คงปฏิเสธไม่ได้ว่าศาสนามักจะถูกโยงและใช้เป็นเครื่องมือในสงคราม/การเมือง/การปฏิวัติ แม้แต่พระพุทธศาสนาเอง ตำราทางฝ่ายมหายานกล่าวว่าการออกบวชของพระพุทธเจ้านั้น เนื่องด้วยพระองค์ทรงแพ้โหวตในสภาว่าด้วยเรื่องน้ำ สงครามครูเสดที่กินเวลาสองร้อยกว่าปีก็เกี่ยวเนื่องกับศาสนาล้วนๆ
นอกเหนือจากตัวศาสนาเองแล้ว ตัวแทนศาสนาที่สำคัญยิ่งยวดอีกอย่างหนึ่งก็คือ “รูปปั้น” รูปปั้นคือตัวแทนของศาสนาที่เป็นรูปธรรม และรูปปั้นไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป ไม้กางเขน ฯลฯ เหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อจิตใจของมนุษย์จากศรัทธาจนกลายมาเป็นคลั่งไคล้นิยมอย่างไม่ลืมหูลืมตาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ผมยอมรับศาสนาอิสลามอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เขาบัญญัติไม่ให้มีการสร้างรูปปั้นของศาสดาไว้บูชา สมัย”โมเสส” พาชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์ เขาประกาศต่อทุกคนว่าเขาไม่อนุญาตให้มีการสร้างรูปปั้นหรือสัญญลักษณ์ใดต่อพระเจ้าเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ
พระพุทธศาสนา มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาหลังพระพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว(พระไตรปิฏกไม่ได้มีการเอ่ยถึงพระพุทธรูปแต่อย่างใด).....เมื่อมีผู้คนกราบไหว้พระพุทธรูปอย่างกว้างขวางขึ้น การก่อสร้างพระพุทธรูปในระยะหลังๆ จึงมีความสำคัญและแฝงนัยยะทางการเมืองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ....รวมไปถึงการเขียนประวัติของพระพุทธรูปองค์นั้นๆ ด้วย
พระพุทธรูปที่มีประวัติเกี่ยวข้องทางการเมืองและถูกใช้ในทางการเมือง หรือจะพูดภาษาชาวบ้านก็ได้ว่า “ผ่านร้อนผ่านหนาว”มาเยอะที่สุดเห็นจะไม่มีองค์ไหนเท่าพระแก้วมรกตที่ประดิษฐานอยู่วัดพระศรีรัตนศาสดารามในตอนนี้ ประวัติพระแก้วมรกตบางช่วงบางตอนยังคลุมเครือเหมือนๆ การคลุมเครือทางการเมืองในช่วงนั้น เช่นว่าการอัญเชิญพระแก้วมรกตจากเชียงใหม่สู่เวียงจันท์ของพระไชยเชษฐาธิราชนั้น มีเงื่อนงำทางการเมืองแฝงอยู่ หรือแม้แต่การอัญเชิญมาประดิษฐานที่กรุงเทพฯก็เช่นกัน
ประวัติของพระแก้วมรกตในเวอร์ชั่นของไทยเริ่มต้นที่เชียงรายโดยมีสายอสุนี(ฟ้าผ่า)เป็นตัวจุดสตาร์ทของเรื่องราวเกี่ยวกับพระแก้วมรกต คือเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าเจดีย์ที่พระแก้วประดิษฐานอยู่ทำให้ปูนที่พอกอยู่กระเทาะออกทำให้เห็นองค์เนื้อมรกตของพระพุทธรูป จากนั้นเรื่องราวและการเดินทางของพระแก้วบนเส้นทางที่มีนัยยะทางการเมืองแอบแฝงอยู่ก็เริ่มต้นตรงนั้น
ส่วนประวัติของพระแก้วในเวอร์เช่นของชมพูทวีปก็เริ่มต้นที่เหตุจราจลที่เมืองปาฏลีบุตรช่วงปี ๘๐๐ จากนั้นพระแก้วก็ถูกอัญเชิญลงเรือมายังลังกา จากลังกาสู่นครอินปัตถ์(กัมพูชา) จากกัมพูชาสู่นครวชิรปราการ(กำแพงเพชร)จากกำแพงเพชรสู่เชียงราย จากเชียงรายสู่ลำปาง จากลำปางสู่เชียงใหม่ จากเชียงใหม่สู่เวียงจันท์ จากเวียงจันท์สู่กรุงเทพฯ จากกรุงเทพสู่????
ตอนนี้ผมอยู่เชียงใหม่และกำลังจะไปกราบสถานที่ๆ พระแก้วเคยประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ผมก็จะขอเล่าส่วนที่เกี่ยวข้องในเชียงใหม่....พระพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้ากือนานั้นเจริญรุ่งเรืองมากมีการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดในยุคนั้นเลยทีเดียวหรือที่เรียกว่า พระเจ้าเก้าตื้อ พระเจ้ากือนามีพระอนุชาคือท้าวพระพรมที่คิดกบฏคิดแย่งชิงราชบัลลังก์แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกเนรเทศไปอยู่กำแพงเพชร และเมื่อสิ้นยุคของพระเจ้ากือนา พระโอรสก็ขึ้นครองราชย์ต่อคือพระเจ้าแสนเมืองมา.....พลันที่พระเจ้าแสนเมืองมาขึ้นครองราชย์ ท้าวพระพรมหรือ “พระเจ้าอา” ของพระเจ้าแสนเมืองมาก็เดินทางมาสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าหลานโดยอัญเชิญพระพุทธรูปสององค์ติดมือมาสักการะคือพระแก้วมรกตและพระสิหิงค์จากกำแพงเพขร พระสิหิงค์ถวายแด่พระเจ้าแสนเมืองมา ส่วนพระแก้วมรกตพระเจ้าอามิได้บอกกล่าวแต่อย่างใด พระเจ้าแสนเมืองจึงมอบหมายให้พระเจ้าอาไปครองเมืองเชียงราย และที่นั้นนั่นเอง พระแก้วมรกตก็ถูกปูนพอกทับซ่อนเอาไว้จนสิ้นสมัยของท้าวพระพรมโดยไม่มีใครล่วงรู้นัก จวบจนเกิดกรณีสายฟ้าฟาดพระเจดีย์จนปูนกระเทาะออกนั่นแหละครับ
การอัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นหลังช้างจากเชียงรายไปสู่เชียงใหม่กับเหตุการณ์ที่ช้างไม่ยอมบ่ายหน้าเข้าสู่เชียงใหม่ตรงทางที่จะไประหว่างลำปางกับเชียงใหม่นั้น แม้จะเปลี่ยนช้างถึงสามครั้งสามครานั้นมันมีอะไรแฝงอยู่ไม่?? และมันสื่อถึงอะไรได้บ้าง?? เราก็ควรจะต้องศึกษาการเมืองภายในเชียงใหม่ว่าเข้มแข็งหรืออ่อนแออย่างไร? เหตุการณ์ที่ช้างไม่ยอมเข้าเชียงใหม่ แต่มุ่งหน้าเข้าสู่ลำปางอย่างเดียวนั้นเป็นการ “ประลองกำลังภายใน” เพื่อที่จะสื่ออะไร?.....แล้วทำไมหลังจากที่พระเจ้าติโลกราชขึ้นครองราชย์และทำการอัญเชิญพระแก้วมรกตมาที่เชียงใหม่ ไฉนช้างไม่อิดออดที่จะอัญเชิญพระแก้วเข้าสู่เชียงใหม่เหมือนแต่ก่อนกลับมุ่งหน้าติ๊กๆ สู่เชียงใหม่อย่างไม่เคอะเขิน.?? อันนี้น่าคิด
การอัญเชิญพระแก้วมรกตจากเชียงใหม่สู่เวียงจันท์ก็มีหลากหลายมุมมอง บ้างก็ว่าพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแอบนำพระแก้วไปเวียงจันท์โดยไม่ได้บอกกล่าว บ้างก็ว่าพระไชยเชษฐานั้นให้สินบนชาวเชียงใหม่ บ้างก็ว่าชาวเชียงใหม่เต็มใจยกให้พระไชยเชษฐาเพื่อแลกกับพระเสตังคมณี(พระแก้วขาว)พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ แต่เป็นที่ค่อนข้างแน่นอน...การอัญเชิญพระแก้วมรกตแต่ละครั้งนั้นมีนัยยะทางการเมืองเข้ามาแฝงอยู่ระดับหนึ่ง พระแก้วมรกตจึงผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมืองมาอย่างยาวนาน....หากองค์พระพุทธรูปมีชีวิตและตรัสต่อเหตุการณ์ในตอนนี้ได้ ผมเชื่อว่าท่านคงจะตรัสในทำนองนี้ว่า
ดูกรสาธุชน ชนเหล่าใดที่มุ่งมั่นแต่ในศีลธรรมชนเหล่านั้นย่อมชื่อว่าประเสริฐ(คนดี) ชนเหล่าใดที่ทำในสิ่งที่ตรงข้ามย่อมชนเหล่านั้นไม่อาจเรียกตัวเองว่าคนประเสริฐหรือคนดีได้ “คนดี” หาใช่คุณสมบัติของบุคคลเพียงแค่การเปล่งวาจาว่าเราคนดีไม่ แต่เป็นคุณสมบัติของบุคคลที่ประกอบคุณงามความดี ตั้งจิตอยู่ในธรรมอันเป็นกุศล เช่นนี้แล....
....วังวนแห่งการเมือง / พระพุทธมหามณีรัตน์ปฏิมากร....
นอกเหนือจากตัวศาสนาเองแล้ว ตัวแทนศาสนาที่สำคัญยิ่งยวดอีกอย่างหนึ่งก็คือ “รูปปั้น” รูปปั้นคือตัวแทนของศาสนาที่เป็นรูปธรรม และรูปปั้นไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป ไม้กางเขน ฯลฯ เหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อจิตใจของมนุษย์จากศรัทธาจนกลายมาเป็นคลั่งไคล้นิยมอย่างไม่ลืมหูลืมตาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ผมยอมรับศาสนาอิสลามอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เขาบัญญัติไม่ให้มีการสร้างรูปปั้นของศาสดาไว้บูชา สมัย”โมเสส” พาชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์ เขาประกาศต่อทุกคนว่าเขาไม่อนุญาตให้มีการสร้างรูปปั้นหรือสัญญลักษณ์ใดต่อพระเจ้าเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ
พระพุทธศาสนา มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาหลังพระพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว(พระไตรปิฏกไม่ได้มีการเอ่ยถึงพระพุทธรูปแต่อย่างใด).....เมื่อมีผู้คนกราบไหว้พระพุทธรูปอย่างกว้างขวางขึ้น การก่อสร้างพระพุทธรูปในระยะหลังๆ จึงมีความสำคัญและแฝงนัยยะทางการเมืองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ....รวมไปถึงการเขียนประวัติของพระพุทธรูปองค์นั้นๆ ด้วย
พระพุทธรูปที่มีประวัติเกี่ยวข้องทางการเมืองและถูกใช้ในทางการเมือง หรือจะพูดภาษาชาวบ้านก็ได้ว่า “ผ่านร้อนผ่านหนาว”มาเยอะที่สุดเห็นจะไม่มีองค์ไหนเท่าพระแก้วมรกตที่ประดิษฐานอยู่วัดพระศรีรัตนศาสดารามในตอนนี้ ประวัติพระแก้วมรกตบางช่วงบางตอนยังคลุมเครือเหมือนๆ การคลุมเครือทางการเมืองในช่วงนั้น เช่นว่าการอัญเชิญพระแก้วมรกตจากเชียงใหม่สู่เวียงจันท์ของพระไชยเชษฐาธิราชนั้น มีเงื่อนงำทางการเมืองแฝงอยู่ หรือแม้แต่การอัญเชิญมาประดิษฐานที่กรุงเทพฯก็เช่นกัน
ประวัติของพระแก้วมรกตในเวอร์ชั่นของไทยเริ่มต้นที่เชียงรายโดยมีสายอสุนี(ฟ้าผ่า)เป็นตัวจุดสตาร์ทของเรื่องราวเกี่ยวกับพระแก้วมรกต คือเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าเจดีย์ที่พระแก้วประดิษฐานอยู่ทำให้ปูนที่พอกอยู่กระเทาะออกทำให้เห็นองค์เนื้อมรกตของพระพุทธรูป จากนั้นเรื่องราวและการเดินทางของพระแก้วบนเส้นทางที่มีนัยยะทางการเมืองแอบแฝงอยู่ก็เริ่มต้นตรงนั้น
ส่วนประวัติของพระแก้วในเวอร์เช่นของชมพูทวีปก็เริ่มต้นที่เหตุจราจลที่เมืองปาฏลีบุตรช่วงปี ๘๐๐ จากนั้นพระแก้วก็ถูกอัญเชิญลงเรือมายังลังกา จากลังกาสู่นครอินปัตถ์(กัมพูชา) จากกัมพูชาสู่นครวชิรปราการ(กำแพงเพชร)จากกำแพงเพชรสู่เชียงราย จากเชียงรายสู่ลำปาง จากลำปางสู่เชียงใหม่ จากเชียงใหม่สู่เวียงจันท์ จากเวียงจันท์สู่กรุงเทพฯ จากกรุงเทพสู่????
ตอนนี้ผมอยู่เชียงใหม่และกำลังจะไปกราบสถานที่ๆ พระแก้วเคยประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ผมก็จะขอเล่าส่วนที่เกี่ยวข้องในเชียงใหม่....พระพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้ากือนานั้นเจริญรุ่งเรืองมากมีการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดในยุคนั้นเลยทีเดียวหรือที่เรียกว่า พระเจ้าเก้าตื้อ พระเจ้ากือนามีพระอนุชาคือท้าวพระพรมที่คิดกบฏคิดแย่งชิงราชบัลลังก์แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกเนรเทศไปอยู่กำแพงเพชร และเมื่อสิ้นยุคของพระเจ้ากือนา พระโอรสก็ขึ้นครองราชย์ต่อคือพระเจ้าแสนเมืองมา.....พลันที่พระเจ้าแสนเมืองมาขึ้นครองราชย์ ท้าวพระพรมหรือ “พระเจ้าอา” ของพระเจ้าแสนเมืองมาก็เดินทางมาสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าหลานโดยอัญเชิญพระพุทธรูปสององค์ติดมือมาสักการะคือพระแก้วมรกตและพระสิหิงค์จากกำแพงเพขร พระสิหิงค์ถวายแด่พระเจ้าแสนเมืองมา ส่วนพระแก้วมรกตพระเจ้าอามิได้บอกกล่าวแต่อย่างใด พระเจ้าแสนเมืองจึงมอบหมายให้พระเจ้าอาไปครองเมืองเชียงราย และที่นั้นนั่นเอง พระแก้วมรกตก็ถูกปูนพอกทับซ่อนเอาไว้จนสิ้นสมัยของท้าวพระพรมโดยไม่มีใครล่วงรู้นัก จวบจนเกิดกรณีสายฟ้าฟาดพระเจดีย์จนปูนกระเทาะออกนั่นแหละครับ
การอัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นหลังช้างจากเชียงรายไปสู่เชียงใหม่กับเหตุการณ์ที่ช้างไม่ยอมบ่ายหน้าเข้าสู่เชียงใหม่ตรงทางที่จะไประหว่างลำปางกับเชียงใหม่นั้น แม้จะเปลี่ยนช้างถึงสามครั้งสามครานั้นมันมีอะไรแฝงอยู่ไม่?? และมันสื่อถึงอะไรได้บ้าง?? เราก็ควรจะต้องศึกษาการเมืองภายในเชียงใหม่ว่าเข้มแข็งหรืออ่อนแออย่างไร? เหตุการณ์ที่ช้างไม่ยอมเข้าเชียงใหม่ แต่มุ่งหน้าเข้าสู่ลำปางอย่างเดียวนั้นเป็นการ “ประลองกำลังภายใน” เพื่อที่จะสื่ออะไร?.....แล้วทำไมหลังจากที่พระเจ้าติโลกราชขึ้นครองราชย์และทำการอัญเชิญพระแก้วมรกตมาที่เชียงใหม่ ไฉนช้างไม่อิดออดที่จะอัญเชิญพระแก้วเข้าสู่เชียงใหม่เหมือนแต่ก่อนกลับมุ่งหน้าติ๊กๆ สู่เชียงใหม่อย่างไม่เคอะเขิน.?? อันนี้น่าคิด
การอัญเชิญพระแก้วมรกตจากเชียงใหม่สู่เวียงจันท์ก็มีหลากหลายมุมมอง บ้างก็ว่าพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแอบนำพระแก้วไปเวียงจันท์โดยไม่ได้บอกกล่าว บ้างก็ว่าพระไชยเชษฐานั้นให้สินบนชาวเชียงใหม่ บ้างก็ว่าชาวเชียงใหม่เต็มใจยกให้พระไชยเชษฐาเพื่อแลกกับพระเสตังคมณี(พระแก้วขาว)พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ แต่เป็นที่ค่อนข้างแน่นอน...การอัญเชิญพระแก้วมรกตแต่ละครั้งนั้นมีนัยยะทางการเมืองเข้ามาแฝงอยู่ระดับหนึ่ง พระแก้วมรกตจึงผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมืองมาอย่างยาวนาน....หากองค์พระพุทธรูปมีชีวิตและตรัสต่อเหตุการณ์ในตอนนี้ได้ ผมเชื่อว่าท่านคงจะตรัสในทำนองนี้ว่า ดูกรสาธุชน ชนเหล่าใดที่มุ่งมั่นแต่ในศีลธรรมชนเหล่านั้นย่อมชื่อว่าประเสริฐ(คนดี) ชนเหล่าใดที่ทำในสิ่งที่ตรงข้ามย่อมชนเหล่านั้นไม่อาจเรียกตัวเองว่าคนประเสริฐหรือคนดีได้ “คนดี” หาใช่คุณสมบัติของบุคคลเพียงแค่การเปล่งวาจาว่าเราคนดีไม่ แต่เป็นคุณสมบัติของบุคคลที่ประกอบคุณงามความดี ตั้งจิตอยู่ในธรรมอันเป็นกุศล เช่นนี้แล....