[**บันทึกในต่างแดน**] ความแตกต่างของระบบการศึกษาและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเรียนมหาลัยในสหรัฐอเมริกา


สวัสดีค่ะ จขกท.กลับมาอีกแล้ว (จากกระทู้ http://pantip.com/topic/34348855 ค่ะ) ตอนนี้อีกประมาณเดือนกว่าๆจขกท.ก็จะจบปีหนึ่งเทอม 2 แล้วก็ขึ้นปีสองแล้วค่ะ สาเหตุที่จู่ๆก็นึกครึ้มอยากมาตั้งกระทู้เล่าเรื่องราวในต่างประเทศครั้งนี้ เนื่องมาจากได้ไปอ่านโพสต์ของอาจารย์เจษฎาแล้วเหมือนโดนประโยคนึงตบกลางกะบาลเข้าอย่างจัง  
“คุณมาเรียนมหาวิทยาลัยทำไม นี่คือมายาคติที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ในต่างประเทศเด็กฝรั่งพอจบมัธยม มันจะค่อนข้างเป็นอิสระจากพ่อแม่แล้ว พ่อแม่ก็จะมองว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แล้วก็หน้าที่ของคุณคือตัดสินใจว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยหรือไปทำงาน” (อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์, คอลัมน์ small interview, เล่ม 3)
จขกท.เห็นจากโพสต์นี้ค่ะ https://www.facebook.com/smallbutmatter/photos/a.422155027985795.1073741828.420999264768038/486668438201120/?type=3&theater

จขกท.ถูกใจมากค่ะ จึงอยากจะมาเล่าแบบละเอียดถี่ยิบ(เท่าที่จะเล่าได้) เกี่ยวกับระบบการศึกษาภาคมหาวิทยาที่นี่ค่ะ ก่อนอื่นออกตัวก่อนนะคะว่าไม่เคยไปเที่ยวหรือแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ ไม่มีประสบการณ์นร.แลกเปลี่ยน High School ต่างประเทศค่ะ มาถึงก็เรียนภาษาจบก็ต่อป.ตรีเลย (จขกท.ได้ทุนรัฐบาลมาเรียนค่ะ เงื่อนไขทุนของจขกท.ก็นร.ทุนต้องเรียนภาษาก่อนไม่เกิน 1 ปีถึงสามารถเริ่มเรียนปริญญาได้ค่ะ ซึ่งแต่ละทุนกพ.ก็จะมีเงื่อนไขตรงนี้ไม่เหมือนกันค่ะ บางทุนให้ไปเรียน prep school บางทุน language shool บางทุนไม่มีเงื่อนไขให้ปรับพื้นฐานค่ะ) ภาคการศึกษาในอเมริกาไม่มีเทอม 1 เทอม 2 ค่ะ เค้าจะเรียนตามฤดูกาล(ช่วงเดือน) ส่วนใหญ่เป็นระบบไตรภาค มี Spring, Summer และ Fall

จขกท.เองเรียนมา 4 เทอมแล้วค่ะ เรียนภาษา (ตามเงื่อนไขทุน 2 เทอม คือ Spring 2015 & summer 2015) เรียนป.ตรีไปได้ 2 เทอม (Fall 2015 & Spring 2016) เป็นระยะเวลา 1 ปี 4 เดือนที่อยู่อเมริกาไม่ได้กลับบ้านเลย (เรียนตลอด) ดังนั้นคิดว่าได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับการศึกษาที่นี่มาเยอะพอสมควรค่ะ ถ้ามีคำถามหรือข้อสงสัยหรืออยากให้จขกท.เล่าตรงไหนเพิ่มเติม บอกมาได้เลยนะคะ ยินดีแบ่งปันค่ะ วัตถุประสงค์คือจขกท.อยากให้ข้อมูลว่า “การศึกษา” ของประเทศสหรัฐอเมริกานั้นเป็นอย่างไร เผื่อใครที่อยู่ในแวดวงการศึกษา ครู อาจารย์ จะนำไปปรับใช้กับการสอนของท่านเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวผู้เรียนด้วยค่ะ จขกท.จะไม่เปรียบเทียบกับการศึกษาระดับอุดมศึกษาในไทยนะคะ เพราะจขกท.ไม่อยากให้กระทู้เรื่องเล่าในต่างแดนกลายเป็นกระทู้ดราม่าไป และจขกท.เองไม่ได้เรียนมหาลัยในไทย จึงไม่มีประสบการณืมากพอที่จะมาเปรียบเทียบความแตกต่างได้ จขกท.จะใช้ข้อมูลจากกระทู้เก่าด้วยนะคะ เพราะเคยพูดเรื่องการศึกษาไป และมหาลัยที่จขกท.เรียนอยู่เป็นมหาลัยเล็กๆในฟลอริดาค่ะ ดังนั้นตัดประเด็นว่าเป็น “มหาลัยดัง” การศึกษาต้องดีเยี่ยมอยู่แล้วอะไรแบบนี้ไปได้เลยค่ะ

เรื่องค่าใช้จ่าย


แต่ละมหาวิทยาจะมีค่าธรรมเนียมไม่เท่ากันค่ะ ส่วนมากก็จะเป็นแบบเหมาจ่ายจำนวนหน่วยกิต แต่ถ้าเกินจากที่กำหนดก็ต้องจ่ายเพิ่มเป็นรายหน่วยกิต
อย่างของมหาลัยที่จขกท.เรียน 12- 19 หน่วยกิตคิดเป็นเหมาจ่าย แต่ของ college of Engineer จะแพงกว่าคณะอื่น $2000 เหรียญค่ะ ภาคที่จขกท.เรียนก็อยู่ใน college of Engineer ค่ะ จริงๆทางมหาลัยเองก็มีทุนให้กับ นศ.ที่เรียนดีค่ะ จขกท.รู้จักน้องคนไทยคนนึง เค้าได้ทุนของมหาลัยเป็นค่าเทอม $15,000 ต่อเทอม แต่ที่เหลือต้องออกเอง แต่ก็คิดๆแล้วออกแต่ค่ากินกับค่าที่พัก (ค่าเทอมได้จากทุนมหาลัย) ก็ยังถือว่าประหยัดไปได้มากค่ะ การได้ทุนต้องสอบ SAT ให้ได้คะแนนดีแล้วยื่นขอทุนค่ะ รูมเมทของจขกท.ก็ได้ทุนมหาลัยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีทุนให้เปล่าตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักหมื่นเหรียญ ซึ่งก็มีเงื่อนไขแตกต่างกันไปค่ะ เช่น เรียนดีต่อเนื่อง, ทุนจากองค์กรพิเศษให้เขียนเรียงความส่งไปถ้าถูกใจกรรมการก็รับทุนการศึกษาไป ประมาณนี้ค่ะ


เรื่องการเลคเชอร์ในคลาส
การเรียนที่นี่ คาบเลคเชอร์ เอาอะไรมาเรียนก็ได้ค่ะ มหาลัยเมกาไม่ค่อยแจกชีท ที่จขกท.เรียนมาทุกคลาสไม่เคยมีชีทซักแผ่นเลยค่ะ โปรเฟสเซอร์จะเปิดสไลด์พูด เราก็นั่งฟัง อยากเลคเชอร์ก็ได้ ขี้เกียจก็หลับ (เพื่อนข้างๆจขกท.นั่งฟุบบ่อยมาก) นอนเอาเท้าก่ายเก้าอี้ข้างหน้าก็ไม่โดนว่าค่ะ ตราบใดที่ไม่รบกวนคนอื่น ทำอะไรก็ทำไปเลยค่ะ 555+

เรื่องระบบจัดการข้อมูลออนไลน์
ที่นี่จะมีระบบ TRACKS System นร.ทุกคนจะมี account ของตัวเอง สามารถจัดการทุกอย่างออนไลน์ได้ด้วยตัวเอง รวดเร็วทันใจไม่มีเอกสาร ไม่ต้องไปยื่นเรื่อง และไม่ต้องเก็บเอกสารไว้เผื่อมีปัญหาอะไร ระบบนี้ทำตั้งแต่จ่ายค่าเทอม ลงคอร์ส เช็คเกรด จนถึงบอร์เฉพาะของแต่ละคลาสที่เราลงเรียน ฯลฯ
อันนี้เป็นเมนูใน  TRACKS System นะคะ



ส่วนของ canvas เป็นเหมือน กระดานออนไลน์


ก็จะโชว์วิชาเรียนทั้งหมดของเรา ทางข้างๆก็มีส่วนแจ้งเตือนการบ้านที่กำลังจะถึง Due Date  กับส่วนคะแนน งาน/สอบ ที่โปรเฟสเซอร์เพิ่งตรวจและพิมพ์คะแนนไว้

คลาสส่วนใหญ่โปรเฟสเซอร์ก็จะอัพ power point + เอกสาร + ข้อสอบเตรียมสอบ ให้หมด ใครตั้งใจเรียนก็โหลดมาอ่านมาดูก่อนได้ หรือจะไม่ดูเลยก็ได้เพราะพอไปคลาสเค้าก็จะเปิดพวกนี้มาพูดให้ฟัง ตัวจขกท.เองจะโหลดใส่เท็ปก่อนคลาสค่ะ ไปถึงก็จดเล็คเชอร์ตามสไลด์ได้เลย
กระเป๋าจขกท.นี่เบาหวิวมากเลยค่ะ พก Tablet, โน้ตบุ้ค(บางคลาส), มือถือ, บัตรนศ. ,เครื่องเขียนนิดหน่อย และขวดน้ำ

อันนี้เป็นตัวอย่างเลคเชอร์ของ จขกท. ที่ไปเรียนเมื่อเช้าในคาบอีค่อนเทอมที่แล้วค่ะ โปรเฟสเซอร์บอกว่าที่อเมริกาเวลาเค้าพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างแรกที่เค้าทำคือ คืนกลับสู่ Education ค่ะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเค้าถึงสามารถพัฒนาต่อยอดได้ เค้าวางรากฐานให้การศึกษาแบบต่อเนื่อง วนเป็น cycle


การบ้านที่นี่ส่งทาง canvas 95% ค่ะ 5% คือถ้าเป็นพวกวิชาเขียน แกจะให้ส่งแบบออนไลน์กับปริ้นไปส่งในห้องด้วย

อันนี้เป็นตัวอย่าง canvas วิชา Com career ค่ะ ก็มีให้ submit การบ้าน จขกท.ชอบทำงานล่วงหน้าอย่างน้อย 1 อาทิตย์ค่ะ ไม่ชอบดองงานจะรู้สึกแย่กระวนกระวาย อาจจะเป็นเพราะต้องรายงานเกรดให้กพ.ทุกเทอม และเราก็เอาภาษีประชาชนมาเรียน เรารู้ค่าของเงินและมันมีค่ามากกว่าความขี้เกียจของตัวเอง (โหมดจริงจังก็มีนะ อิอิ) แต่ก็โดนเพื่อนบ่นๆบ้างบางทีว่ายูไม่เตือนการบ้านเลย จะเตือนไงล่ะ ไอทำเสร็จเป็นเดือนแล้ว
ตัวเรามีระบบอย่างนึง ตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ถ้าทำอะไรเสร็จเรียบร้อยก็จะลบข้อมูลออกไปเลย ทำให้ลืมไปสนิทว่าทำอะไรไปแล้ว


นอกจากนี้เรายังสามารถดูได้ว่าผลสอบแต่ละรอบ คะแนนอยู่ในระดับไหน mean ระดับไหน สอบครั้งแต่ไปวันที่เท่าไหร่ เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากๆสำหรับติดตามผลการศึกษาของตัวเองเลยล่ะค่ะ เพราะเราสามารถดูได้ตลอดเวลาว่า ณ ปัจจุบันโดยภาพรวม คะแนนของวิชานั้นเป็นอย่างไร ตัวเราเองเป็นอย่างไร ภาพรวมของคลาสเป็นอย่างไร วางแผนได้ หากคะแนนไม่ดีก็ต้องปรับปรุงวิธีเรียนของตัวเอง อะไรแบบนี้ค่ะ


ที่นี่จะมีระบบอีเมลล์ของมหาลัย นศ.ทุกคนจะมีอีเมลล์ของมหาลัย เวลาสมัครงานเค้าแนะนำให้ใช้เมลล์มหาลัยค่ะเพราะมันระบุตัวตนได้ว่าเราเป็น นศ.ที่มหาลัยนั้นจริงๆ ดูจากเมลล์ได้เลย การรับข้อมูลข่าวสารของมหาลัย เมลล์หาโปรเฟสเซอร์ รับข้อมูลกิจกรรมหรือแจ้งเตือนของ canvas ก็จะผ่านเมลล์มหาลัยเท่านั้นค่ะ ส่วนที่เจ๋งคือเมลล์มหาลัยนี่เอาไปเป็นส่วนลดนักศึกษาตามเว็ปต่างๆได้ด้วยนะ อย่างเช่น Amazon ก็มีให้ใช้ Student Prime ฟรี ครึ่งปี ดีงามสุดๆ

เรื่องการบ้าน/งาน/แบบฝึกหัด

ทุกอย่างที่เป็นงานของคลาสนั้นมันฝึกกระบวนการคิดที่เป็นเหตุเป็นผลค่ะ ตั้งแต่มาอยู่เมกา แต่ละวิชามีจำนวนงานน้อยนะ เช่น 1 ชิ้น / 1 สัปดาห์ แต่ว่างานทุกชิ้นต้องใช้เวลาทำนานมาก เพราะอันดับแรก เราต้องนั่งอ่านงานวิจัย, บทความ ฯลฯ เป็นสิบเรื่อง แล้วมานั่งประเมิน วิเคราะห์ เพื่อให้ได้เรื่องที่สามารถสนับสนุนงานของเราเองได้ แล้วก็ไม่ใช่แค่วิชางานเขียน วิชาวิทย์ และอื่นๆที่ต้องใช้ "ทักษะการเขียน" ก็ต้องทำ citation ทั้งนั้น ยูข้อมูลไหนที่สำคัญ เป็นตัวเลข ข้อมูลที่ไม่ใช่แบบ พระอาทิตย์ขึ้นทางทิตย์ตะวันออกที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ยูจะเอาพูดลอยๆไม่ได้ ไม่มี cite ถือว่าเป็นงานที่ไม่มีคุณภาพ...
อย่างล่าสุดก็เขียนวิเคราะห์บทประพันธ์ของนักเขียนผิวสีชื่อดังในอเมริกา เรียงความแค่ 7 หน้า แต่ cite 9 แหล่ง จริงๆก็ไม่รู้ตัวหรอก แต่มานั่งสังเกตดูว่าทำไมเราเสียเวลาไปกับการทำงานแต่ละครั้งเยอะจัง มันเพราะแบบนี้นี่เอง แต่มันก็ดีนะอย่างน้อยก็ทำให้ทักษะ scope "ปัญหา" และ ทักษะการหา "คำตอบ" ดีและเชื่อถือได้
นอกจากนี้ อย่างที่บอกว่างานทุกชิ้นต้องส่งทาง canvas จะมีโปรแกรมตรวจจับ % ความเหมือนของงานเรากับบแหล่งอื่นค่ะ

อย่างในรูป สีที่ไฮไลท์จะมีข้อมูลบอกทางขวามือว่า เนื้อหาของเราไปคล้ายคลึงกับอะไร มีตั้งแต่ เหมือนกับในวิกิพีเดีย ในเว้ปไซต์ ไปจนถึงงานของนร.อีกคนที่อยู่ต่างมหาวิทยาลัย (เพราะหลายมหาลัยใช้ตัวตรวจนี้ดังนั้นมันจะมีข้อมูลของงานของเด็กทุกคน เรียกได้ว่า ตรวจเช็คได้ทุกอนูครอบคลุมทั่วประเทศ ไปลอกงานเด็กมหาลัยอื่นมาก็โดนจับติดแน่นอนค่ะ หึหึ) และโทษของการ plagiarism (ภาษาไทยแปลว่า การขโมยความคิด การขโมยคัดลอกงานของคนอื่น) มีสามระดับ ส่วนใหญ่ก็จะนับเป็นครั้งที่ 1, 2 และ 3
ครั้งที่ 1 คือได้ 0 งานชิ้นนั้น
ครั้งที่ 2 คือ ปรับตกวิชานั้น(ได้ วิชาที่ส่งงานที่ลอกค่ะ)
ครั้งที่ 3 คือ ถูกไล่ออกจากมหาลัยค่ะ
เค้าซีเรียสเรื่องการขโมยความคิดมากค่ะ ตรวจและลงโทษรุนแรง ไม่มีหยวนๆ รุ่นพี่ที่เราสนิท แค่ใช้ direct citation คือการก็อปทั้งประโยคมาแต่มีอ้งอิ้ง คือ (ชื่อเจ้าของงาน, หน้า) อย่างถูกต้องตามวิธีการอ้างอิ้งข้อมูล ยังโดนโปรเฟสเซอร์เรียกไปคุยว่าคุณทำแบบนี้ไม่ได้ คุณต้องสรุปออกมาเป็นคำพูดของตัวเองแล้วอ้างอิงต้นฉบับ คุณคัดลอกมาแบบนี้เท่ากับคุณ "ขโมยคัดลอกงาน" ดังนั้นถ้ามีงานมาแล้วคิดจะชิลๆเปิดวิกิพีเดีย ก็อปวาง ปริ้นส่ง หรือมีงานนำเสนอ ก็อปวางจากเว้ปไซต์ใส่เพาวเวอร์พอยต์ เฮ~ งานเสร็จ ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้เด็ดขาด แบบนี้ฆ่าตัวตายชัดๆเลยค่ะ

กำลังจะเกิน 10000 ตัวอักษร เดี๋ยวมาต่อข้างล่างนะคะ ยังมีเรื่องวิธีการคิดของเด็กเมกัน, การรับน้อง, กิจกรรม ฯลฯ
จขกท.เพิ่งทำเพจในเฟสบุ๊คเพราะมีหลายๆคน (โดยเฉพาะน้องๆ) ขอเฟสบุ้คเพื่อที่จะปรึกษาเรื่องการสอบทุน/การเรียน ฯ แต่ว่า จขกท.อยากมีความเป็นส่วนตัวกับเฟสตัวเองจึงสร้าง บล็อคในเฟสขึ้นมาแทน หากมีเรื่องจะปรึกษาสอบถามสามารถทักแชทมาถามได้นะคะ และคิดว่าจะเล่าเรื่องต่างๆที่น่าสนใจผ่านทางบล็อคด้วยค่ะ เพราะเล่าเยอะๆในพันธิปแบบครั้งก่อนๆก็ไม่ค่อยมีเวลาแล้วค่ะ แหะๆ
https://www.facebook.com/doomkittyblog
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่