---- เมียนมาสร้างเมืองใหม่ จับมืออังกฤษญี่ปุ่นทำแผนแม่บท ----

กระทู้คำถาม

อังกฤษและญี่ปุ่นจับมือช่วยเมียนมาวางแผนแม่บทสร้างเขตเมืองใหม่ของเมืองมัณฑะเลย์ ปะเต็นในรัฐอิรวดีและมะละแหม่งในรัฐมอญ เผยเป็น 3 เมืองของเมียนมา ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงและเป็นแหล่งท่องเที่ยว ระบุแผน 2 ดึงนักลงทุนร่วมพัฒนาเขตเมืองใหม่

หนังสือพิมพ์เมียนมาอีเลฟเว่นรายงานว่า บริษัทที่ปรึกษาอังกฤษและองค์การความร่วมมือนานาชาติของญี่ปุ่น(ไจก้า) ร่วมกันวางแผนพัฒนาเขตเมืองใหม่ ใช้เวลารวบรวมข้อมูลของพื้นที่ 6 เดือนเริ่มตั้งแต่เดือน มกราคมที่ผ่านมามีทีมงานประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากไจก้า 6 คนและที่ปรึกษาจากอังกฤษ 1 คน ทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐของแต่ละเมือง

นายคูนิโอมิ ฮิราโน ตัวแทนจากบริษัทนิปปอน โคอิฯ ที่ร่วมในโครงการดังกล่าวให้สัมภาษณ์ว่า “หลังจากสำรวจและรวบรวมข้อมูล แล้วจะมีการเสนอ วิสัยทัศน์การพัฒนาเมือง พื้นที่เป้าหมาย และลำดับความสำคัญและขั้นตอนของการพัฒนา”

เมียนมาอีเลฟเว่น ระบุว่าความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและอังกฤษเกิดขึ้นหลังจากที่ รัฐบาลอังกฤษประกาศจะให้ความช่วยเหลือเมียนมาเป็นเงิน 300 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 10,800 ล้านบาท) สำหรับลงทุนพัฒนาด้านการค้าและโครงสร้างพื้นฐาน

เอกอัครราชฑูตอังกฤษประจำเมียนมานายแอนดรูว์ แพททริค กล่าวว่าอังกฤษมีแผนลงทุนขนาดใหญ่ในเมียนมาซึ่งรวมทั้งการสร้างถนนและพลังงาน โดยภาคเอกชนอังกฤษมีความเชี่ยวชาญวางแผนสร้างเขตเมืองใหม่และกระตือรือร้นที่จะช่วยเมียนมาในเรื่องนี้

ทูตอังกฤษประจำเมียนมาระบุว่า บริษัทของอังกฤษ พร้อมที่จะร่วมกับหน่วยงานญี่ปุ่นสนับสนุนประชาธิปไตย กฎหมายและสิทธิมนุษยชนในเมียนมา โดยโครงสร้างพื้นฐานเป็นเสาหลักที่สำคัญที่สนับสนุนเศรษฐกิจและประชาธิปไตย “หากปราศจากโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศจะเติบโตได้ยากซึ่งมีผลให้ประชาธิปไตยไม่เติบโตไปด้วย”

นายเคอิจิโร่ นากาซาวะ หัวหน้าสำนักงานไจก้าในเมียนมา กล่าวว่า ไจก้าขณะนี้มีหลายโครงการในเมียนมาอยู่แล้วและโครงการวางแผนสร้างเมืองใหม่นี้ถือว่าเป็นงานเพิ่มเติม ซึ่งจะมีการดำเนินงานต่อไปหรือไจก้าจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานขั้นต่อไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ของเมียนมา เพราะแผนงานดังกล่าวเป็นการลงทุนขนาดใหญ่เฉพาะสร้างถนนอย่างเดียวต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 160,000 ล้านจ๊าต (ประมาณ 4,630 ล้านบาท) โดยทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นพร้อมจะทำแผนให้กับเมืองอื่นๆ ด้วย

นายนากาซาวะ ระบุว่ารัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินช่วยเหลือเมียนมาผ่านไจก้า 200,000 ล้านจ๊าต (ประมาณ 58 ล้านบาท) และมีเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนให้อีก 1 ล้านล้านจ๊าต ซึ่งทางเมียนมายังไม่ได้เบิกใช้สำหรับการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐาน โดยขณะนี้ไจก้ามีโครงการช่วยเหลือทางด้านการเงิน สำหรับโครงการในเมียนมา 60 โครงการส่วนโครงการอื่น ๆ จะต้องคุยกับรัฐบาลใหม่ในการเดินหน้าให้ความช่วยเหลือต่อไป

นากาซาวะ กล่าวว่าจะต้องมีการคุยกับรัฐบาลใหม่ของเมียนมา เนื่องจากขณะนี้ เมียนมากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ ซึ่งล่าสุดพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยใหม่ (เอ็นแอลดี) ของนางอองซาน ซูจี ได้เสนอ นายทิน จ่อ คนสนิทของนางซูจี ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมียนมา โดยคาดว่านางซูจี จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ

ขณะนี้รัฐบาลที่จะมีนายทิน จ่อ เป็นประธานาธิบดี จะบริหารประเทศไปในทิศทางใดเนื่องจากยังไม่มีการแถลงนโยบาย แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกจะได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอังกฤษจะดีขึ้นเป็นลำดับ

หัวหน้าสำนักงานไจก้าในเมียนมากล่าวว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของเมียนมาในขณะนี้คือเรื่องเงินทุน ขณะที่งานที่สำคัญอีกด้านหนึ่งของเมียนมาคืองานทางด้านการบำรุงรักษาระบบต่าง ๆ

“ถ้าทำโครงการใหญ่ ๆ แต่ไม่มีการบำรุงรักษาที่ดีก็จะทำให้โครงการต่างๆ ไม่มีความยั่งยืน ดังนั้นจะต้องมีการพัฒนาขีดความสามารถของสถาบันต่างๆ ในด้านการบริหารจัดการรวมทั้งการดูแลบำรุงรักษาโครงการต่าง ๆ ไปในเวลาเดียวกันด้วย”

นายนากาซาวะ กล่าวว่า “การจะพัฒนา สถาบันต่างๆ ให้มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น สิ่งที่สำคัญคือจะต้องมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้มีความสามารถและเพียงพอ”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,140 วันที่ 17 – 19 มีนาคม พ.ศ. 2559


- ดีใจกับพม่าด้วยครับ พี่ไทยเราไม่รีบ 😁😁
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
จากข่าวและเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มา เราขอสรุปและแสดงความเห็นด้วยแผนภาพง่ายๆ ไว้ดังนี้ค่ะ



เมื่อเศรษฐกิจประเทศเติบโต      ----> ประชาชนอยู่ดีมีสุข เราก็พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้เต็มที่
เมื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพดีแล้ว  ----> ประชาธิปไตยก็เข้มแข็ง
เมื่อประชาธิปไตยเข้มแข็ง          ----> มีความโปร่งใส การตรวจสอบโครงการต่างๆ เป็นไปด้วยดี
เมื่อระบบบำรุงรักษาดี               ----> การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานก็มีความยั่งยืน ตอบโจทย์ประชาชนได้อย่างแท้จริง
เมื่อโครงสร้างพื้นฐานยั่งยืน        ----> เศรษฐกิจก็เติบโต ประเทศก็พัฒนา

แล้วมันก็ส่งผลต่อเนื่องกันไป เราเคยโชคดีมีนายกที่มีวิสัยทัศน์พัฒนาประเทศให้ก้าวไกล เพื่อประชาชนอยู่ดีมีสุข
เน้นประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง แต่แล้ว ก็ต้องถูกคนบางกลุ่มวาดภาพให้เป็นปิศาจร้าย
จนวันนี้ประเทศเราห่างไกลจากวงจรข้างต้นไปแล้ว


ปล. ยินดีด้วยกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศที่กำลังมีทิศทางที่ดี และขอเอาใจช่วย

(เผลอกดลบรูปไป เลยมาเพิ่มรูปค่ะ ไม่ได้แก้ไขเนื้อความใดๆ)

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ตั้งแต่ 2549 เป็นต้นมา ไทยก้ค่อยๆถอยหลังลงคลองมาเรื่อย
ความคิดเห็นที่ 9
รัฐบาลทหารพม่าเขียนกฎหมายให้โควตาทหาร 25% ในสภา เขียนข้อห้ามประธานาธิบดีมีที่มีคู่สมรสและบุตรเป็นต่างชาติ

รัฐบาลไทยเขียนกฎหมายให้ โควตาทหาร และ สว. หรือที่เรียกว่าลากตั้ง 100%  มีอำนาจยื่นมติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

ใครบอกว่าเราจะตามพม่า เราจะแซงเขาเร็วๆนี้ต่างหาก  หึหึ
ความคิดเห็นที่ 1
เราไม่ใช่ไม่รีบ...

แต่เราจะย้อนยุคตะหากครับ...แหะๆ
ความคิดเห็นที่ 18
จริงๆควรมองว่าทำไมเอกชนไทยไม่เข้าไปทำแบบที่ญี่ปุ่น​ทำ ไม่ใช่เฉพาะพม่า CLMV ทุกประเทศนี่คือแหล่งรายได้หลักของไทยในอนาคต​ การลงทุน​ในประเทศเหล่านี้เงินลงทุนจากไทยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ใช่จีนหรือญี่ปุ่น​ อย่าไปกลัวพม่า เวียดนาม​จะเจริญแซงไทย ยิ่งประเทศเหล่านี้จะเจริญมากเท่าไหร่ ไทยก็ยิ่งรับทรัพย์มากเท่านั้น

เหมือนตอนที่ญี่ปุ่น​มาลงทุนไทยสมัยแรกๆมันเสี่ยง แต่ตอนนี้มันก็คุ้มค่า​มาก ญี่ปุ่น​รับทรัพย์ได้กำไรไปมหาศาล ไทยต้องแข่งไม่งั้นจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์​ เอาไปหมด ถึงตอนนั้นเราก็จะเป็นประเทศกำลังพัฒนา​ต่อไปค่อยเงินลงทุน​จากต่างประเทศ​เข้ามาลงทุนเรื่อยๆ ไม่คิดจะออกไปหาเงินเข้ามาจากนอกประเทศแบบตอนนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่