Six Flying Dragons สองตอนจบที่มีความหมายยิ่งใหญ่

จบลงไปแล้วกับละครที่รัก ที่ผมเฝ้าติดตามมานาน 3 เดือน (ผมเพิ่งมาตามดูรวดเดียวตอนกลางเรื่อง)
ใจหายเหมือนกันเลย จากนี้พอถึงจันทร์อังคารก็ไม่มีหกมังกรให้รอแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้ดูละครพีเรียดดีๆอย่างนี้
อีกเมื่อไหร่
  
   นับเป็นร้อยๆชั่วโมงเลยมั้งที่มานั่งอ่าน นั่งเขียนเกี่ยวกับประเด็นต่างๆของหกมังกร แต่รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลา
ที่คุ่มค่ามากก ได้อะไรให้กับชีวิตหลายๆอย่างเลย ได้เข้าใจเกี่ยวกับประเทศเกาหลีทั้งสมัยโบราณและปัจจุบันอีก
เยอะเลย จนแอบคิดเลยว่าทำไมเราไม่ได้ดูเรื่องนี้เป็นพีเรียดเรื่องแรกนะ เวลาไปดูเรื่องอื่นจะเข้าใจและดูสนุกขึ้นอีกเยอะเลย เพราะเหมือนเรื่องนี้เป็นอินโทรที่ทำให้เข้าใจโชซอนได้ทั้งยุคเลย ขอบคุณทุกคนที่แวะมาอ่าน มาแสดงความคิดเห็นนะครับ
หวังว่าจะได้มานั่งคุยเรื่องละครพีเรียดอย่างงี้อีกเนาะ ^ ^

        พูดถึงสองตอนจบบ้าง



    - อดสงสาร King Taejong ไม่ได้จริงๆ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นทางที่เขาเลือกล่ะเนาะ เส้นทางสู่อำนาจเบ็ดเสร็จช่างอ้างว้างนัก
ทั้งบุนอี และมูฮยุล ทั้งคู่รักบังวอน แต่ไม่อาจยอมรับการกระทำของบังวอนได้ สุดท้ายเลือกที่จะเดินจากไป แต่ด้วยสายใยที่ผูกพันธ์
กันอยู่ทำให้ทั้งคู่วิ่งมาช่วยบังวอนให้รอดพ้นอันตรายก่อนที่จะจากไป ชอบที่เรื่องเปรียบเทียบว่ามูฮยุลกับบุนอีก็เหมือนกับสายลม
ไม่เคยต่อต้านบังวอนแต่ก็ไม่ได้โอบกอดบังวอนด้วยเช่นกัน เศร้าจัง คนที่รักเราแต่ไม่ชอบตัวตนที่เรา"กลายมาเป็น" เลยไม่อาจอยู่
ร่วมกันได้

    - ตอนที่เรื่องฉายภาพแฟล็ชแบ็คแล้ว เราก็รู้สึกเลยว่ามันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงเนาะ ตอนนั้นทุกคนยังหัวเราะร่วมกันอยู่เลย

  ตอนนั้นที่ 6 มังกรและคณะมีอุดมการณ์เดียวกัน ร่วมมือกันเพื่อตั้งอาณาจักรใหม่  ตอนนั้นที่งานเลี้ยงแต่ละคนพูดถึงความฝันของตัวเอง
- อีจีรันพูดว่าฝันอยากเป็นกวี ทุกคนตอนนั้นขำกลิ้ง แต่หลังจากรีไทร์จากการเมือง จีรันได้เป็นกวีจริงๆ
- ยองกยูพูดว่าอยากทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ แล้วก็ได้อยู่ในประวัติศาสตร์จริงๆในฐานะคนฆ่าโพอึน
- ซัมบงบอกว่าอยากทิ้งผลงานของตัวเองมากกว่าชื่อของตนไว้ในประวัติศาสตร์ แล้วก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ ซัมบงได้เขียนตำราประวัติศาสตร์มากมาย ระบบโครงร่างเมือง/กฎหมายของโชซอนที่ซัมบงคิดก็ได้ใช้เรื่อยมา แต่ชื่อของซัมบงถูกกำหนดให้กลายเป็นชื่อกบฏต้องห้าม ชื่อของซัมบงถูกเหยียดหยามนานกว่า 500 ปี (โดยบังวอนนี่แหละ แต่บังวอนยกย่องชื่อของโพอึนนะ น่าจะเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความภักดี)

  
- น้องนัมดารึมที่เล่นบังวอนตอนเด็ก และอีโท ตอนแรกผมขัดใจเหมือนกันที่เลือกคนที่ไม่เหมือนอาอินมาเล่นเป็นอาอินตอนเด็กเนี่ยนะ
แต่ตอนนี้เข้าใจถ่องแท้แล้ว ตาดำกลมใสซื่อเหมือนลูกหมา อีบังวอนในตอนเด็กคงยังเป็นคนที่เชื่อในโลก ยังโลกสวยอยู่ แต่ก็ต้องผิดหวัง
เมื่อไอดอลตัวเองไม่ได้เป็นแบบที่ตัวเองคิด ดังนั้นเอาคนหน้าตาใสซื่อมาเล่นก็เหมาะสมแล้ว พอโตขึ้นก็เข้มขึ้นและเข้าใจโลกมากขึ้น
ก็กลายเป็นยูอาอิน

  
  - ยิ่งมาเล่นเป็นอีโทนี่ยิ่งมีความหมายที่ลึกซึ้งมากเลย ฉากที่บุนอีขอกอดนี่น้ำตาซึมเลย อีบังวอนคนที่เคยบอกว่าจะไม่โดนกลืน
ไปกับกระแสแห่งอำนาจเด็ดขาด อีบังวอนคนนั้นหายไปไหนแล้ว บุนอีจึงขอกอดด้วยความคิดถึงอีบังวอนคนเก่า คนที่มุ่งมั่นจะทำ
เพื่อประชาชน บางทีการที่เอาน้องนัมดารึมมาเล่นเป็นอีโท ก็อาจจะเป็นการเปรียบเทียบว่าบังวอนมีโอกาสเป็นครั้งที่สองที่จะทำตาม
สิ่งที่คิดอีกครั้ง จะทำให้ประชาชนยิ้มได้แบบจริงๆจังๆเสียที และสุดท้าย"ลูกของบังวอน"ก็ทำได้จริงๆ อย่างที่บุนอีพูดก่อนสิ้นใจ
ตรงหลุมศพของซัมบง


   - จบแบบนี้ทำให้ผมคิดว่าหกมังกรนอกจากจะเป็น Historical drama แล้วยังเป็น Human Drama ที่ดีที่สุดเรื่องนึงอีกด้วย
ตั้งแต่เส้นทางสู่ด้านมืดของบังวอน การแย่งชิงอำนาจ การแตกหักของครอบครัว คนกลางที่ต้องเห็นคนที่รักแตกคอกันเอง
ด้วยใจแตกสลาย (อีจีรัน)  คนที่รักเราแต่ไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เราทำได้ (มูฮยุล บุนอี)
คนที่ไร้ความฝันแต่อยู่เพื่อความรักและการปกป้องผู้อื่น แต่สุดท้ายต้องโดนปล้นทุกอย่างไปจากตัวเอง (ตังเซ, ซากวัง)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่