17-24 ตุลา 58
เป็นการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกของต้นข้าว กับต้นน้ำ เจ้าสองต้นตื่นเต้นกันมาก
ดูจากท่าทางแล้วต้นข้าวตื่นเต้นกับการจะได้ไปญี่ปุ่น
แต่ต้นน้ำไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นในการไปญี่ปุ่น แต่ตื่นเต้นกับการนั่งเครื่องบินเสียมากกว่า ^-^
เรากำหนดวันเดินทางในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เราไม่ได้อยากเจออากาศหนาวมาก เพราะคิดว่ายังไม่น่าจะรับมือไหว
อยากเจออากาศสบายๆ ประมาณ 20 ต้นๆ แบบเดินเท่าไหร่ก็ไม่มีเหงื่อ ไม่เหนื่อยเป็นพอ
เพราะการเดินทางครั้งนี้เราไปกันเอง ไม่ง้อทัวร์นะแจ๊ะ ดังนั้นเดินหลง เดินทน มันต้องมีแน่นอน
เรียกได้ว่าเป็นมินิมาราธอนย่อมๆ ได้เลย ลำพังตัวเองก็เมื่อยขาจะแย่
ตกเย็นช่วงหัวค่ำ เนื่องด้วยมีพกเด็กไปด้วย ก็ต้องแบก ต้องอุ้มกันอีก
บางครั้งก็แอบคิดว่านี่มาเที่ยว หรือมามินิมาราธอนนะเนี่ย
เราเดินทางด้วยสายการบินเวียดนาม แอร์ไลน์ สนนราคาไปกลับ 12,000 บาท (เศษๆ)
โดยให้บริษัททัวร์ที่จองตั๋วเครื่องบินเป็นคนจองให้ แม้ก่อนหน้านี้จะเห็นตั๋วถูกบ่อยมาก
แต่ไม่สามารถจองได้ทีละ 10 คนเลย สุดท้ายก็ต้องพึ่งบริษัททัวร์ในการจองให้
ออกเดินทางกันตอน 3 ทุ่ม และต้องไปต่อเครื่องที่เวียดนามเพื่อไปญี่ปุ่น
ด้วยความที่ครอบครัวเราไม่ทานเนื้อค่ะ เราจึง request อาหารไปเป็น seafood ทั้งไปและกลับตอนจองตั๋วเครื่องบินค่ะ เพราะเกรงว่าเดี๋ยวจะเจอสปาเก๊ตตี้เนื้อสับแล้วจะทานกันไม่ได้ อาหารของสายการบินเวียดนาม แอร์ไลน์ก็โอเคนะ ไม่เลี่ยนมาก ให้เยอะด้วย กินไม่เคยหมดเลย เรียกได้ว่าเสิร์ฟแทบจะตลอดการเดินทางเลยก็ว่าได้
เสริ์ฟอาหารเสร็จ ต่อด้วยเครื่องดื่ม มีหลายอย่างค่ะ เช่น น้ำอัดลม เบียร์ บรั่นดี เหล้า น้ำผลไม้ น้ำแร่ เยอะแยะเลือกไม่ถูก แต่สุดท้ายเราก็เลือกอะไรที่คุ้นเคยคือน้ำส้ม
ทานอาหารอิ่ม ต่อด้วยชาเวียดนามชงร้อนๆ ตอนทานต้องระวังนะคะ หกนี่เป็นเรื่องเลย เพราะร้อนมาก
ใช้เวลาเดินทางจากไทยมาเวียดนามประมาณ 3 ชม. ค่ะ และในที่สุดก็มาถึงสนามบินเวียดนามตอน 5 ทุ่ม พอออกมาจากเครื่องบิน อากาศที่เวียดนามลมเย็นสบายมากค่ะ
จากนั้นเราก็ไปนั่งๆ เดินๆ กลิ้งๆ ที่สนามบินเวียดนามอยู่ประมาณ 2 ชม. เพื่อรอขึ้นเครื่องไปญี่ปุ่น
เด็กไปกัน 3 คน มีหลับไป 2 เหลือแต่ต้นน้ำตื่นเต้นจัดไม่ยอมนอนเลย
จนในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นเครื่อง โอ้ว..สวรรค์โปรดจริงๆ
ตอนขึ้นเครื่องจากเวียดนามไปญี่ปุ่น บนสายการบินมีแจกอาหารอีกนะคะ แต่เป็นตอนตี 1
เรางี้กินไม่ลงเลย เพราะว่ามันเป็นช่วงดึกสงัดที่ไม่เคยมีอาหารตกถึงท้องมาหลายสิบปี
และเด็กๆ ก็หลับกันหมด เราก็เลยเก็บ เก็บ และก็เก็บอาหารที่พอจะเก็บได้เข้ากระเป๋า
ติดไว้ทานตอนรุ่งเช้าที่ถึงญี่ปุ่นให้เด็กๆ กันหิว
และในที่สุด เราก็มาถึงสนามบิน Nankai ตอน 6 โมงเช้า
ออกมาจากเครื่องวิตกกังวลเรื่องอากาศมาก เพราะกลัวว่าฝนจะตกไม๊ อากาศจะหนาวหรือเปล่า
แต่ผลคืออากาศประมาณเกือบ 20 องศา เย็นสบายดีค่ะ
และอากาศตลอดที่อยู่ที่โอซาก้าช่วงเดือนตุลาคม ถ้ากลางคืนจะอยู่ที่ 15-18 องศา ส่วนกลางวันจะอยู่ที่ 18-23 องศาค่ะ
ทำเรื่องตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก็ศึกษาวิธีการเขียนมาพอประมาณ
จากนั้นก่อนจะเข้าประเทศเค้า จะต้องเดินเรียงตัวเพื่อสัมภาษณ์กับ จนท. ตรงทางขาออก
ว่ามาทำอะไร มาอยู่กี่วัน เป็นนักท่องเที่ยวหรือมาทำธุรกิจ ฯลฯ
กรณีเด็กๆ ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ สามารถมีผู้ปกครองไปด้วยได้ค่ะ
แต่แม่เรานี่สิ สว. สูงวัย อายุ 62 ปี พูดภาษาไทยได้ จีนปร๋อ ญี่ปุ่นไม่ได้เลย
เราก็เลยขออนุญาต จนท. ไปช่วย snakeๆ fishๆ นิดนึง เค้าเห็นหน้าเรางงๆ สัมภาษณ์นิดนึงก็ปล่อยเข้าได้
ระหว่างนั้นพวกเราก็รอค่ะ เพื่อให้น้องเราซึ่งเคยมาญี่ปุ่นหลายครั้งอยู่ไปซื้อตั๋วรถไฟ เพื่อเดินทางไปยังที่พัก จุดหมายปลายทางเราคือสถานี Higashimikuri Station
ก่อนจะมามีเข้าไปหาข้อมูล เค้าว่าตู้หยอดเหรียญกดน้ำที่ญี่ปุ่นเยอะมาก มีสารพัดตู้
วันนี้ได้มาเห็นกับตา โอ้วแม่เจ้า.. มันเยอะจริงๆ ค่ะ มีทั้งตู้น้ำ ตู้ไอศครีม
เดินทางโดยขึ้นรถไฟฟ้า ซึ่งส่วนตัวเราชอบที่นี่ตรงรถไฟฟ้านี่แหละ เป็นอะไรที่เลอค่ามาก
ต้นน้ำชอบนั่งรถไฟฟ้ามาก อยู่กรุงเทพฯ เคยนั่ง 2 ครั้ง มาญี่ปุ่นครั้งนี้ นั่งกันให้เบื่อไปเลย
เราต้องลง และเดินเพื่อไปต่อรถไฟฟ้าเพื่อไปเมืองโอซาก้าค่ะ มีลากกระเป๋าแกรกๆ กันตลอดทาง ต้นข้าวเธอชอบเลย
และในที่สุดเราก็คืบคลานกันมาถึงที่พักจนได้ ไม่หลงด้วย ดีใจเป็นที่สุด ยกความดีความชอบให้ผู้นำทริป
ที่พักนี้น้องเราจองผ่าน Airbnb ค่ะ สนนราคาที่ 51,000 กว่าบาท / 6 คืน
ส่วนตัวเราชอบที่นี่มาก เพราะมีทุกอย่างครบเครื่องที่เราต้องการเลย
ห้องพักประกอบไปด้วย
- 4 ห้องนอน ทุกห้องนอนมีเครื่องนอนเผื่อไว้ในตู้หลายชุดมาก
- 1 ห้องน้ำ ในห้องน้ำมีสบู่ ยาสระผมไว้ให้ค่ะ
- 1 ครัว มีอุปกรณ์ทำครัวพร้อมมาก เช่น ไมโครเวฟ ภาชนะใส่อาหาร กาต้มน้ำ ตู้เย็น น้ำยาล้างจานมีหมด
- 1 พื้นที่นั่งเล่น
- 1 พื้นที่ทานข้าว
- 1 ระเบียง
[CR] ++Hello Osaka Part 1++ On the way By Vietnam Airlines
ดูจากท่าทางแล้วต้นข้าวตื่นเต้นกับการจะได้ไปญี่ปุ่น
แต่ต้นน้ำไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นในการไปญี่ปุ่น แต่ตื่นเต้นกับการนั่งเครื่องบินเสียมากกว่า ^-^
อยากเจออากาศสบายๆ ประมาณ 20 ต้นๆ แบบเดินเท่าไหร่ก็ไม่มีเหงื่อ ไม่เหนื่อยเป็นพอ
เพราะการเดินทางครั้งนี้เราไปกันเอง ไม่ง้อทัวร์นะแจ๊ะ ดังนั้นเดินหลง เดินทน มันต้องมีแน่นอน
เรียกได้ว่าเป็นมินิมาราธอนย่อมๆ ได้เลย ลำพังตัวเองก็เมื่อยขาจะแย่
ตกเย็นช่วงหัวค่ำ เนื่องด้วยมีพกเด็กไปด้วย ก็ต้องแบก ต้องอุ้มกันอีก
บางครั้งก็แอบคิดว่านี่มาเที่ยว หรือมามินิมาราธอนนะเนี่ย
โดยให้บริษัททัวร์ที่จองตั๋วเครื่องบินเป็นคนจองให้ แม้ก่อนหน้านี้จะเห็นตั๋วถูกบ่อยมาก
แต่ไม่สามารถจองได้ทีละ 10 คนเลย สุดท้ายก็ต้องพึ่งบริษัททัวร์ในการจองให้
ออกเดินทางกันตอน 3 ทุ่ม และต้องไปต่อเครื่องที่เวียดนามเพื่อไปญี่ปุ่น
ด้วยความที่ครอบครัวเราไม่ทานเนื้อค่ะ เราจึง request อาหารไปเป็น seafood ทั้งไปและกลับตอนจองตั๋วเครื่องบินค่ะ เพราะเกรงว่าเดี๋ยวจะเจอสปาเก๊ตตี้เนื้อสับแล้วจะทานกันไม่ได้ อาหารของสายการบินเวียดนาม แอร์ไลน์ก็โอเคนะ ไม่เลี่ยนมาก ให้เยอะด้วย กินไม่เคยหมดเลย เรียกได้ว่าเสิร์ฟแทบจะตลอดการเดินทางเลยก็ว่าได้
เสริ์ฟอาหารเสร็จ ต่อด้วยเครื่องดื่ม มีหลายอย่างค่ะ เช่น น้ำอัดลม เบียร์ บรั่นดี เหล้า น้ำผลไม้ น้ำแร่ เยอะแยะเลือกไม่ถูก แต่สุดท้ายเราก็เลือกอะไรที่คุ้นเคยคือน้ำส้ม
ทานอาหารอิ่ม ต่อด้วยชาเวียดนามชงร้อนๆ ตอนทานต้องระวังนะคะ หกนี่เป็นเรื่องเลย เพราะร้อนมาก
ใช้เวลาเดินทางจากไทยมาเวียดนามประมาณ 3 ชม. ค่ะ และในที่สุดก็มาถึงสนามบินเวียดนามตอน 5 ทุ่ม พอออกมาจากเครื่องบิน อากาศที่เวียดนามลมเย็นสบายมากค่ะ
เด็กไปกัน 3 คน มีหลับไป 2 เหลือแต่ต้นน้ำตื่นเต้นจัดไม่ยอมนอนเลย
จนในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นเครื่อง โอ้ว..สวรรค์โปรดจริงๆ
ตอนขึ้นเครื่องจากเวียดนามไปญี่ปุ่น บนสายการบินมีแจกอาหารอีกนะคะ แต่เป็นตอนตี 1
เรางี้กินไม่ลงเลย เพราะว่ามันเป็นช่วงดึกสงัดที่ไม่เคยมีอาหารตกถึงท้องมาหลายสิบปี
และเด็กๆ ก็หลับกันหมด เราก็เลยเก็บ เก็บ และก็เก็บอาหารที่พอจะเก็บได้เข้ากระเป๋า
ติดไว้ทานตอนรุ่งเช้าที่ถึงญี่ปุ่นให้เด็กๆ กันหิว
ออกมาจากเครื่องวิตกกังวลเรื่องอากาศมาก เพราะกลัวว่าฝนจะตกไม๊ อากาศจะหนาวหรือเปล่า
แต่ผลคืออากาศประมาณเกือบ 20 องศา เย็นสบายดีค่ะ
และอากาศตลอดที่อยู่ที่โอซาก้าช่วงเดือนตุลาคม ถ้ากลางคืนจะอยู่ที่ 15-18 องศา ส่วนกลางวันจะอยู่ที่ 18-23 องศาค่ะ
ทำเรื่องตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก็ศึกษาวิธีการเขียนมาพอประมาณ
จากนั้นก่อนจะเข้าประเทศเค้า จะต้องเดินเรียงตัวเพื่อสัมภาษณ์กับ จนท. ตรงทางขาออก
ว่ามาทำอะไร มาอยู่กี่วัน เป็นนักท่องเที่ยวหรือมาทำธุรกิจ ฯลฯ
กรณีเด็กๆ ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ สามารถมีผู้ปกครองไปด้วยได้ค่ะ
แต่แม่เรานี่สิ สว. สูงวัย อายุ 62 ปี พูดภาษาไทยได้ จีนปร๋อ ญี่ปุ่นไม่ได้เลย
เราก็เลยขออนุญาต จนท. ไปช่วย snakeๆ fishๆ นิดนึง เค้าเห็นหน้าเรางงๆ สัมภาษณ์นิดนึงก็ปล่อยเข้าได้
ระหว่างนั้นพวกเราก็รอค่ะ เพื่อให้น้องเราซึ่งเคยมาญี่ปุ่นหลายครั้งอยู่ไปซื้อตั๋วรถไฟ เพื่อเดินทางไปยังที่พัก จุดหมายปลายทางเราคือสถานี Higashimikuri Station
วันนี้ได้มาเห็นกับตา โอ้วแม่เจ้า.. มันเยอะจริงๆ ค่ะ มีทั้งตู้น้ำ ตู้ไอศครีม
ต้นน้ำชอบนั่งรถไฟฟ้ามาก อยู่กรุงเทพฯ เคยนั่ง 2 ครั้ง มาญี่ปุ่นครั้งนี้ นั่งกันให้เบื่อไปเลย
เราต้องลง และเดินเพื่อไปต่อรถไฟฟ้าเพื่อไปเมืองโอซาก้าค่ะ มีลากกระเป๋าแกรกๆ กันตลอดทาง ต้นข้าวเธอชอบเลย
ที่พักนี้น้องเราจองผ่าน Airbnb ค่ะ สนนราคาที่ 51,000 กว่าบาท / 6 คืน
ส่วนตัวเราชอบที่นี่มาก เพราะมีทุกอย่างครบเครื่องที่เราต้องการเลย
ห้องพักประกอบไปด้วย
- 4 ห้องนอน ทุกห้องนอนมีเครื่องนอนเผื่อไว้ในตู้หลายชุดมาก
- 1 ห้องน้ำ ในห้องน้ำมีสบู่ ยาสระผมไว้ให้ค่ะ
- 1 ครัว มีอุปกรณ์ทำครัวพร้อมมาก เช่น ไมโครเวฟ ภาชนะใส่อาหาร กาต้มน้ำ ตู้เย็น น้ำยาล้างจานมีหมด
- 1 พื้นที่นั่งเล่น
- 1 พื้นที่ทานข้าว
- 1 ระเบียง
ห้องนอน 2 เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่รองลงมาค่ะ เพื่อนเรานอนห้องนี้ เพราะมีกัน 3 คน
ห้องนอน 3 ขนาดรองลงมา น้องเรานอนห้องนี้ เพราะมีกัน 2 คน
ห้องนอน 4 เป็นห้องนอนที่เล็กสุดค่ะ นอนได้คนเดียว ให้แม่เรานอน
ห้องรับแขก ทีวีชัดนะคะ แต่ดูแต่ภาพเอา
ห้องครัว อุปกรณ์พร้อมมาก
และด้านล่างของตึกนี้ยังมีสนามเด็กเล่นให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่นตอนเช้า ก่อนจะออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยเน้อ