สวัสดีค่ะ พอดีวันก่อนจขกท เห็นสมาชิกท่านหนึ่งแชร์เรื่องหางาน และทำงานในประเทศเนเธอรแลนด์ จขกท เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ในประเทศอเมริกาดูบ้าง เผื่อเป็นประโยชน์กับสมาชิกท่านอื่นๆ อาจจะยาวหน่อยก็ขออภัยไว้ก่อนล่วงหน้านะคะ
อารัมภบท
จขกท มาอเมริกาเพราะว่าแต่งงานกับคนอเมริกันค่ะ คือลักษณะสีผิวและบอดี้ตรงตลาดฝรั่งมากกว่าตลาดไทย เลยตัดสินใจส่งออกตัวเองมาตายเอาดาบหน้า ตอนอยู่เมืองไทยทำงานค่อนข้างหลากหลาย มีตั้งแต่ทำตำแหน่งประหนึ่งเบ้ที่โปรดักชั่นเฮ้าส์แห่งหนึ่ง การตลาดบริษัทรองเท้าเสื้อผ้ากีฬาแบรนด์หนึ่ง เซลล์ในโรงงานซ่อมมอเตอร์ เซลล์โรงงานทำกล่อง เซลล์โรงงานทำของเล่นไม้ จนงานสุดท้ายที่ได้ทำคืองานแนวๆแอดมินแผนก+เลขานายที่บริษัท FMCG แห่งหนึ่งแถวๆเซ็นทรัลเวิลด์ ตอนนั้นเจอแฟนเดือนมกราคม ตัดสินใจมีลูกประมาณเดือนเมษา พอเดือนมิถุนายนมีน้อง เดือนกันยาแต่งงานเล็กๆเป็นพิธี แล้วเดือนธันวาของอีกปีถัดมาก็มาอเมริกาเลย เร็วมะ เรื่องวีซ่านี่กว่าจะได้ต้องลุ้นแล้วลุ้นอีก มากมายหลายสิ่งอ่ะประเทศนี้ คือนี่ถ้าทะเลเมืองนอกมันไม่หนาวก็กะจะเอาตัวเองผูกกับแกลอนน้ำมันแล้วล่องข้ามมหาสมุทรแอนแลนติกมาอเมริกานะ เพราะคำนวนแล้วว่าเวลาเดินเรื่องวีซ่ากับเวลาลอยอยู่กลางทะเลจนมาถึงอเมริกาคงจะพอๆกัน
ใจนะก่อนมาอเมริกาแฟนบอกไปอยู่บ้านพ่อแม่เค้าก่อน เพราะว่าแฟนมาอยู่ไทยสองปีกว่าไม่ได้กลับไปเลย เค้าก็ยังไม่มีงานไงเลยต้องไปอยู่บ้านพ่อแม่ก่อน เค้าบอกบ้านอยู่ไม่ห่างจากชิคาโก้ เราก็วาดฝันไว้ว่า เออนะแถวบ้านที่เราอยู่มันคงจะเหมือนในหนัง บ้านติดๆกันไม่มีรั้วกั้น เพื่อนบ้านเอาหมาออกมาเดินเล่น เซย์ฮัลโหล ฮาวอาร์ยู กันทุกวัน วันไหนอยากไปในเมืองมีรถเมล์นั่งไปไหนต่อไหน อากาศดี ประหนึ่งลาเวนเดอร์แลนด์ .... ณ วันที่มาถึงอยากจะตะโกนใส่หูแฟนว่า “คุณหลอกดาววววววว” มาถึงง่วง chipหายยยย ลมแมร่งก็ไม่รู้จะแรงไปไหน หนาวแบบหนาววหูหลุด เราก็เออน่าเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว ที่ไหนได้นั่งรถไปอีกชม.ครึ่ง อืมมม เราก็นึกว่าใกล้ในดิกชินเนอร์รี่แฟนคือแบบครึ่งชม.อะไรงี้ ตอนนั้นดึกแล้วเลยไม่ค่อยเห็นวิวเห็นอะไรเพราะข้างทางมันมืดมากกกกก แบบว่ามืดมากกกกกกกจริงๆ เช้ามาออกมาดูวิว หืมมมมมมมมมมม นี่กูมาอยู่เมืองนอกจริงๆนะเนี่ย นอกแบบนอกเมืองออกไปมากเลย สำรวจอยู่อาทิตย์หนึ่งก็บอกกับตัวเองว่าอืมมมกูมาอยู่บ้านนอกของอเมริกานี่หว่า คือเคยดูเรื่อง sign มั้ยคะ ที่มีเอเลี่ยนมาแล้วบ้านพระเอกอยู่ท่ามกลางทุ่งข้าวโพดอ่ะค่ะ อารมณ์นั้นเลย เพื่อนบ้านไม่ต้องพูดถึงคือห่างกันเป็นไมล์ครึ่งไมล์ ที่เด็ดกว่านั้นคือ ไม่มีรถเมล์ ไม่มีห่านอะไรเลย คือถ้าอยู่อเมริกาแบบทำนองบ้านนอกเมืองมากๆอย่างนี้คุณต้องมีรถเท่านั้น สรุปติดแหง็ก จากสาวเมืองกรุงเจอแสงสีตลอดเวลามุ่งหน้าสู่ความสงัด เงียบบบ กลางทุ่งข้าวโพด ธรรมชาติมากกกกกกกก ก็นะ where where is a where where ก็เลี้ยงลูกเป็นแม่บ้านไป อยากจะทำงานใจจะขาดก็ต้องรอกว่าจะได้ work permit โน่นแน่ะประมาณครึ่งปีได้ อ่อจขกท.มาวีซ่าคู่หมั้นนะคะมันเลยช้าหน่อย ถ้ามาวีซ่าแต่งงานพอเรามาถึงอเมริกาก็จะได้กรีนการ์ดเลย ของจขกท.นี่รอกรีนการ์ดอยู่ประมาณปีนึง รอจนเหงือกแห้งไปถึงรูตรุ๊ดกันเลยทีเดียว
กลัวคนอ่านจะจินตนาการภาพจากหนังเรื่อง sign ไม่ออกเพราะบางคนอาจไม่เคยดู เลยเอารูปจากสถานที่เกิดเหตุจริงมาให้ดูกัน
นี่คือภาพที่วาดไว้ก่อนไปอเมริกา เนียร์ชิคาโก้ อ่าดูดี วิวสวย
ในชีวิตจริงคืออออออ
มันคือเรื่อง sign ชัดๆ
ตามล่าหางาน
พอจขกท.ได้ work permit ก็เริ่มหางาน แต่ด้วยความที่ว่าแถวบ้านเจริญจัด เลยหางานได้ยากกกกมากกกกกก คือส่ง resume กับ cover letter ไปเป็นร้อยๆที่ค่ะ ส่งไปหลายรัฐเลย ส่งกันจนมือบาน แต่ก็เงียบสนิท มีแต่แบบบริษัทประกันโทรมา เมลล์มา ตอนแรกนึกว่ามีที่ไทยที่เดียว เออเฮ้ยอเมริกามันก็มีเว้ยเฮ้ย แล้วที่โทรมาบ่อยไม่แพ้บริษัทประกันคือ Recruiter หรือ Head hunter ชาวอินเดีย โทรมาบ่อยมากกกกกกประหนึ่งว่าญาติกัน แล้วสำเนียงพูดภาษาอังกฤษแมร่งฟังยากกกมากกกกกกก รอ เรือมาอย่างเยอะ ทริลลิ้นนนนนนนนแบบสุดฤทธิ์ ฟังแกพูดแล้วอยากจะเต้นระบำหน้าท้องตามคือมัน เรอะ เรอะ เรอะ เยอะมาก
หลังจากที่เพียรสมัครงานอยู่นานในที่สุดเราก็ได้สัมภาษณ์งาน บริษัทแรกที่ได้สัมภาษณ์งานคือบริษัท Nestle Purina Petcare อยู่ St.Louis, MO ตำแหน่ง Admin ของแผนกด้าน IT เราอยู่อิลลินอยส์ก็ห่างกันประมาณ 3 ชม.ครึ่ง ก็คิดว่าเออถ้าได้งานก็ย้ายไปได้ไม่ไกลมากไม่น่าจะมีค่าใช้จ่ายเยอะ กระบวนการสัมภาษณ์งานในอเมริกานะคะมันจะเหมือนๆกันเกือบทุกที่คือ
1. E-mail จาก HR
ถ้า HR เค้าสนใจเราเค้าส่วนมากเค้าจะส่งเมลล์มาหาเราก่อนว่า อืมมมเห็นเรซูเม่ยูนะ ดูเลิศหรูอลังการณ์วัวตายควายล้มมากๆ ไออยากจะนัดสัมถาษณ์ทางโทรศัพท์ แล้วก็นัดเวลาอะไรก็ว่ากันไป
2. Phone Screen
พอถึงวันนัด HR ก็จะโทรมาคุยส่วนมากตอนนี้เค้าจะคุยประมาณ 15-30 นาที จุดประสงค์ของการสัมภาษณ์แบบนี้คือเค้าอยากรู้ว่าเรามีคุณสมบัติตรงกับที่เค้าต้องการหรือเปล่า
3. In-person interview
ถ้าเราผ่านรอบ Phone Screen มาได้เค้าก็จะนัดเราไปคุยกับ Hiring manager บางบริษัทมีสัมถาษณ์รอบนี้แค่รอบเดียว บางที่อาจมีหลายรอบเพราะสัมภาษณ์กับทีมงานเค้าด้วย
4. Offer
ถ้าเค้าจะเอาเราแล้ว เค้าก็จะยื่นข้อเสนอเรื่องค่าจ้าง สวัสดิการอะไรต่างๆมาให้
ที่ไทยเท่าที่เคยเจอคือ HR จะโทรให้เข้าไปคุยที่บริษัทเลย ไม่รู้ว่าทำไมแต่เดาว่าคงอยากเห็นบุคลิกภาพหน้าตาว่าเป็นยังไง ที่อเมริกาเค้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย ใน Resume นี่ไม่ต้องใส่รูปไปนะคะไม่ใช่ธรรมเนียมของที่นี่ ไม่ต้องมาบอกว่าพ่อแม่กูชื่ออะไร กูเป็นหญิงหรือชาย กูอายุเท่าไหร่ กูอ้วนมั้ย หรือว่าหน้าตากูผิดระเบียบบริษัทหรือเปล่า ที่อเมริกาเวลาส่ง Resume ไปสมัครงานเราขายความสามารถผ่านตัวหนังสือเท่านั้นค่ะ แล้วคุณจะอายุ 45 55 จะพิการ จะขาว จะดำ จะเตี้ย จะสูง เค้ารับหมดเพราะมันมีกฏหมาย EOE (Equal employment opportunity) มารองรับในเรื่องนี้ เมืองไทยน่าจะเอาอย่างบ้างนะ เผื่อใครอายุ 35 แล้วอยากเปลี่ยนสายงานเค้าจะได้มีโอกาส ฝรั่งนะเห็นบางคนอายุ 40 กว่าแล้วยังไปลงเรียนเลย เรียนสาขาที่เค้าอยากเรียน พอเรียนจบเค้าก็ไปทำงานสาขานั้นเช่นพยาบาล ผู้ช่วยหมอฟัน เบเกอร์รี่แต่งหน้าเค้กอะไรก็ว่าไป
มาเข้าเรื่องต่อ คุณ HR ก็เมลล์มาอ่ะนัดเวลากันเสร็จก็สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ไป HR ก็บอกว่าเดี๋ยวไอจะเอา Note ของไอไปให้ Hiring Manager ดู ถ้าเค้าชอบใจไอจะนัดวันสัมภาษณ์แบบ In-person interview อีกครั้ง เราก็โอเค เวลาตอนนั้นนะมันผ่านไปช้ามากๆๆ คือรออีเมลล์แมร่งทุกวัน ไม่เป็นอันทำอะไรเลยกู ลุ้นจัด ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง HR เมลล์มานัดให้เข้าสัมภาษณ์กับ Director กับผจก.อีกสองคน สัมภาษณ์คนละ 1 ชม. โอ้วววแม่จ้าวเป็นการสัมภาษณ์งานที่ยาวที่สุดที่เคยมา ตอนนั้นเตรียมตัวมันทั้งอาทิตย์ ตื่นเต้นมากสัมภาษณ์งานกับฝรั่งครั้งแรกตัวเป็นๆ ก็หาข้อมูลโน่นนี่นั่น การสัมภาษณ์งานของฝรั่งกับไทยต่างกันค่ะ
ไทย
จะถามอะไรที่มันค่อนข้างเป็นอนาคต เช่น ถ้าเกิดเหตุการณ์ xxx คุณจะทำอย่างไร? ถ้ามีผลิตภัณฑ์ xxx คุณจะทำการตลาดอย่างไร? ทีนี้ก็อยู่ที่ไหวพริบคนตอบแล้วว่าคุณจะดึงมันมาแอพพลายกับประสบการณ์ที่คุณมียังไง
ฝรั่ง
จะถามจากประสบการณ์ที่คุณทำมันมาแล้วจริงๆจากงานเก่าๆของคุณ เช่น ช่วยบอกผมหน่อยว่าคุณทำอย่างไรเวลาที่นายคุณมีโปรเจ็กให้คุณทำหลายๆโปรเจ็กในเวลาเดียวกัน? ช่วยบอกผมหน่อยว่าคุณรับมือกับเพื่อนร่วมงานที่ไม่เป็นมิตรเอาซะเลยยังไง?
คำถามแบบนี้เรียกว่า Behavioral questions เป็นคำถามที่จะดูถึงสกิลที่เราใช้จากประสบการณ์จริง วิธีตอบมันจะเป็นแบบ STAR format คือ S Situation เราเจอสถานการณ์อะไร T> Task ภารกิจที่เราต้องทำคืออะไร A>Action เราใช้วิธีแก้ไขหรือดำเนินการอย่างไร R>Result ผลเป็นอย่างไร เวลาเจอคำถามแนวๆนี้คุณก็จะต้องมานั่งรื้อฟื้นความจำจากงานที่คุณเคยทำมาทั้งหมด เอา job description มาดูว่าเออเรามีเหตุการณ์อะไรที่มันตรงกับสกิลที่เค้าอยากได้บ้างแล้ว เราก็ลิสต์เหตุการณ์ต่างๆมา
เอานะรวบรัดคือสรุปคุยกับนั่นน่ะคนสัมภาษณ์ 3 คน โอ๊ยตาคนที่สองนี่ให้ความหวังกูซะแถบอยากจะลงไปกราบตรีน ถึงกับบอกคนที่ 3 ที่เป็นนายเค้าว่า “You are in a good hand” ประมาณว่า E นี่แหละเจ๋ง พูดจาหวานเยิ้มซะกูตายใจว่างานนี้มันต้องเป็นของเราเเน่ๆๆๆๆๆ ... ไม่ต้องเดาเลยค่ะ สรุป...ไม่ได้งาน 555 แหมมมมคนอเมริกันนี่เค้ามารยาทดี ชมซะคิดว่าได้งานกันเลยทีเดียว
วันนี้ขอแปะไว้ตรงนี้ก่อนนะคะ คือตอนนี้ห้าทุ่มแล้วขอไปนอนก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อว่าจขกท ต้องไปสัมภาษณ์กี่ที่ ต้องรอนานเท่าไหร่กว่าจะได้งาน แล้วค่าจ้างที่นี่มันมีแบบไหนบ้าง ประเภทสัญญาจ้างมันมีแบบไหนบ้าง สวัสดิการ ภาษีมันเป็นยังไง แล้วเพื่อนร่วมงานที่นี่เป็นยัง อยากรู้ต้องติดตามหุหุ (นี่กล้าพูดประหนึ่งกับมีคนอ่านมาก) ขอไปนอนก่อนละดาวววไม่ไหวแล้ว ดาวง่วงงงงงงง เจอกันพรุ่งนี้นะคะ
เล่าเรื่องการใช้ชีวิต ประสบการณ์หางาน การทำงานในอเมริกา กว่าจะได้สัมภาษณ์กว่าจะได้งาน...หนังชีวิต!
อารัมภบท
จขกท มาอเมริกาเพราะว่าแต่งงานกับคนอเมริกันค่ะ คือลักษณะสีผิวและบอดี้ตรงตลาดฝรั่งมากกว่าตลาดไทย เลยตัดสินใจส่งออกตัวเองมาตายเอาดาบหน้า ตอนอยู่เมืองไทยทำงานค่อนข้างหลากหลาย มีตั้งแต่ทำตำแหน่งประหนึ่งเบ้ที่โปรดักชั่นเฮ้าส์แห่งหนึ่ง การตลาดบริษัทรองเท้าเสื้อผ้ากีฬาแบรนด์หนึ่ง เซลล์ในโรงงานซ่อมมอเตอร์ เซลล์โรงงานทำกล่อง เซลล์โรงงานทำของเล่นไม้ จนงานสุดท้ายที่ได้ทำคืองานแนวๆแอดมินแผนก+เลขานายที่บริษัท FMCG แห่งหนึ่งแถวๆเซ็นทรัลเวิลด์ ตอนนั้นเจอแฟนเดือนมกราคม ตัดสินใจมีลูกประมาณเดือนเมษา พอเดือนมิถุนายนมีน้อง เดือนกันยาแต่งงานเล็กๆเป็นพิธี แล้วเดือนธันวาของอีกปีถัดมาก็มาอเมริกาเลย เร็วมะ เรื่องวีซ่านี่กว่าจะได้ต้องลุ้นแล้วลุ้นอีก มากมายหลายสิ่งอ่ะประเทศนี้ คือนี่ถ้าทะเลเมืองนอกมันไม่หนาวก็กะจะเอาตัวเองผูกกับแกลอนน้ำมันแล้วล่องข้ามมหาสมุทรแอนแลนติกมาอเมริกานะ เพราะคำนวนแล้วว่าเวลาเดินเรื่องวีซ่ากับเวลาลอยอยู่กลางทะเลจนมาถึงอเมริกาคงจะพอๆกัน
ใจนะก่อนมาอเมริกาแฟนบอกไปอยู่บ้านพ่อแม่เค้าก่อน เพราะว่าแฟนมาอยู่ไทยสองปีกว่าไม่ได้กลับไปเลย เค้าก็ยังไม่มีงานไงเลยต้องไปอยู่บ้านพ่อแม่ก่อน เค้าบอกบ้านอยู่ไม่ห่างจากชิคาโก้ เราก็วาดฝันไว้ว่า เออนะแถวบ้านที่เราอยู่มันคงจะเหมือนในหนัง บ้านติดๆกันไม่มีรั้วกั้น เพื่อนบ้านเอาหมาออกมาเดินเล่น เซย์ฮัลโหล ฮาวอาร์ยู กันทุกวัน วันไหนอยากไปในเมืองมีรถเมล์นั่งไปไหนต่อไหน อากาศดี ประหนึ่งลาเวนเดอร์แลนด์ .... ณ วันที่มาถึงอยากจะตะโกนใส่หูแฟนว่า “คุณหลอกดาววววววว” มาถึงง่วง chipหายยยย ลมแมร่งก็ไม่รู้จะแรงไปไหน หนาวแบบหนาววหูหลุด เราก็เออน่าเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว ที่ไหนได้นั่งรถไปอีกชม.ครึ่ง อืมมม เราก็นึกว่าใกล้ในดิกชินเนอร์รี่แฟนคือแบบครึ่งชม.อะไรงี้ ตอนนั้นดึกแล้วเลยไม่ค่อยเห็นวิวเห็นอะไรเพราะข้างทางมันมืดมากกกกก แบบว่ามืดมากกกกกกกจริงๆ เช้ามาออกมาดูวิว หืมมมมมมมมมมม นี่กูมาอยู่เมืองนอกจริงๆนะเนี่ย นอกแบบนอกเมืองออกไปมากเลย สำรวจอยู่อาทิตย์หนึ่งก็บอกกับตัวเองว่าอืมมมกูมาอยู่บ้านนอกของอเมริกานี่หว่า คือเคยดูเรื่อง sign มั้ยคะ ที่มีเอเลี่ยนมาแล้วบ้านพระเอกอยู่ท่ามกลางทุ่งข้าวโพดอ่ะค่ะ อารมณ์นั้นเลย เพื่อนบ้านไม่ต้องพูดถึงคือห่างกันเป็นไมล์ครึ่งไมล์ ที่เด็ดกว่านั้นคือ ไม่มีรถเมล์ ไม่มีห่านอะไรเลย คือถ้าอยู่อเมริกาแบบทำนองบ้านนอกเมืองมากๆอย่างนี้คุณต้องมีรถเท่านั้น สรุปติดแหง็ก จากสาวเมืองกรุงเจอแสงสีตลอดเวลามุ่งหน้าสู่ความสงัด เงียบบบ กลางทุ่งข้าวโพด ธรรมชาติมากกกกกกกก ก็นะ where where is a where where ก็เลี้ยงลูกเป็นแม่บ้านไป อยากจะทำงานใจจะขาดก็ต้องรอกว่าจะได้ work permit โน่นแน่ะประมาณครึ่งปีได้ อ่อจขกท.มาวีซ่าคู่หมั้นนะคะมันเลยช้าหน่อย ถ้ามาวีซ่าแต่งงานพอเรามาถึงอเมริกาก็จะได้กรีนการ์ดเลย ของจขกท.นี่รอกรีนการ์ดอยู่ประมาณปีนึง รอจนเหงือกแห้งไปถึงรูตรุ๊ดกันเลยทีเดียว
กลัวคนอ่านจะจินตนาการภาพจากหนังเรื่อง sign ไม่ออกเพราะบางคนอาจไม่เคยดู เลยเอารูปจากสถานที่เกิดเหตุจริงมาให้ดูกัน
นี่คือภาพที่วาดไว้ก่อนไปอเมริกา เนียร์ชิคาโก้ อ่าดูดี วิวสวย
ในชีวิตจริงคืออออออ
มันคือเรื่อง sign ชัดๆ
ตามล่าหางาน
พอจขกท.ได้ work permit ก็เริ่มหางาน แต่ด้วยความที่ว่าแถวบ้านเจริญจัด เลยหางานได้ยากกกกมากกกกกก คือส่ง resume กับ cover letter ไปเป็นร้อยๆที่ค่ะ ส่งไปหลายรัฐเลย ส่งกันจนมือบาน แต่ก็เงียบสนิท มีแต่แบบบริษัทประกันโทรมา เมลล์มา ตอนแรกนึกว่ามีที่ไทยที่เดียว เออเฮ้ยอเมริกามันก็มีเว้ยเฮ้ย แล้วที่โทรมาบ่อยไม่แพ้บริษัทประกันคือ Recruiter หรือ Head hunter ชาวอินเดีย โทรมาบ่อยมากกกกกกประหนึ่งว่าญาติกัน แล้วสำเนียงพูดภาษาอังกฤษแมร่งฟังยากกกมากกกกกกก รอ เรือมาอย่างเยอะ ทริลลิ้นนนนนนนนแบบสุดฤทธิ์ ฟังแกพูดแล้วอยากจะเต้นระบำหน้าท้องตามคือมัน เรอะ เรอะ เรอะ เยอะมาก
หลังจากที่เพียรสมัครงานอยู่นานในที่สุดเราก็ได้สัมภาษณ์งาน บริษัทแรกที่ได้สัมภาษณ์งานคือบริษัท Nestle Purina Petcare อยู่ St.Louis, MO ตำแหน่ง Admin ของแผนกด้าน IT เราอยู่อิลลินอยส์ก็ห่างกันประมาณ 3 ชม.ครึ่ง ก็คิดว่าเออถ้าได้งานก็ย้ายไปได้ไม่ไกลมากไม่น่าจะมีค่าใช้จ่ายเยอะ กระบวนการสัมภาษณ์งานในอเมริกานะคะมันจะเหมือนๆกันเกือบทุกที่คือ
1. E-mail จาก HR
ถ้า HR เค้าสนใจเราเค้าส่วนมากเค้าจะส่งเมลล์มาหาเราก่อนว่า อืมมมเห็นเรซูเม่ยูนะ ดูเลิศหรูอลังการณ์วัวตายควายล้มมากๆ ไออยากจะนัดสัมถาษณ์ทางโทรศัพท์ แล้วก็นัดเวลาอะไรก็ว่ากันไป
2. Phone Screen
พอถึงวันนัด HR ก็จะโทรมาคุยส่วนมากตอนนี้เค้าจะคุยประมาณ 15-30 นาที จุดประสงค์ของการสัมภาษณ์แบบนี้คือเค้าอยากรู้ว่าเรามีคุณสมบัติตรงกับที่เค้าต้องการหรือเปล่า
3. In-person interview
ถ้าเราผ่านรอบ Phone Screen มาได้เค้าก็จะนัดเราไปคุยกับ Hiring manager บางบริษัทมีสัมถาษณ์รอบนี้แค่รอบเดียว บางที่อาจมีหลายรอบเพราะสัมภาษณ์กับทีมงานเค้าด้วย
4. Offer
ถ้าเค้าจะเอาเราแล้ว เค้าก็จะยื่นข้อเสนอเรื่องค่าจ้าง สวัสดิการอะไรต่างๆมาให้
ที่ไทยเท่าที่เคยเจอคือ HR จะโทรให้เข้าไปคุยที่บริษัทเลย ไม่รู้ว่าทำไมแต่เดาว่าคงอยากเห็นบุคลิกภาพหน้าตาว่าเป็นยังไง ที่อเมริกาเค้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย ใน Resume นี่ไม่ต้องใส่รูปไปนะคะไม่ใช่ธรรมเนียมของที่นี่ ไม่ต้องมาบอกว่าพ่อแม่กูชื่ออะไร กูเป็นหญิงหรือชาย กูอายุเท่าไหร่ กูอ้วนมั้ย หรือว่าหน้าตากูผิดระเบียบบริษัทหรือเปล่า ที่อเมริกาเวลาส่ง Resume ไปสมัครงานเราขายความสามารถผ่านตัวหนังสือเท่านั้นค่ะ แล้วคุณจะอายุ 45 55 จะพิการ จะขาว จะดำ จะเตี้ย จะสูง เค้ารับหมดเพราะมันมีกฏหมาย EOE (Equal employment opportunity) มารองรับในเรื่องนี้ เมืองไทยน่าจะเอาอย่างบ้างนะ เผื่อใครอายุ 35 แล้วอยากเปลี่ยนสายงานเค้าจะได้มีโอกาส ฝรั่งนะเห็นบางคนอายุ 40 กว่าแล้วยังไปลงเรียนเลย เรียนสาขาที่เค้าอยากเรียน พอเรียนจบเค้าก็ไปทำงานสาขานั้นเช่นพยาบาล ผู้ช่วยหมอฟัน เบเกอร์รี่แต่งหน้าเค้กอะไรก็ว่าไป
มาเข้าเรื่องต่อ คุณ HR ก็เมลล์มาอ่ะนัดเวลากันเสร็จก็สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ไป HR ก็บอกว่าเดี๋ยวไอจะเอา Note ของไอไปให้ Hiring Manager ดู ถ้าเค้าชอบใจไอจะนัดวันสัมภาษณ์แบบ In-person interview อีกครั้ง เราก็โอเค เวลาตอนนั้นนะมันผ่านไปช้ามากๆๆ คือรออีเมลล์แมร่งทุกวัน ไม่เป็นอันทำอะไรเลยกู ลุ้นจัด ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง HR เมลล์มานัดให้เข้าสัมภาษณ์กับ Director กับผจก.อีกสองคน สัมภาษณ์คนละ 1 ชม. โอ้วววแม่จ้าวเป็นการสัมภาษณ์งานที่ยาวที่สุดที่เคยมา ตอนนั้นเตรียมตัวมันทั้งอาทิตย์ ตื่นเต้นมากสัมภาษณ์งานกับฝรั่งครั้งแรกตัวเป็นๆ ก็หาข้อมูลโน่นนี่นั่น การสัมภาษณ์งานของฝรั่งกับไทยต่างกันค่ะ
ไทย
จะถามอะไรที่มันค่อนข้างเป็นอนาคต เช่น ถ้าเกิดเหตุการณ์ xxx คุณจะทำอย่างไร? ถ้ามีผลิตภัณฑ์ xxx คุณจะทำการตลาดอย่างไร? ทีนี้ก็อยู่ที่ไหวพริบคนตอบแล้วว่าคุณจะดึงมันมาแอพพลายกับประสบการณ์ที่คุณมียังไง
ฝรั่ง
จะถามจากประสบการณ์ที่คุณทำมันมาแล้วจริงๆจากงานเก่าๆของคุณ เช่น ช่วยบอกผมหน่อยว่าคุณทำอย่างไรเวลาที่นายคุณมีโปรเจ็กให้คุณทำหลายๆโปรเจ็กในเวลาเดียวกัน? ช่วยบอกผมหน่อยว่าคุณรับมือกับเพื่อนร่วมงานที่ไม่เป็นมิตรเอาซะเลยยังไง?
คำถามแบบนี้เรียกว่า Behavioral questions เป็นคำถามที่จะดูถึงสกิลที่เราใช้จากประสบการณ์จริง วิธีตอบมันจะเป็นแบบ STAR format คือ S Situation เราเจอสถานการณ์อะไร T> Task ภารกิจที่เราต้องทำคืออะไร A>Action เราใช้วิธีแก้ไขหรือดำเนินการอย่างไร R>Result ผลเป็นอย่างไร เวลาเจอคำถามแนวๆนี้คุณก็จะต้องมานั่งรื้อฟื้นความจำจากงานที่คุณเคยทำมาทั้งหมด เอา job description มาดูว่าเออเรามีเหตุการณ์อะไรที่มันตรงกับสกิลที่เค้าอยากได้บ้างแล้ว เราก็ลิสต์เหตุการณ์ต่างๆมา
เอานะรวบรัดคือสรุปคุยกับนั่นน่ะคนสัมภาษณ์ 3 คน โอ๊ยตาคนที่สองนี่ให้ความหวังกูซะแถบอยากจะลงไปกราบตรีน ถึงกับบอกคนที่ 3 ที่เป็นนายเค้าว่า “You are in a good hand” ประมาณว่า E นี่แหละเจ๋ง พูดจาหวานเยิ้มซะกูตายใจว่างานนี้มันต้องเป็นของเราเเน่ๆๆๆๆๆ ... ไม่ต้องเดาเลยค่ะ สรุป...ไม่ได้งาน 555 แหมมมมคนอเมริกันนี่เค้ามารยาทดี ชมซะคิดว่าได้งานกันเลยทีเดียว
วันนี้ขอแปะไว้ตรงนี้ก่อนนะคะ คือตอนนี้ห้าทุ่มแล้วขอไปนอนก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อว่าจขกท ต้องไปสัมภาษณ์กี่ที่ ต้องรอนานเท่าไหร่กว่าจะได้งาน แล้วค่าจ้างที่นี่มันมีแบบไหนบ้าง ประเภทสัญญาจ้างมันมีแบบไหนบ้าง สวัสดิการ ภาษีมันเป็นยังไง แล้วเพื่อนร่วมงานที่นี่เป็นยัง อยากรู้ต้องติดตามหุหุ (นี่กล้าพูดประหนึ่งกับมีคนอ่านมาก) ขอไปนอนก่อนละดาวววไม่ไหวแล้ว ดาวง่วงงงงงงง เจอกันพรุ่งนี้นะคะ