สวัสดีค่ะ เมื่อวันก่อนมีโอกาสได้นั่งอ่านกระทู้ ประสบการณ์ชีวิต เรื่องเล่าการหางานที่อเมริกา ตัวเราเองก็ได้มาเริ่มมาหางานที่นี่เหมือนกัน เราเลยอยากแชร์ประสบการณ์ การหางานสายกราฟฟิค/โฆษณาของเราบ้างเผื่อมีใครสนใจ อยากเรียนรู้อ่านเก็บไว้ในกรุก็ว่าไป
ขอเริ่มจากเกริ่นก่อนว่าเราเป็นใครมาจากไหน
ตอนนี้เราอายุ 24 เรียนจบจากมหาวิทยาลัยอินเตอร์ชื่อดังแห่งนึงแถวสมุทรปราการ เราจบสายกราฟฟิคดีไซน์มาเมื่อเดือนธันวา ปี 2014
ด้วยความที่พ่อเราเป็นคนอเมริกัน เราเลยได้สัญชาติที่นี่มาตั้งแต่เกิด แต่เราก็เรียนและโตที่ไทยมาโดยตลอด ภาษาอังกฤษเราก็เริ่มเรียนมาผ่านพ่อตั้งแต่เด็กๆ เราก็เลยมีพื้นฐานทางด้านภาษามาบ้างพอสมควร
อย่างที่บอก เราเรียนจบธันวา 2014 เราก็ทำการจองตั๋วอะไรเรียบร้อย วันที่ 9 มกรา 2015 เพื่อที่จะมาที่นี่เลย ตอนนั้นคิดแค่ว่าเรียนจบเมื่อไหร่ก็อยากย้ายมาเลย ไม่อยากเสียเวลา แต่ใจเจ้ากรรม คืนวันปีใหม่ 2015 ไส้ติ่งมันไม่อยากอยู่ในร่างแล้ว มันอยู่ๆก็อยากอักเสบขึ้นมา ค่ะ!!! สุดท้ายก็ผ่าตัด นอนโรงพยาบาลกันไป 5 วัน ในที่สุดก็ต้องจำยอมเลื่อนตั๋วออกไป หมอบอกว่าอย่างน้องพักฟื้นสัก 2 อาทิตย์ เราเลยได้เลื่อนตั๋วมาเป็นช่วงปลายมกราแทน
เราถือว่าเราโชคดีในระดับนึงที่แฟนเรามาเรียนต่อที่บอสตัน เค้าเลยมีโอกาสหาห้องพักไว้ก่อนที่เราจะมาถึง เรามาตัวเปล่า ไม่มีงานการันตี ไม่ได้ทำพอร์ท ไม่ได้เตรียมทำอะไรมาเลย มาเริ่มที่นี่ตั้งแต่ 0 จริงๆ บวกกับความกดดันที่ว่า ถ้าเราไม่รีบหางาน เงินกรูหมดแน่ๆค่ะ บอกก่อนว่าตอนก่อนมาคุยกับแม่แล้วแม่เราสนับสนุนอยากให้เราทำในสิ่งที่เราอยากทำ เลยให้เงินมาเริ่มต้นไว้ก้อนนึง แต่เราบอกแม่ไว้เลยว่า ก้อนนี้เป็นก้อนสุดท้ายแล้วที่เหลือเราอยากหาเงินกลับไปให้แม่แทน ก็ไม่เคยได้ขออะไรจากแม่ต่อจากนั้นมาเลย
ต่อ.. เกริ่นมาก็เยอะพอสมควร เข้าเรื่องค่ะ..
อย่างแรกที่เริ่มทำคือ research .. Research ทุกวันทุกอย่าง google คือเพื่อนที่ดี หาหมดค่ะว่า Boston มีกราฟฟิคเฮาส์ที่ไหนบ้าง ยอมรับตรงๆว่าตอนแรกหาแต่กราฟฟิคเฮาส์ไม่เลือกหาที่อื่นเลย แล้วเราก็เริ่มดูว่าแต่ละที่เค้าต้องการอะไรบ้าง ที่นี่สำคัญมาก ถ้าคุณอยากจะทำงานสายครีเอทีฟ ไอเท็มที่จำเป็นต้องมีเลยคือ:
1. เว็ปไซด์โชว์งาน ง่ายๆ คือพอร์ทออนไลน์ของตัวเอง ถ้าไม่มีแล้วพูดเลยว่ายากมากที่ใครจะติดต่อกลับมา คือเค้าอยากเห็นว่าคุณทำงานแนวไหน เหมาะกับบริษัทเค้ารึเปล่า ยิ่งถ้าคุณมี url เป็นของตัวเองยิ่งดี ยกตัวอยากเช่น "www.yourname.com" ไม่ต้องห่วงถ้าทำพวกเวปไม่เป็น เพราะเราแทบไม่มีความรู้อะไรทางด้านโค้ดพวกนี้เลย เว็ปที่เริ่มง่ายๆ และแนะนำ คือ sqaurespace, portfoliobox, cargo พวกนี้มันมาเป็น template อยู่แล้ว มันเลยทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น เราก็เลือกคัดสรรงานเรามา แล้วก็โยนๆมันใส่เข้าไป
2. Resume - อันนี้สำคัญพอๆกัน ถ้าเราทำสายครีเอทีฟ ก็แนะนำให้ใช้เวลาดีไซน์มันนิดนึง ยิ่งถ้ามันเข้ากับดีไซน์ของเวปเรายิ่งดี เราจะได้ดูว่าเราใส่ใจใน personal brand ของเรา เตรียมไว้สองอย่างเลยยิ่งดี ทั้ง electronic copy แล้วก็ physical copy
3. Cover letter - อันนี้จริงๆแล้วก็แล้วแต่บริษัทว่าเค้าจะเอาไหม แต่ส่วนใหญ่เค้าก็จะต้องการ เช็คดีๆ อ่านหลายๆรอบ สำคัญคือ อย่าให้มีสะกดคำผิด เพราะเค้าจะคิดว่าเราไม่รอบคอบ ไม่ใส่ใจ สมัครหลายบริษัทก็พยายามปรับ cover letter ให้มันเข้ากับบริษัทนั้นๆ ดูให้ดีๆเลยว่าแต่ละบริษัท personality เค้าเป็นแบบไหน
4. Physical book หรือ พอร์ทแบบที่เราถือหิ้วไปไหนมาไหนได้ มีเผื่อไว้ก็ดี แนะนำว่าทำมาจากที่ไทย ประหยัดกว่า และทำอะไรได้เยอะกว่ามาก เพราะที่นี่พูดเลยว่าปริ้นแพง อย่าว่าแต่ เย็บเล่ม laser cut .. บายค่ะ เราพลาดที่มาทำที่นี่ เลยมาปริ้นลงกระดาษดีหน่อยแล้วก็หาแฟ้มที่ดูดีๆใส่งาน
ที่เหลือก็เรื่องของเอกสารก็ค่อยว่ากันไปอีกทีแล้วแต่บริษัทเลยว่าเค้าต้องการอะไรบ้าง
ต่อค่ะ... อย่างที่บอกไว้ว่า เราเริ่มสมัครไม่กี่ที่ รอแล้วรออีกก็ยังไม่มีใครตอบ research ไปๆมาๆก็ไปเจอกับเว็ป creativecircle.com
Creative circle เหมือนเป็นเอเจ้นที่ค่อยช่วยเราหางานด้าน creative ไม่ว่าจะเป็น art director, designer, copywriter, UX designer, UI designer etc. ส่วนใหญ่ที่เค้าหาให้จะเป็นงาน freelance เราก็ติดต่อไปหาเค้า เค้าก็นัดเราไปสัมภาษณ์ ว่าเราเป็นใครมาจากไหน ทำงานแนวไหน ให้เรายื่นพอร์ท ยื่น resume แล้วถ้าเค้าเจองานที่เหมาะกับเราแล้วเค้าก็จะอีเมลมาหาเรา
Creative circle บริการฟรีค่ะ แต่ถ้าถามเราว่าเราแนะนำมั้ย เราเฉยๆ เพราะเราก็ไม่ค่อยเจองานที่มันเหมาะกับเรา แต่เราว่าสมัครไปก็ไม่เสียหาย
เค้าจะอีเมลเรามา พูดได้ว่าทุกวัน วันละ 2-3 งาน ส่งมาให้เราสกรีน ถ้าเราสนใจเราก็ตอบกลับไป
เราเจองานไหนน่าสนใจเราก็ตอบกลับตลอด แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยติดต่อกลับ ในใจคิดหรือกรูไม่ดีพอ.. เค้าก็จะมีโทรมาเช็คบ้างว่าเราเป็นยังไงหางานอยู่มั้ย.. เราเคยถามเพื่อนเราที่นี่ ว่าเคยสมัครกับ creative circle ไปมั้ย ส่วนใหญ่ก็เคยกันทั้งนั้น หลายคนก็ได้งาน freelance จากที่นี่บ้าง ดังนั้นอย่าหมดหวัง
หลังจากคุยกับ creative circle เราก็กลับมานั่งหางานเองต่อ เพราะคิดตลอดว่าเราอย่าไปหวังพึ่งใคร พึ่งตัวเองดีที่สุด ตั้งแต่นั้นก็นั่งหางาน ทั้งวัน เช้าเย็น แทบไม่ได้ไปไหนเลยจริงๆ มีหมดหวังบ่อย ท้อบ่อย เครียดก็คุยกับแม่ กับแฟน กับเพื่อนสนิทที่ไทยตลอด แต่จะพูดกับทุกคนตรงนี้เลยจริงๆว่ามาหางานที่อเมริกา ห้ามท้อ กำลังใจสำคัญที่สุด อีกอย่างพอดีเรามีโอกาสได้ไปเที่ยวพักผ่อนที่ชิคาโก้ 5 วัน เลยเบาสมองขึ้น พอกลับมาเริ่มคิดได้ รู้สึกดีขึ้นก็ลุยต่อ.. คราวนี้ เปิดโอกาสให้ตัวเอง เริ่มหาเพิ่มพวกบริษัทโฆษณา หาทุกที่ สมัครทุกที่ไม่ว่าใหญ่ เล็ก เอาหมด สมัครแม้กระทั่ง internship (ฝึกงาน) เพราะ ณ ขณะนั้น ไม่เลือกแล้ว เพราะก็ย่างเข้าเดือนที่ 3 แล้ว ก็สมัครเรื่อยๆ ไม่เคยหยุด
และแล้วฟ้าฝนก็เป็นใจ มีบริษัทโฆษณาเล็กๆที่นึงติดต่อมา เราสมัครตำแหน่ง Junior Designer ไป เค้าก็บอกเค้าสนใจอยากเรียกเราเข้าไปสัมภาษณ์ เราก็นัดวันเวลากับเค้าเรียบร้อย คืนก่อนหน้านั้น เราตื่นเต้นมาก จริงๆ เพราะเป็นการสัมภาษณ์งานครั้งแรก เราอ่านทุกอย่างเกี่ยวกับบริษัท ดูงานทุกอย่างที่เค้าเคยทำ นั่งอ่าน นั่งจำ นั่งติว คิดว่าพรุ่งนี้กรูความรู้แน่น แน่ๆๆ วันรุ่งขึ้นก็เตรียมตัว แต่งตัวไปพร้อม ถือพอร์ท เตรียม resume ไปเผื่อ ตื่นเต้นมาก แต่ในใจคิดว่าพร้อมแน่ๆ ไปถึงเค้าก็ให้ขึ้นไปรอ บริษัทดูอบอุ่น กำแพง อิฐ อารมณ์ industrial ดูน่าสนใจ.. ใจเราระหว่างรอเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว.. พอคนที่สัมภาษณ์เข้ามา เราก็แนะนำตัว shake hand อะไรกับเค้าเรียบร้อย สิ่งที่เราทำพลาดครั้งนี้คือ เราติวงานมาอย่างดี แต่เราไม่ได้ดูแล้วเตรียมว่าเราควรพูดอะไร ถามอะไร.. ตอนนั้นพังมาก คือพอสัมภาษณ์เสร็จรู้เลยว่าพลาดโอกาสแล้วแหละ
ทำใจยอมรับความจริง... กลับมาถึงบ้านเราก็ส่ง follow up อีเมลไปขอบคุณบริษัท แต่ก็นั่นแหละ... ครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับบริษัทนั้น เพราะรู้ตัวเลยว่า ไม่รอด..
ผ่านไปอีกอาทิตย์นึง ก็มีอีเมลตอบกลับมา ครั้งนี้ มาจากอีกบริษัทนึง เป็นบริษัทโฆษณา อยู่กลางเมืองบอสตัน เค้าโทรมานัดสัมภาษณ์ แต่ครั้งนี้เป็นสัมภาษณ์เป็นโปรแกรม creative internship ของเค้า ตอนนั้นดีใจมาก ตื่นเต้นมาก ไม่แคร์แล้วว่าทำอะไร รู้แล้วว่าต้องเตรียมตัวยังไง...
เกริ่นก่อนอีกรอบว่าตอนสมัครที่นี่ มันแปลกกว่าที่อื่นมาก.. ที่นี่ไม่เอา cover letter.. จำได้แม่นเลย.. ตอนสมัคร เราเข้าไปสมัครในเวปเค้า เค้าให้เลือกเลย เราจะสมัคร intern อะไร art หรือ copy. เราก็เลือก art อยู่แล้ว แบบไม่คิด..
แล้วเค้าก็ให้ใส่ url เว็ปพอร์ทของเรา แล้วก็แนบ resume.. คราวนี้ก็มีคำถามให้เราพิมตอบ.. คำถามก็ออกแนว อยากรู้จักตัวตนความคิดเรา
Who are you? Tell us something about yourself.
What's your favorite ad campaign?
Who's your favorite artist and why?
Tell us something crazy you've done
เราว่าน่าสนใจมาก ดูแตกต่างจากที่อื่น เราก็ตอบแบบตามความคิดเราตรงๆ แบบให้เค้าเห็นตัวตนเราไปเลย
ต่อค่ะ.. ก็พอเค้าติดต่อกลับมา เราดีใจมาก คราวนี้อ่านทุกอย่าง อ่านว่าเราควรถามอะไรเค้า เวลาคุยกับเค้า ตัวอย่างคำถามที่เราควรถามก็ถามเลยคะว่า
What's the cultur

?
What's a typical day here?
ถามกระทั่งว่า what's the next step ให้รู้ไปเลยว่าเราสนใจแล้วเราต้องทำอะไรต่อ
แต่สำคัญคือดูงานไปด้วยว่าเค้าทำงานอะไรมาบ้าง ผลิตอะไรบ้าง อ่านในเว็ปเค้าให้หมด ว่าบริษัทเค้าเป็นมายังไง อันนี้สำคัญ เรามีเวลาเตรียมตัวประมาณสองอาทิตย์ก่อนเค้านัดไปสัมภาษณ์ อย่างที่บอก เราอ่าน เตรียมทุกอย่าง เหมือนติวสอบเลยค่ะ google คือเพื่อนสนิทจริงๆ อ่าน article พวกที่เกี่ยวกับการเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งาน คือคราวนี้มั่นใจว่าเราพร้อม
พอมาถึงวันสัมภาษณ์ ด้วยความตื่นเต้นเราไปถึงก่อนเวลา แต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปที่บริษัท เราเลยเดินอยู่แถวๆนั้นให้อารมณ์เย็นก่อน พอใกล้เวลาก็เลยเข้าไปค่ะ
บริษัทนี้อยู่ในตึกใหญ่กลางบอสตัน ต้องขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้นที่ 35 พอเข้าไปแล้วตะลึงมาก คือดูสวย น่าทำงานมาก ออกแนวสะอาด โมเดิร์น คนละแนวก็อีกบริษัทนึงเลย ด้วยความที่อยู่ชั้น 35 เห็นวิวบอสตันสวยมาก ในใจคิดว่า กรูต้องได้ทำงานที่นี่ ไปถึงก็ป้ำๆเป้อๆ คุยกับ reception เค้าก็ให้เรานั่งรอ รอไปประมาณ 10 นาที คนที่สัมภาษณ์เราก็มาค่ะ แล้วพาเราไปห้องประชุมเล็กๆ คนที่สัมภาษณ์เราเป็นผู้หญิงกับผู้ชาย ดูเป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มอารมณ์ดีกันทั้งคู่ เราเตรียม physical book ของเราไปเผื่อด้วยคะ เผื่อเค้าอยากดู... แล้วเค้าก็อยากดูจริงๆ.. เราก็เริ่มอธิบายงานเราแต่ละอย่างให้เค้าฟัง แล้วก็พูดคุยว่าเราเป็นใครมาจากไหน สำคัญที่สุดคือเราต้องยิ้มแย้ม ต้องมั่นใจ ต่อให้ตื่นเต้นแค่ไหนก็ต้องเก็บไว้ค่ะ อย่าแสดงให้เค้าเห็น.. พอสัมภาษณ์เกี่ยวกับตัวเราเสร็จ เค้าก็ถามค่ะ.. Do you have any questions for us? เข้าทางเลย ดีนะครั้งนี้เราเตรียมไป เราก็ถามอย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ค่ะ เราก็ถามเค้าอีกว่าหลังจากฝึกงานเสร็จเค้ามีโอกาสจะจ้างเรา full-time มั้ย เค้าดูตกใจเล็กๆแต่เค้าดูประทับใจมาก โดยเฉพาะคำถามที่ว่า what's the next step? เค้าบอกว่าเค้าดูเหมือนเรากระตือรือล้น และตั้งใจ หลังจากนั้นเค้าเลยพาเราเดินรอบๆบริษัทคะ พาไปดูนั่นดูนี่ แนะนำเรากับคนอื่นบ้าง
ก่อนเราจะกลับ ครั้งนี้ด้วยความที่ว่าเราไม่อยากรอ ตั้งความหวัง เราเลยรวบรวมความกล้าแล้วถามไปเลยคะ ว่าเราจะได้รู้คำตอบเมื่อไหร่
เค้าบอกกับเราตรงๆเลยคะว่าไม่เกิน 3 วัน เราก็ขอบคุณเค้าเรียบร้อย กลับมาถึงบ้านก็ไม่รอช้ารีบส่ง follow up อีเมลไปขอบคุณเค้าทันทีค่ะ
อ่าววว.. ตัวอักษรเกิน เดี๋ยวต่อข้างล่างละกันเนอะ
แชร์ประสบการณ์ หางานสายครีเอทีฟที่ อเมริกา!
ขอเริ่มจากเกริ่นก่อนว่าเราเป็นใครมาจากไหน
ตอนนี้เราอายุ 24 เรียนจบจากมหาวิทยาลัยอินเตอร์ชื่อดังแห่งนึงแถวสมุทรปราการ เราจบสายกราฟฟิคดีไซน์มาเมื่อเดือนธันวา ปี 2014
ด้วยความที่พ่อเราเป็นคนอเมริกัน เราเลยได้สัญชาติที่นี่มาตั้งแต่เกิด แต่เราก็เรียนและโตที่ไทยมาโดยตลอด ภาษาอังกฤษเราก็เริ่มเรียนมาผ่านพ่อตั้งแต่เด็กๆ เราก็เลยมีพื้นฐานทางด้านภาษามาบ้างพอสมควร
อย่างที่บอก เราเรียนจบธันวา 2014 เราก็ทำการจองตั๋วอะไรเรียบร้อย วันที่ 9 มกรา 2015 เพื่อที่จะมาที่นี่เลย ตอนนั้นคิดแค่ว่าเรียนจบเมื่อไหร่ก็อยากย้ายมาเลย ไม่อยากเสียเวลา แต่ใจเจ้ากรรม คืนวันปีใหม่ 2015 ไส้ติ่งมันไม่อยากอยู่ในร่างแล้ว มันอยู่ๆก็อยากอักเสบขึ้นมา ค่ะ!!! สุดท้ายก็ผ่าตัด นอนโรงพยาบาลกันไป 5 วัน ในที่สุดก็ต้องจำยอมเลื่อนตั๋วออกไป หมอบอกว่าอย่างน้องพักฟื้นสัก 2 อาทิตย์ เราเลยได้เลื่อนตั๋วมาเป็นช่วงปลายมกราแทน
เราถือว่าเราโชคดีในระดับนึงที่แฟนเรามาเรียนต่อที่บอสตัน เค้าเลยมีโอกาสหาห้องพักไว้ก่อนที่เราจะมาถึง เรามาตัวเปล่า ไม่มีงานการันตี ไม่ได้ทำพอร์ท ไม่ได้เตรียมทำอะไรมาเลย มาเริ่มที่นี่ตั้งแต่ 0 จริงๆ บวกกับความกดดันที่ว่า ถ้าเราไม่รีบหางาน เงินกรูหมดแน่ๆค่ะ บอกก่อนว่าตอนก่อนมาคุยกับแม่แล้วแม่เราสนับสนุนอยากให้เราทำในสิ่งที่เราอยากทำ เลยให้เงินมาเริ่มต้นไว้ก้อนนึง แต่เราบอกแม่ไว้เลยว่า ก้อนนี้เป็นก้อนสุดท้ายแล้วที่เหลือเราอยากหาเงินกลับไปให้แม่แทน ก็ไม่เคยได้ขออะไรจากแม่ต่อจากนั้นมาเลย
ต่อ.. เกริ่นมาก็เยอะพอสมควร เข้าเรื่องค่ะ..
อย่างแรกที่เริ่มทำคือ research .. Research ทุกวันทุกอย่าง google คือเพื่อนที่ดี หาหมดค่ะว่า Boston มีกราฟฟิคเฮาส์ที่ไหนบ้าง ยอมรับตรงๆว่าตอนแรกหาแต่กราฟฟิคเฮาส์ไม่เลือกหาที่อื่นเลย แล้วเราก็เริ่มดูว่าแต่ละที่เค้าต้องการอะไรบ้าง ที่นี่สำคัญมาก ถ้าคุณอยากจะทำงานสายครีเอทีฟ ไอเท็มที่จำเป็นต้องมีเลยคือ:
1. เว็ปไซด์โชว์งาน ง่ายๆ คือพอร์ทออนไลน์ของตัวเอง ถ้าไม่มีแล้วพูดเลยว่ายากมากที่ใครจะติดต่อกลับมา คือเค้าอยากเห็นว่าคุณทำงานแนวไหน เหมาะกับบริษัทเค้ารึเปล่า ยิ่งถ้าคุณมี url เป็นของตัวเองยิ่งดี ยกตัวอยากเช่น "www.yourname.com" ไม่ต้องห่วงถ้าทำพวกเวปไม่เป็น เพราะเราแทบไม่มีความรู้อะไรทางด้านโค้ดพวกนี้เลย เว็ปที่เริ่มง่ายๆ และแนะนำ คือ sqaurespace, portfoliobox, cargo พวกนี้มันมาเป็น template อยู่แล้ว มันเลยทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น เราก็เลือกคัดสรรงานเรามา แล้วก็โยนๆมันใส่เข้าไป
2. Resume - อันนี้สำคัญพอๆกัน ถ้าเราทำสายครีเอทีฟ ก็แนะนำให้ใช้เวลาดีไซน์มันนิดนึง ยิ่งถ้ามันเข้ากับดีไซน์ของเวปเรายิ่งดี เราจะได้ดูว่าเราใส่ใจใน personal brand ของเรา เตรียมไว้สองอย่างเลยยิ่งดี ทั้ง electronic copy แล้วก็ physical copy
3. Cover letter - อันนี้จริงๆแล้วก็แล้วแต่บริษัทว่าเค้าจะเอาไหม แต่ส่วนใหญ่เค้าก็จะต้องการ เช็คดีๆ อ่านหลายๆรอบ สำคัญคือ อย่าให้มีสะกดคำผิด เพราะเค้าจะคิดว่าเราไม่รอบคอบ ไม่ใส่ใจ สมัครหลายบริษัทก็พยายามปรับ cover letter ให้มันเข้ากับบริษัทนั้นๆ ดูให้ดีๆเลยว่าแต่ละบริษัท personality เค้าเป็นแบบไหน
4. Physical book หรือ พอร์ทแบบที่เราถือหิ้วไปไหนมาไหนได้ มีเผื่อไว้ก็ดี แนะนำว่าทำมาจากที่ไทย ประหยัดกว่า และทำอะไรได้เยอะกว่ามาก เพราะที่นี่พูดเลยว่าปริ้นแพง อย่าว่าแต่ เย็บเล่ม laser cut .. บายค่ะ เราพลาดที่มาทำที่นี่ เลยมาปริ้นลงกระดาษดีหน่อยแล้วก็หาแฟ้มที่ดูดีๆใส่งาน
ที่เหลือก็เรื่องของเอกสารก็ค่อยว่ากันไปอีกทีแล้วแต่บริษัทเลยว่าเค้าต้องการอะไรบ้าง
ต่อค่ะ... อย่างที่บอกไว้ว่า เราเริ่มสมัครไม่กี่ที่ รอแล้วรออีกก็ยังไม่มีใครตอบ research ไปๆมาๆก็ไปเจอกับเว็ป creativecircle.com
Creative circle เหมือนเป็นเอเจ้นที่ค่อยช่วยเราหางานด้าน creative ไม่ว่าจะเป็น art director, designer, copywriter, UX designer, UI designer etc. ส่วนใหญ่ที่เค้าหาให้จะเป็นงาน freelance เราก็ติดต่อไปหาเค้า เค้าก็นัดเราไปสัมภาษณ์ ว่าเราเป็นใครมาจากไหน ทำงานแนวไหน ให้เรายื่นพอร์ท ยื่น resume แล้วถ้าเค้าเจองานที่เหมาะกับเราแล้วเค้าก็จะอีเมลมาหาเรา
Creative circle บริการฟรีค่ะ แต่ถ้าถามเราว่าเราแนะนำมั้ย เราเฉยๆ เพราะเราก็ไม่ค่อยเจองานที่มันเหมาะกับเรา แต่เราว่าสมัครไปก็ไม่เสียหาย
เค้าจะอีเมลเรามา พูดได้ว่าทุกวัน วันละ 2-3 งาน ส่งมาให้เราสกรีน ถ้าเราสนใจเราก็ตอบกลับไป
เราเจองานไหนน่าสนใจเราก็ตอบกลับตลอด แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยติดต่อกลับ ในใจคิดหรือกรูไม่ดีพอ.. เค้าก็จะมีโทรมาเช็คบ้างว่าเราเป็นยังไงหางานอยู่มั้ย.. เราเคยถามเพื่อนเราที่นี่ ว่าเคยสมัครกับ creative circle ไปมั้ย ส่วนใหญ่ก็เคยกันทั้งนั้น หลายคนก็ได้งาน freelance จากที่นี่บ้าง ดังนั้นอย่าหมดหวัง
หลังจากคุยกับ creative circle เราก็กลับมานั่งหางานเองต่อ เพราะคิดตลอดว่าเราอย่าไปหวังพึ่งใคร พึ่งตัวเองดีที่สุด ตั้งแต่นั้นก็นั่งหางาน ทั้งวัน เช้าเย็น แทบไม่ได้ไปไหนเลยจริงๆ มีหมดหวังบ่อย ท้อบ่อย เครียดก็คุยกับแม่ กับแฟน กับเพื่อนสนิทที่ไทยตลอด แต่จะพูดกับทุกคนตรงนี้เลยจริงๆว่ามาหางานที่อเมริกา ห้ามท้อ กำลังใจสำคัญที่สุด อีกอย่างพอดีเรามีโอกาสได้ไปเที่ยวพักผ่อนที่ชิคาโก้ 5 วัน เลยเบาสมองขึ้น พอกลับมาเริ่มคิดได้ รู้สึกดีขึ้นก็ลุยต่อ.. คราวนี้ เปิดโอกาสให้ตัวเอง เริ่มหาเพิ่มพวกบริษัทโฆษณา หาทุกที่ สมัครทุกที่ไม่ว่าใหญ่ เล็ก เอาหมด สมัครแม้กระทั่ง internship (ฝึกงาน) เพราะ ณ ขณะนั้น ไม่เลือกแล้ว เพราะก็ย่างเข้าเดือนที่ 3 แล้ว ก็สมัครเรื่อยๆ ไม่เคยหยุด
และแล้วฟ้าฝนก็เป็นใจ มีบริษัทโฆษณาเล็กๆที่นึงติดต่อมา เราสมัครตำแหน่ง Junior Designer ไป เค้าก็บอกเค้าสนใจอยากเรียกเราเข้าไปสัมภาษณ์ เราก็นัดวันเวลากับเค้าเรียบร้อย คืนก่อนหน้านั้น เราตื่นเต้นมาก จริงๆ เพราะเป็นการสัมภาษณ์งานครั้งแรก เราอ่านทุกอย่างเกี่ยวกับบริษัท ดูงานทุกอย่างที่เค้าเคยทำ นั่งอ่าน นั่งจำ นั่งติว คิดว่าพรุ่งนี้กรูความรู้แน่น แน่ๆๆ วันรุ่งขึ้นก็เตรียมตัว แต่งตัวไปพร้อม ถือพอร์ท เตรียม resume ไปเผื่อ ตื่นเต้นมาก แต่ในใจคิดว่าพร้อมแน่ๆ ไปถึงเค้าก็ให้ขึ้นไปรอ บริษัทดูอบอุ่น กำแพง อิฐ อารมณ์ industrial ดูน่าสนใจ.. ใจเราระหว่างรอเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว.. พอคนที่สัมภาษณ์เข้ามา เราก็แนะนำตัว shake hand อะไรกับเค้าเรียบร้อย สิ่งที่เราทำพลาดครั้งนี้คือ เราติวงานมาอย่างดี แต่เราไม่ได้ดูแล้วเตรียมว่าเราควรพูดอะไร ถามอะไร.. ตอนนั้นพังมาก คือพอสัมภาษณ์เสร็จรู้เลยว่าพลาดโอกาสแล้วแหละ
ทำใจยอมรับความจริง... กลับมาถึงบ้านเราก็ส่ง follow up อีเมลไปขอบคุณบริษัท แต่ก็นั่นแหละ... ครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับบริษัทนั้น เพราะรู้ตัวเลยว่า ไม่รอด..
ผ่านไปอีกอาทิตย์นึง ก็มีอีเมลตอบกลับมา ครั้งนี้ มาจากอีกบริษัทนึง เป็นบริษัทโฆษณา อยู่กลางเมืองบอสตัน เค้าโทรมานัดสัมภาษณ์ แต่ครั้งนี้เป็นสัมภาษณ์เป็นโปรแกรม creative internship ของเค้า ตอนนั้นดีใจมาก ตื่นเต้นมาก ไม่แคร์แล้วว่าทำอะไร รู้แล้วว่าต้องเตรียมตัวยังไง...
เกริ่นก่อนอีกรอบว่าตอนสมัครที่นี่ มันแปลกกว่าที่อื่นมาก.. ที่นี่ไม่เอา cover letter.. จำได้แม่นเลย.. ตอนสมัคร เราเข้าไปสมัครในเวปเค้า เค้าให้เลือกเลย เราจะสมัคร intern อะไร art หรือ copy. เราก็เลือก art อยู่แล้ว แบบไม่คิด..
แล้วเค้าก็ให้ใส่ url เว็ปพอร์ทของเรา แล้วก็แนบ resume.. คราวนี้ก็มีคำถามให้เราพิมตอบ.. คำถามก็ออกแนว อยากรู้จักตัวตนความคิดเรา
Who are you? Tell us something about yourself.
What's your favorite ad campaign?
Who's your favorite artist and why?
Tell us something crazy you've done
เราว่าน่าสนใจมาก ดูแตกต่างจากที่อื่น เราก็ตอบแบบตามความคิดเราตรงๆ แบบให้เค้าเห็นตัวตนเราไปเลย
ต่อค่ะ.. ก็พอเค้าติดต่อกลับมา เราดีใจมาก คราวนี้อ่านทุกอย่าง อ่านว่าเราควรถามอะไรเค้า เวลาคุยกับเค้า ตัวอย่างคำถามที่เราควรถามก็ถามเลยคะว่า
What's the cultur
What's a typical day here?
ถามกระทั่งว่า what's the next step ให้รู้ไปเลยว่าเราสนใจแล้วเราต้องทำอะไรต่อ
แต่สำคัญคือดูงานไปด้วยว่าเค้าทำงานอะไรมาบ้าง ผลิตอะไรบ้าง อ่านในเว็ปเค้าให้หมด ว่าบริษัทเค้าเป็นมายังไง อันนี้สำคัญ เรามีเวลาเตรียมตัวประมาณสองอาทิตย์ก่อนเค้านัดไปสัมภาษณ์ อย่างที่บอก เราอ่าน เตรียมทุกอย่าง เหมือนติวสอบเลยค่ะ google คือเพื่อนสนิทจริงๆ อ่าน article พวกที่เกี่ยวกับการเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งาน คือคราวนี้มั่นใจว่าเราพร้อม
พอมาถึงวันสัมภาษณ์ ด้วยความตื่นเต้นเราไปถึงก่อนเวลา แต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปที่บริษัท เราเลยเดินอยู่แถวๆนั้นให้อารมณ์เย็นก่อน พอใกล้เวลาก็เลยเข้าไปค่ะ
บริษัทนี้อยู่ในตึกใหญ่กลางบอสตัน ต้องขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้นที่ 35 พอเข้าไปแล้วตะลึงมาก คือดูสวย น่าทำงานมาก ออกแนวสะอาด โมเดิร์น คนละแนวก็อีกบริษัทนึงเลย ด้วยความที่อยู่ชั้น 35 เห็นวิวบอสตันสวยมาก ในใจคิดว่า กรูต้องได้ทำงานที่นี่ ไปถึงก็ป้ำๆเป้อๆ คุยกับ reception เค้าก็ให้เรานั่งรอ รอไปประมาณ 10 นาที คนที่สัมภาษณ์เราก็มาค่ะ แล้วพาเราไปห้องประชุมเล็กๆ คนที่สัมภาษณ์เราเป็นผู้หญิงกับผู้ชาย ดูเป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มอารมณ์ดีกันทั้งคู่ เราเตรียม physical book ของเราไปเผื่อด้วยคะ เผื่อเค้าอยากดู... แล้วเค้าก็อยากดูจริงๆ.. เราก็เริ่มอธิบายงานเราแต่ละอย่างให้เค้าฟัง แล้วก็พูดคุยว่าเราเป็นใครมาจากไหน สำคัญที่สุดคือเราต้องยิ้มแย้ม ต้องมั่นใจ ต่อให้ตื่นเต้นแค่ไหนก็ต้องเก็บไว้ค่ะ อย่าแสดงให้เค้าเห็น.. พอสัมภาษณ์เกี่ยวกับตัวเราเสร็จ เค้าก็ถามค่ะ.. Do you have any questions for us? เข้าทางเลย ดีนะครั้งนี้เราเตรียมไป เราก็ถามอย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ค่ะ เราก็ถามเค้าอีกว่าหลังจากฝึกงานเสร็จเค้ามีโอกาสจะจ้างเรา full-time มั้ย เค้าดูตกใจเล็กๆแต่เค้าดูประทับใจมาก โดยเฉพาะคำถามที่ว่า what's the next step? เค้าบอกว่าเค้าดูเหมือนเรากระตือรือล้น และตั้งใจ หลังจากนั้นเค้าเลยพาเราเดินรอบๆบริษัทคะ พาไปดูนั่นดูนี่ แนะนำเรากับคนอื่นบ้าง
ก่อนเราจะกลับ ครั้งนี้ด้วยความที่ว่าเราไม่อยากรอ ตั้งความหวัง เราเลยรวบรวมความกล้าแล้วถามไปเลยคะ ว่าเราจะได้รู้คำตอบเมื่อไหร่
เค้าบอกกับเราตรงๆเลยคะว่าไม่เกิน 3 วัน เราก็ขอบคุณเค้าเรียบร้อย กลับมาถึงบ้านก็ไม่รอช้ารีบส่ง follow up อีเมลไปขอบคุณเค้าทันทีค่ะ
อ่าววว.. ตัวอักษรเกิน เดี๋ยวต่อข้างล่างละกันเนอะ