[CR] ตามรอย Slamdunk และ Umimachi Diary ในวันฝนตก

Kamakura มีอะไร ?

ก่อนจะไปเราลองค้นข้อมูลที่เป็นภาษาไทยเกี่ยวกับคามาคุระ  ค้นพบว่ามีแต่รีวิวเกี่ยวกับวัดพระใหญ่  เมืองแห่งวัด ร้าน Starbucks ที่ใคร ๆ ก็พากันไปถ่ายรูป  นั่งเลื่อน ๆ ดูแล้ว อืม….  ไม่มีข้อมูลที่เราต้องการเลย


เนื่องจากเราเป็นคนที่โตมาในยุคที่เสาร์-อาทิตย์ต้องเฝ้าช่อง 9 เพื่อดูการ์ตูน  Slamdunk จึงเป็นหนึ่งในการ์ตูนที่เราชอบมากและติดมากกกกกก และเชื่อว่าคนในยุคเราก็เป็นเหมือนกัน ตอนนั้นในยุคที่เรานั่งเฝ้าจอทีวีเรายังไม่รู้จักเมือง Kamakura หรอก  เรารู้แค่ว่าซากุระงิเรียนโรงเรียนโชโฮคุ  เริ่มเล่นบาสเพราะติดหญิงจนกระทั่งได้ดิบได้ดี(?) พอโตแล้วเราจึงรู้ว่าหลายฉากในการ์ตูนที่เราเฝ้าดูตอนเด็ก ๆ นั้นมันมีอยู่จริงว่ะ  เราอยากจะไปเห็นมันด้วยตาตัวเอง  เลยเริ่มค้นข้อมูลจากการเสิร์ชคำง่าย ๆ ด้วยคำว่า slamdunk + location

(หมายเหตุ - ตอนที่หาข้อมูล หนังสือสะกดรอยหนังเล่ม 2 ยังไม่ออก พอหาข้อมูลเสร็จเรียบร้อยเท่านั้นแหละ...)



เมื่อรู้แล้วว่าสถานที่ที่อยู่ใน OP1 ของเรื่องอยู่ที่สถานี Kamakurakokomae เราก็เริ่มหาว่ามันจะต้องไปยังไง  เมื่อค้นข้อมูลไปเรื่อย ๆ พร้อมกับความช่วยเหลือของเพื่อนที่เคยไปมาก่อนพบว่าเราจะต้องนั่งรถไฟจากโตเกียวไปลงสถานี Kamakura ก่อน แล้วนั่งรถไฟขบวนท้องถิ่น Enoshima Electric Railway หรือ Enoden (Enoshima Dentetsu) ไปอีกต่อ

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับรถไฟสายนี้  เราเพิ่งมารู้ตอนก่อนจะไปว่า Enoden นี่ดังพอตัวเลยนะ  รถไฟสายนี้วิ่งจาก Kamakura ผ่านเมือง ชุมชน และเลียบชายทะเลไปยังเกาะ Enoshima และไปสุดสายที่ Fujisawa  ใช้เวลาประมาณ 34 นาทีวิ่งจนสุดสาย  



นอกจากนี้แล้ว  ในปี 2015 หนังเรื่อง Umimachi Diary หรือ Our Little Sister ก็ได้ถ่ายทำในเมืองนี้  เพราะจากมังงะทั้ง 4 พี่น้องใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนี้แหละ  เราไม่เคยอ่านมังงะ  แต่ดูแค่เวอร์ชั่นหนัง  เราชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ ทั้งตัวนักแสดง  ทั้งงานกำกับของผกก.คนนี้  แค่นี้ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เราอยากมา Kamakura มาก ๆ แล้วล่ะ

วันที่เราเลือกมา Kamakura คือวันที่ 2 ของทริป  ซึ่งตรงกับวันจันทร์  ถึงแม้ว่าเราจะนั่งรถไฟออกนอกเมืองแต่เราก็ไม่อยากเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วนจึงบอกพี่ว่าเราออกกันแต่เช้าเลยดีกว่า  วันนั้นเราเลยตื่นกันตั้งแต่ตี 5 ออกจากที่พักประมาณ 6 โมงนิด ๆ  เช้าวันนั้นอากาศไม่ดีเลย  ฝนตกแต่เช้า  ดูพยากรณ์อากาศแล้วฝนน่าจะตกทั้งวัน  พอเดินออกมาจากโฮสเทลแล้วรู้สึกได้ถึงความหนาวววววว หนาวมาก เลยหยิบร่มของโฮสเทลไปแล้วรีบ ๆ เดินไปสถานีรถไฟ  เริ่มต้นจาก Uguisudani นั่ง Yamanote Line ไปลงสถานี Tokyo แล้วเปลี่ยนไปนั่ง Yokosuka Line ยาวไปลงสถานี Kamakura



หาความอบอุ่นในตอนเช้า  ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่  มันจืดอ่ะ เหมือนโกโก้ละลายน้ำ ชงเองอร่อยกว่า แต่ก็กินจนหมด



เรามาถึงสถานี Kamakura ก่อน 8 โมงเช้า  เป็นช่วงที่เด็ก ๆ กำลังไปโรงเรียน  ผู้ใหญ่กำลังไปทำงานพอดี



บนชานชาลาหนาวมาก ๆ ๆ ๆ ๆ เพราะเป็นสถานีแบบเปิดโล่ง  ทุกคนถือร่มกันหมดเพราะฝนตก  ลมก็พัดมาเรื่อย ๆ เรากับพี่เลยรีบเข้าไปในสถานีซึ่งก็ยังหนาวอยู่ดี  และก็เริ่มหิวแล้วด้วยเพราะยังไม่ได้กินข้าวเช้า  หันไปเห็นร้านโซบะร้านนึงในสถานี  มองเข้าไปเห็นลุง 2 คนกำลังนั่งโซ้ยอยู่เลยคิดว่ากินนี่แหละ  ไม่คิดแล้ว



หลังจากที่มอง ๆ ดูแล้วก็จิ้มมาใบนึง  ไม่แพงด้วย



พอเข้าไปในร้านก็เอาคูปองให้คุณป้า  ในร้านมีคุณป้าแค่คนเดียว  แกทำทุกอย่างเลย  เรากับพี่เลือกนั่งตรงบาร์ใกล้ประตูนั่นแหละ  ป้าก็ถามว่าเอาโซบะใช่ไหม  เราก็ ไฮ่ (ตอนนั้นคือเอาอะไรก็ได้ที่มันร้อน) นั่งรอไม่นานป้าก็ส่งชามร้อน ๆ มาให้ โอย…  หอมมาก  เราเลยทักทายป้าว่า หนาวนะคะ (ซามุ่ยยยย) ป้าก็อื้ม หนาวเนอะ  แล้วป้าถามกลับมาว่าจะไปไหนกันเหรอ  เราก็นั่งนึกแล้วบอกว่าจะไปสถานี Kamakurakokomae ป้าก็อ๋อ….  เอโนะเดนเหรอ  เราเลยพยักหน้าแล้วบอกใช่ ๆ  ป้าบอกว่า  ถ้าอากาศดีนะจะเห็นฟูจิซังด้วยล่ะ  วันนี้อากาศไม่ดีเลย  ฝนก็ตก  ความจริงแล้วเราฟังไม่ออกทั้งหมดแต่จับได้เป็นคำ ๆ บวกกับเราหาข้อมูลมาบ้างว่าริมหาดของคามาคุระสามารถมองเห็นฟูจิซังได้ในวันที่อากาศแจ่มใส  ตอนนั้นรู้สึกดีใจมากที่ป้ามีปฏิสัมพันธ์อันดีกับนักท่องเที่ยวหน้ามึนอย่างเรา  หลังจากนั้นจึงลงมือจัดการโซบะ  โอ๊ยยยย  อร่อยมากอ่ะ  โซบะร้อน ๆ ในวันอากาศหนาวเหน็บนี่มันดีจริง ๆ ใครไปสถานีคามาคุระหลังจากนี้เราฝากทักทายป้าด้วยนะ



นั่งกินไปสักพัก  ป้าก็หยิบเอาโบรชัวร์เมืองคามาคุระเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมาให้  โอย คุณป้าน่ารักมาก ๆ เลย  เป็นเจ้าบ้านที่ดีมาก  เราเลยคิดเอาเองว่าป้าน่าจะเจอนักท่องเที่ยวบ่อยเพราะร้านอยู่ในสถานี  เราเลยขอบคุณคุณป้า  และตอบแทนด้วยการกินจน(เกือบ)หมด  ในชามนี่มันเยอะมาก  อร่อยนะ แต่กินแทบไม่ไหว



กินเสร็จแล้วเก็บชามตรงนี้  น้ำดื่มก็มี  หยิบแก้วเทเอาเองนะ  



ท้องอิ่มแล้วก็ขอบคุณคุณป้า  เดินออกจากร้านเพื่อมองหาทางไปนั่งรถไฟ Enoden มองซ้ายมองขวาก็เห็นป้ายชี้บอกว่าต้องมาซื้อตั๋วตรงนี้นะ  ตอนแรกก็งงนิดหน่อย  สรุปคือต้องแปะบัตร suica ออกมาจากสถานีก่อนแล้วไปซื้อตั๋วใหม่นั่นเอง  สำหรับพวกนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ ที่จะลงไปดูหลาย ๆ สถานีนั้น  ซื้อ Enoden Pass จะคุ้มค่ากว่ามาก ๆ เพราะราคา 600 เยน สำหรับผู้ใหญ่ (เด็ก ราคา 300 เยน) สามารถใช้ได้ทั้งวัน  เราเลยเดินออกไปซื้อ  วิธีซื้อสามารถซื้อจากนายสถานีก็ได้ หรือกดซื้อเอาจากตู้ก็ได้





ไม่ธรรมดานะ  มีชื่อด้วย  โนริโอริคุง ~

เป้าหมายของเราในวันนี้มี 5 สถานี (รวม Kamakura) เราจะไปตั้งต้นที่สถานี Kamakurakokomae ก่อน  ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ตรงกลางของสาย Enoden พอดี  แล้วค่อยนั่งย้อนกลับเข้ามาโดยแวะลงที่ Inamuragasaki (สถานีที่อยู่ใกล้หาด)  Gokurakuji (สถานีในหนังเรื่อง Umimachi Diary)  สถานี Hase (อยากลงไปถ่ายรูปตรงซอกใกล้ ๆ สถานี)

พอเดินเข้ามาก็จะเจอป้ายบอก



ระหว่างรอรถไฟมาก็เดินสำรวจ ใกล้ชานชาลามี 7-11 และร้านขายของฝาก ร้านยังเปิดไม่หมดทุกส่วนเพราะยังเช้าอยู่(มั้ง)  ตรงที่เปิดแล้วจะเป็นพื้นที่ของ 7-11  กล่องขนมส่วนใหญ่จะเป็นรูปรถไฟ Enoden และมีพวกผลิตภัณฑ์จากปลาชิราสึซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของเมือง





หลังจากนั้นก็ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ด้วยการกินไอติมรอ  คุมโทนด้วยการกินไอติมสีเดียวกับรถไฟ (?)



ถังขยะยังจะน่ารัก



พอเปิดดูรูปในคอมฯแล้วเพิ่งเห็นเม็ดฝนชัด ๆ โอ๋ยยย วันนั้นหนาวมากจริง ๆ





รอสักพักรถไฟก็มา  ตื่นเต้นมากที่ได้เห็นขบวนแรกเป็นสีเขียวเหลืองเหมือนในภาพ  เพราะบางขบวนจะเพนท์ลายการ์ตูนซึ่งเราไม่ต้องการ… 555555  เรากับพี่เลยเลือกนั่งหัวขบวนเพื่อจะได้มองวิวเดียวกับคนขับ  ให้ความรู้สึกเหมือนเล่นเกมฮิวโก้



และแล้วก็มาถึงสถานีแรกตามเป้าหมายของเราคือสถานี Kamakurakokomae





เดินออกมาจากสถานีนิดเดียวก็จะเจอรางรถไฟและแผงกั้น  กรีดร้องด้วยความตื่นเต้นและความหนาว  ฝนยังคงตกอยู่  มือนึงกำร่มจนแน่น  อีกมือก็จับกล้องไว้



ก่อนมาถึงเราก็ตั้งใจไว้ว่าจะถ่ายรูปมุมเดียวกับซากุรางิให้ได้  แต่พอมาถึง  แม้จะไม่มีคนเยอะแยะแบบที่เคยเห็นจากรูปคนอื่น  แต่ก็มีรถยนต์วิ่งมาเป็นระยะ ๆ แถมฝนยังตก  ครั้นจะไปยืนกลางฝนให้พี่สาวถ่ายรูปให้ก็อย่าเลย  ได้มารูปเดียวก็พอใจแล้ว  จุดฟินต่ำจริง ๆ



ตอนส่งรูปไปให้เพื่อนดู  เพื่อนบอกว่าโชคดีจังเลย  ไม่มีคนเลยอ่ะ  หนาวแบบนี้คงไม่มีใครมาหรอกมั้งนอกจากเรา 555555  แต่พอคิดว่าไหน ๆ ก็มาแล้วเลยยืนรอรถไฟสักหน่อย  แต่หลบ ๆ นิดนึงเพราะยังรักชีวิตอยู่



หลังจากนั้นก็หลบลมเดินเข้ามาตรงสถานี  แต่ยังคงหนาวอยู่  (อย่างน้อยมือก็ไม่ต้องถือร่มวะ) ขณะที่กำลังยืนมองเจ้าเครื่องนี่ด้วยความสงสัย  เพราะเห็นมันเขียนว่า IC Card ก็น่าจะแปะบัตรกวิ้นได้เหมือนกัน  คุณป้าคนนึงเดินมาทางพวกเราด้วยท่าทางที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ  เราเลยชูเอโนะเดนพาสให้ป้าดู  ป้าก็บอก  ผ่านได้เลย ๆ เราเลยบอกขอบคุณนะคะ  ป้าใจดีจัง



หลังจากนั้นก็นั่งดูรถไฟเล่น ๆ  ยืนอยู่ตรงสถานีนี่แหละ ยืนมองฝนตกแล้วก็นึกเสียดายว่าถ้าอากาศดีกว่านี้เราคงลงไปเดินเล่นได้ไกลกว่านี้แล้ว  ถึงเราจะเช็กพยากรณ์อากาศก่อนมาทุกวันแต่เอาเข้าจริงต้องเช็กรายวันเลยทีเดียว  เพราะอากาศแปรปรวนมาก





ระหว่างที่นั่งดูรถไฟก็สังเกตเห็นที่หมวกของพนักงานขับรถไฟ  เราเห็นเขาสวมหมวกคลุมหมวกอีกชั้นด้วย  คงห้ามเปียกสินะ  น่ารักดีอ่ะ



หลังจากยืนดูรถไฟอยู่สักพักก็คุยกับพี่ว่าไม่ลงไปที่หาดแล้วดีกว่า  เพราะฝนยังตกอยู่  เราเลยข้ามสถานี Inamuragasaki ไปลงสถานี Gokurakuji เลย  ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจเราเลยอดไปนั่งตรงบันไดที่พี่ซาจินั่งคุยกับคุณหมอ



และแม้ว่าสภาพอากาศจะไม่เป็นใจขนาดไหนเราก็จะไม่ยอมพลาดสถานี Gokurakuji พอถึงปุ๊บเราก็รีบลงเลย





ถ่ายรูปไปมือก็สั่นไป  ฝนยังคงตกไม่หยุด  เราเลยลองเดินไปรอบ ๆ สถานี  ฝั่งตรงข้ามมีร้านแฮมเบิร์กหน้าตาดูน่ากิน



พอเดินมาฝั่งตรงข้ามสถานีก็เจอศาลเจ้า  ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นฉากหนึ่งในหนังเหมือนกัน  นอกจากเราแล้วก็ยังมีคนญี่ปุ่นที่มาด้อม ๆ มอง ๆ แถวนี้  เข้าใจว่าน่าจะมาตามรอยหนังเช่นกัน





*ต่อใน คห.1 นะคะ*
ชื่อสินค้า:   Kamakura
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่