึ่งเป็นลำดับที่ ซึ่งจะไม่มีชั้น 0 หรือชั้น -1 แน่ๆ แต่จะเป็น BF  หรือ Basement Floor หรือ GF คือ Ground Floor แทน ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะมีเฉพาะที่จีนเท่านั้นที่คุณจะได้เห็นชั้น -1 -2 อะไรพวกนี้

19. ห้างใหญ่เพิ่งเจ๊ง ตั้งอยู่ข้างๆกับห้างใหม่กำลังสร้างเสร็จ
     นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับที่เมืองจีนครับ ผมเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในหลายๆที่ๆผมผ่านไป ห้างหนึ่งเพิ่งจะปิดตัว สังเกตุจาก รั้วที่กั้นดูยังใหม่มาก ตั้งอยู่ "ติดกัน" ห้างใหม่ที่กำลังจะสร้างเสร็จ และใกล้จะเปิดเต็มที ผมคิดในใจทันทีว่า อะไรทำให้เค้ามั่นใจมากว่าเค้าจะรอด (สำหรับห้างใหม่)

รอภาค 2 จ้า
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่