สวัสดีค่ะ เชื่อว่าหลายๆ คน กดเข้ามาเพื่อที่จะอยากได้สาระกลับไป แต่จขกท. ขอบอกไว้ก่อนว่าจขกท เป็นคนที่ไม่ค่อยมีสาระเท่าไร่ เพราะฉะนั้นหากจะหาสาระจากกระทู้นี้ คงต้องอ่านดีๆ หน่อยนะคะ จขกท พล่ามเยอะ 5555
คุณๆ รู้จักสิ่งที่เรียกว่า New year resolution ไหมคะ New year resolution คือความตั้งใจที่เราตั้งใจจะทำให้สำเร็จในปีนั้นๆ ในตอนแรกที่ขึ้น ม ปลาย จขกท ก็มีสิ่งที่คล้ายๆ New year resolution เหมือนกันค่ะ คือ จขกท อยากได้เกรดเกิน 3.25 พอเปิดเทอมปุ๊ป จขกท ก็ตั้งใจเรียนเต็มที่ พยายามเปลี่ยนตัวเอง จากที่เคยเป็นคนติดการ์ตูน ติดนิยาย เปลี่ยนตัวเองพยายามอ่านหนังสือเรียนอย่างหนักหน่วง ในทันทีที่ได้สมุกพก จขกท ก็ค่อยๆ เปิดมันช้าๆ ด้วยความตื่นเต้น ใจนี้เต้นรัวเป็นหน้ากลอง ลุ้นเต็มที่เลยค่ะว่าจะได้เท่าไร่น้อ…..
2.98
ช็อค….
ช็อคค่ะ
อะ…. อะไรนะ? ได้เกรดสอง?!!
ยิ่งไปกว่านั้น คณิต…. ได้เกรด 1
ณ จุดๆ นั้นคือทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ อะไรนะ? ทั้งๆ ที่พยายามเปลี่ยนตัวเอง พยายามตั้งใจเรียน แต่เกรดที่ได้กลับได้แค่นี้?!!
แต่ไม่เป็นไร เทอมนี้อาจจะพยายามผิดจุดไป จขกท พยายามตั้งสติ แล้วพยายามใหม่ เทอมหน้าเอาใหม่ เอาให้เกินสามนะ!!!
(ผ่างงงงงงงง!!!!)
2.96
มะ…. ไม่ถึงสาม แถม…กระ…. เกรดลด….
มะ…… ไม่จริงใช่ไหม? ไม่จริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อยากกรีดร้องออกมาเป็นที่สุด
จขกท นี้น้ำตาตกใน อะไร มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้แค่นี้กันนะ
ตัดภาพมาที่ปีหนึ่ง
สวัสดีค่ะ จขกท เป็นเฟรชชี่น้องใหม่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะที่ใช้ทั้งคณิตและฟิสิกส์ และหากทุกๆ คนจำได้(ถ้าจำไม่ได้ก็ย้อนกลับไปอ่านได้เลยค่ะ) ตอน ม สี่ จขกท ได้เกรดคณิตแย่มาก อะไรทำให้จขกท มาอยู่คณะนี้นะ?
นั่นเป็นแค่คำพูดติดตลกนะคะ แต่ความจริง จขกท มีเหตุผล และเลือกเข้าคณะนี้สาขานี้ด้วยตัวเองค่ะ
หลังจากความผิดหวังในตอน ม ปลาย จขกท ก็ตั้งใจใหม่ว่า คราวนี้จะต้องได้เกรด 3.25 ขึ้นไป เกียรตินิยมจะต้องเป็นของชั้น!!!
และผลปรากฏก็คือ
ปีหนึ่งเทอมหนึ่ง>>>>>>3.94
กรี้ดดดดดดดดดด จขกท ทำด้ายยยยยยยยย
วันที่เห็นเกรดนี้ กรี้ดจริงๆ ค่ะ
หลังจากที่ดีใจเสร็จแล้ว จขกท ก็มาดูเกรดตัวเองอีกครั้ง พบว่า จขกท ได้เกรด B+ วิชาที่เป็นแลป(ซึ่งเทอมนั้นลงสองตัว ได้ B+ มาทั้งสองตัว) จขกท จึงคิดดูว่าอะไรที่จขกทพลาดไป แล้วพยายามแก้ไข ก่อนที่จะได้เกรด 4.00 มาได้ในปีหนึ่งเทอมสอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เอาล่ะ จขกทพล่ามมามากพอแล้ว ต่อไปจขกท ควรจะเข้าเรื่องสักที ก่อนจะโดนสหบาทา
จริงๆ จุดประสงค์ในการตั้งกระทู้ของจขกท คือ อยากจะเตือน อยากจะให้กำลังใจ น้องๆ ม ปลาย ที่กำลังจะขึ้นมหาวิทยาลัย นะจ๊ะ
มีคนมากมายที่บอกว่า พอเข้ามหาลัยทุกอย่างก็จะรีเซต เริ่มต้นเป็นศูนย์ เกรด ม ปลายที่เรียนมาเป็นเพียงใบเบิกทางสู่คณะในมหาลัยเท่านั้น พอเริ่มเรียนมันไม่มีผลอะไรเลย ซึ่ง จขกท ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยค่ะ มันเป็นความจริงที่ เกรดเป็นใบเบิกทางเท่านั้น พอได้เข้าเรียนมันก็ไม่มีความหมาย แต่ทุกอย่างไม่ได้ถูกรีเซตเป็นศูนย์
เอ๊ะ ยังไง ก็คือ เมื่อเข้าปีหนึ่ง วิชาที่เราเรียนในตอนเทอมแรกๆ จะเป็นวิชาที่เอาเนื้อหา ม ปลายกลับมาเรียนอีกครั้ง ดูผ่านๆ ก็เหมือนเริ่มต้นใหม่ แต่ความจริง คือไม่ใช่ ถ้าเนื้อหาตอน ม ปลายเราแน่น ยังไงวิชาพวกนี้เราสามารถผ่านมันได้ไม่ยาก อ่านทบทวนนิดหน่อยก็ทำได้แล้ว
แต่! ในกรณีที่พื้นฐานม ปลายไม่แน่น เราต้องพยายามหน่อย เพื่อที่จะไปสู้กับพวกหัวสมองเทพๆ อย่าลืมนะ มันไม่ได้เหมือน ม ปลายที่แบ่งเกรดตามเกณฑ์ ร้ายกว่านั้นคือ เรามีสิทธิ์ไทล์ได้ เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามอย่าให้โดนไทล์เนอะ
เอ๊ะ พูดเหมือนกดดัน แต่ความจริงคืออยากบอกว่า ถ้าเราพยายามหน่อย เราก็ทำได้ค่ะ อย่าเอาเกรดตัวเองในอดีตมาตัดสินเกรดตัวเองในอนาคตเนอะ
สุดท้ายก็พล่ามยาวอีกแล้ว เอาล่ะ เข้าเรื่องๆ สำหรับวิธีการเรียนที่ จขกท ใช้ในตอนปีหนึ่งนะคะ
1. นอนตอนสี่ทุ่ม
ห๊ะ?! อะไรนะ?! นอนตอนสี่ทุ่มจริงๆ เหรอ?! จขกท เชื่อว่าหลายๆ ท่าน พออ่านประโยคนี้ปุ๊ป ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ เอ๊ะ ยังไงกัน? คำตอบคือ จริงๆ ค่ะ จขกท นอนตอนสี่ทุ่มทุกวันค่ะ หรือถ้าจขกท นอนดึก เหตุผลมันไม่ใช่จะมาจากการอ่านหนังสือเรียนหรือปั่นการบ้านแน่ๆ ค่ะ จขกท มองว่า การนอนเป็นสิ่งสำคัญที่ร่างกายควรได้รับ เวลาที่จขกท นอนไม่พอ นอนน้อย วันต่อมา จขกท จะไม่ค่อยมีสมาธิในการเรียนเท่าไร่ ดังนั้นเพื่อที่จะได้มีสมาธิในห้องเรียน จขกท จึงต้องนอนให้พอค่ะ แล้วถ้าอาจารย์สั่งการบ้านเยอะล่ะ? คำตอบของจขกท คือการแบ่งทำค่ะ จขกท เชื่อว่าอาจารย์คงไม่สั่งงานแบบมหาศาลล้านแปด แล้วให้ส่งในวันถัดมาหรอกค่ะ อาจารย์ต้องคิดและคำนวนมาแล้วว่านักศึกษาสามารถทำการบ้านได้ทันภายในวลาทำกำหนด การที่เราเคลียร์การบ้านไม่ทัน เชื่อว่าต้องเกิดจากการดอง แล้วมาปั่นเอาในวันสุดท้ายมากกว่าค่ะ อาจารย์ของ จขกท เคยสั่งการบ้านทำโจทย์ 3100 ข้อ พร้อมตรวจและวาดกราฟเวลาที่ใช้ทำ ส่งภายในหนึ่งอาทิตย์ค่ะ ถึงโจทย์ที่ให้มาจะเป็นเพียงแค่การบวกลบเลขธรรมดา แต่เห็นจำนวนข้อแล้วมันก็ชวนถอดใจ ลองคิดตามดูนะคะ ถ้าเราเอา 3100 ข้อนี้ไปตะลุยทำในคืนสุดท้ายก่อนส่งนี้ น่าจะบอกได้คำเดียวว่า จอดสนิท แน่ๆ ค่ะ ดังนั้น เราต้องแบ่งทำ วันนึ่งซัก 500 ข้อ หรืออาจจะ 300 ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ทำเยอะหน่อย เท่านี้ เราก็จะมีเวลานอนที่ปกติค่ะ แถมไม่ต้องไปตาลีตาเหลือกนั่งปั่นงานทั้งคืนด้วยค่ะ
2. ตั้งใจเรียน ทำความเข้าใจเนื้อหาให้ได้ตั้งแต่ในห้อง กล้าถามอาจารย์
จขกท คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่หลายๆ คน มองข้าม จริงอยู่ที่อาจารย์บางคนสอนไม่รู้เรื่อง ทำให้รู้สึกไม่อยากเรียน แต่เราก็ไม่สามารถข้ามเนื้อหาไปได้ เพราะยังไงเราก็ต้องเจอมันในห้องสอบอยู่ดี ในมหาลัยมันจะไม่มีการเรียนพิเศษเหมือนเดิม ม ปลาย แล้วเนอะ ถ้าเราไม่เข้าใจเราจะให้ใครอธิบายให้ได้ล่ะ? เราต้องช่วยตัวเองแล้ว(อย่าคิดลึกนะ //ถ้าแกไม่พูดขึ้นมาเขาก็ไม่คิด) การที่เราอ่านหนังสือเองเพียงอย่างเดียวมันอาจจะทำให้เราเข้าใจบางจุดผิดพลาดไปได้ เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคือ ตั้งใจเรียนค่ะ (หรือถ้าไม่อยากตั้งใจ เราต้องอ่านมาเองให้เข้าใจ) เวลาที่ไม่เข้าใจ หรือไม่แน่ใจ ต้องกล้าถามอาจารย์เนอะ อย่าอายค่ะ ด้านได้อายอดท่องเอาไว้ บางทีเราลองทำโจทย์สักข้อแล้วเอาไปถามอาจารย์ดูก็ได้ค่ะ
3. ซ้อมทำโจทย์เยอะๆ
อันนี้จริงๆ เป็นวิธีที่ทุกๆ คนทำกันอยู่แล้ว คือการทำโจทย์ มันทำให้เราได้ฝึก ได้ตกตะกอนความรู้ เนื้อหาที่เราได้รับมา ยิ่งทำโจทย์เก่า ยิ่งทำให้เราชินกับสไตล์โจทย์เนอะ นอกจากนี้ก็พยายามทำการบ้านด้วยตัวเองค่ะ การทำการบ้านก็เหมือนการได้ฝึกฝน ได้นำความรู้ที่ได้มาคิดหาคำตอบค่ะ การที่เราลอกเพื่อนเรามีการบ้านส่งอาจารย์ก็จริง แต่เราจะไม่ได้วิธีการคิด(ซึ่งไม่มีขายอยากได้ต้องทำเอง) ดังนั้น พยายามทำโจทย์มากๆ ยิ่งทำยิ่งได้ค่ะ
4. อย่าหักโหม หรือกดดันตัวเองมากเกินไป
ข้อนี้ก็มาแปลก แต่มันเป็นเรื่องที่จขกทได้เรียนรู้จากชีวิต ม ปลายของจขกทเอง การที่เรากดดัน การที่เครียดเกินไป มันไม่ได้ช่วยให้เราทำอะไรได้ดีขึ้น เพราะสุดท้ายเราจะไปจมอยู่กับมัน ครูคณิตศาสตร์ ตอน ม ปลายของ จขกทเคยพูดเอาไว้ว่า “ไม่มีข้อสอบไหนที่ยาก มีเพียงแต่ความกดดันของเราเองที่ทำให้ข้อสอบมันยากขึ้น” ในตอนนั้นจขกทก็ไม่เข้าใจหรอกค่ะ จนกระทั่งขึ้น ปีหนึ่ง ก็เพิ่งจะเข้าใจ เดินทางสายกลางค่ะ
5. ทำในสิ่งที่อยากทำ เล่นก็เล่นให้เต็มที่
อะไรนะ? ไหนเมื่อกี้บอกให้ตั้งใจเรียนไง?! ทำไมถึงย้อนแย้งแบบนี้?!! จขกท ไม่ได้โกหกนะคะ ปีที่ผ่านมา จขกท ทำกิจกรรมเยอะมากค่ะ เคยมีประชุมเรื่องกิจกรรมแบบประชุมยันสว่างคาตาก็มีแถมไม่ใช่แค่ครั้งเดียวเสียด้วย นอกจากนี้ จขกท ยังติดนิยาย มาก อนิเมะ การ์ตูน มังงะ ก็ยังดูยังอ่านอยู่ประจำค่ะ ทิ้งไม่ลง 5555 การเรียนมันเครียดค่ะ ยิ่งวิชาไหนที่มันยากถามอาจารย์สอนไม่รู้เรื่องนี้อยากจะฉีกหนังสือมันเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปต้มกินมากค่ะ เผื่อจะเข้าใจมากขึ้น แต่ถ้าเรามีแต่ความเครียดไม่ระบายออกมาบ้างก็แย่นะคะ เพราะฉะนั้นเราต้องระบายความเครียดออกมาด้วยค่ะ
จากที่อ่านมาทั้งห้าข้อ สามารถสรุปแบบ รวบรัดได้ง่ายๆ เลยคือ เราต้องแบ่งเวลาให้เป็นรู้ลิมิตตัวเองจัดลำดับความสำคัญและมีวินัยในการทำตามสิ่งที่เราแบ่งเอาไว้ ถ้าแบ่งไว้เรียน ก็ต้องตั้งใจเรียนให้เต็มที่ค่ะ การเรียนในมหาลัยมันมีอิสระมากขึ้นเยอะค่ะ ไม่ต้องรอเข้าแถวตอนเช้า ไม่ต้องนั่งในห้องสี่เหลี่ยมยาวๆ ถึงสี่โมงเย็น จะเข้าเรียนหรือไม่เข้า อาจารย์ก็จะไม่ตามด้วย แต่อิสระก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบค่ะ เราต้องรับผิดชอบตัวเองได้ อายุของเด็กมหาลัยก็18+ แล้วเนอะ มันเป็นอายุที่ จขกท คิดว่ามีสติและความคิดดีพอที่จะรู้ว่าอะไรดีไม่ดีกับตัวเองแล้วค่ะ ดังนั้นชีวิตในมหาลัยการควบคุมตัวเองถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ยิ่งทำได้ก่อนยิ่งได้เปรียบ
ทั้งหมดนี้ที่จขกทนำมาแบ่งปันคือวิธีที่จขกทใช้แล้วได้ผล แต่ในขณะเดียวกันบางคนใช้วิธีแบบนี้อาจจะไม่ได้ผล ก็ไม่ต้องแปลกใจค่ะ จขกท เชื่อว่า แต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างออกไปอย่างไร ก็ต้องมีวิธีการของตัวเองที่แตกต่างออกไปอย่างนั้น งงไหมคะ? คือแต่ละคนจะมีสไตล์การอ่านที่เป็นของตัวเองค่ะ บางคนต้องอ่าน บางคนต้องฟัง ยังไงก็แล้วแต่ เราต้องหาไสตล์การอ่านที่เป็นตัวของตัวเองให้เจอ เหมือนกับโรคน่ะค่ะ เป็นโรคเหมือนกัน แต่เราต้องใช้ยาคนละตัวในการรักษา ถ้าหากใครลองวิธีนี้แล้วค้นพบว่ามันไม่ใช่ ก็ให้หาวิธีต่อไปนะคะ อย่าทู้ซี้ใช้วิธีที่ใช้ไม่ได้ผลค่ะ พยายามผิดที่ก็เหมือนกับว่าเราไม่ได้พยายามค่ะ
ขอให้น้องๆ ม หกที่เข้ามาอ่านได้แนวคิดเอาไปใช้ในตอนมหาลัยนะคะ ตั้งใจใหม่พยายามให้เต็มที่ค่ะ น้องคนไหนที่ติดแล้วขอให้รีบเที่ยวให้เต็มที่นะคะ น้องคนไหนที่ยังสอบไม่ติดก็อย่าเพิ่งคิดมากค่ะ พยายามต่อไป ต้องมีสักวันที่เป็นของเราค่ะ
สู้ๆ
หวังว่าสิ่งที่เขียนไปจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ
จากเกรดสองตอนมอสี่สู่เกรดสี่ตอนปีหนึ่ง
คุณๆ รู้จักสิ่งที่เรียกว่า New year resolution ไหมคะ New year resolution คือความตั้งใจที่เราตั้งใจจะทำให้สำเร็จในปีนั้นๆ ในตอนแรกที่ขึ้น ม ปลาย จขกท ก็มีสิ่งที่คล้ายๆ New year resolution เหมือนกันค่ะ คือ จขกท อยากได้เกรดเกิน 3.25 พอเปิดเทอมปุ๊ป จขกท ก็ตั้งใจเรียนเต็มที่ พยายามเปลี่ยนตัวเอง จากที่เคยเป็นคนติดการ์ตูน ติดนิยาย เปลี่ยนตัวเองพยายามอ่านหนังสือเรียนอย่างหนักหน่วง ในทันทีที่ได้สมุกพก จขกท ก็ค่อยๆ เปิดมันช้าๆ ด้วยความตื่นเต้น ใจนี้เต้นรัวเป็นหน้ากลอง ลุ้นเต็มที่เลยค่ะว่าจะได้เท่าไร่น้อ…..
2.98
ช็อค….
ช็อคค่ะ
อะ…. อะไรนะ? ได้เกรดสอง?!!
ยิ่งไปกว่านั้น คณิต…. ได้เกรด 1
ณ จุดๆ นั้นคือทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ อะไรนะ? ทั้งๆ ที่พยายามเปลี่ยนตัวเอง พยายามตั้งใจเรียน แต่เกรดที่ได้กลับได้แค่นี้?!!
แต่ไม่เป็นไร เทอมนี้อาจจะพยายามผิดจุดไป จขกท พยายามตั้งสติ แล้วพยายามใหม่ เทอมหน้าเอาใหม่ เอาให้เกินสามนะ!!!
(ผ่างงงงงงงง!!!!)
2.96
มะ…. ไม่ถึงสาม แถม…กระ…. เกรดลด….
มะ…… ไม่จริงใช่ไหม? ไม่จริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อยากกรีดร้องออกมาเป็นที่สุด
จขกท นี้น้ำตาตกใน อะไร มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้แค่นี้กันนะ
ตัดภาพมาที่ปีหนึ่ง
สวัสดีค่ะ จขกท เป็นเฟรชชี่น้องใหม่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะที่ใช้ทั้งคณิตและฟิสิกส์ และหากทุกๆ คนจำได้(ถ้าจำไม่ได้ก็ย้อนกลับไปอ่านได้เลยค่ะ) ตอน ม สี่ จขกท ได้เกรดคณิตแย่มาก อะไรทำให้จขกท มาอยู่คณะนี้นะ?
นั่นเป็นแค่คำพูดติดตลกนะคะ แต่ความจริง จขกท มีเหตุผล และเลือกเข้าคณะนี้สาขานี้ด้วยตัวเองค่ะ
หลังจากความผิดหวังในตอน ม ปลาย จขกท ก็ตั้งใจใหม่ว่า คราวนี้จะต้องได้เกรด 3.25 ขึ้นไป เกียรตินิยมจะต้องเป็นของชั้น!!!
และผลปรากฏก็คือ
ปีหนึ่งเทอมหนึ่ง>>>>>>3.94
กรี้ดดดดดดดดดด จขกท ทำด้ายยยยยยยยย
วันที่เห็นเกรดนี้ กรี้ดจริงๆ ค่ะ
หลังจากที่ดีใจเสร็จแล้ว จขกท ก็มาดูเกรดตัวเองอีกครั้ง พบว่า จขกท ได้เกรด B+ วิชาที่เป็นแลป(ซึ่งเทอมนั้นลงสองตัว ได้ B+ มาทั้งสองตัว) จขกท จึงคิดดูว่าอะไรที่จขกทพลาดไป แล้วพยายามแก้ไข ก่อนที่จะได้เกรด 4.00 มาได้ในปีหนึ่งเทอมสอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เอาล่ะ จขกทพล่ามมามากพอแล้ว ต่อไปจขกท ควรจะเข้าเรื่องสักที ก่อนจะโดนสหบาทา
จริงๆ จุดประสงค์ในการตั้งกระทู้ของจขกท คือ อยากจะเตือน อยากจะให้กำลังใจ น้องๆ ม ปลาย ที่กำลังจะขึ้นมหาวิทยาลัย นะจ๊ะ
มีคนมากมายที่บอกว่า พอเข้ามหาลัยทุกอย่างก็จะรีเซต เริ่มต้นเป็นศูนย์ เกรด ม ปลายที่เรียนมาเป็นเพียงใบเบิกทางสู่คณะในมหาลัยเท่านั้น พอเริ่มเรียนมันไม่มีผลอะไรเลย ซึ่ง จขกท ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยค่ะ มันเป็นความจริงที่ เกรดเป็นใบเบิกทางเท่านั้น พอได้เข้าเรียนมันก็ไม่มีความหมาย แต่ทุกอย่างไม่ได้ถูกรีเซตเป็นศูนย์
เอ๊ะ ยังไง ก็คือ เมื่อเข้าปีหนึ่ง วิชาที่เราเรียนในตอนเทอมแรกๆ จะเป็นวิชาที่เอาเนื้อหา ม ปลายกลับมาเรียนอีกครั้ง ดูผ่านๆ ก็เหมือนเริ่มต้นใหม่ แต่ความจริง คือไม่ใช่ ถ้าเนื้อหาตอน ม ปลายเราแน่น ยังไงวิชาพวกนี้เราสามารถผ่านมันได้ไม่ยาก อ่านทบทวนนิดหน่อยก็ทำได้แล้ว
แต่! ในกรณีที่พื้นฐานม ปลายไม่แน่น เราต้องพยายามหน่อย เพื่อที่จะไปสู้กับพวกหัวสมองเทพๆ อย่าลืมนะ มันไม่ได้เหมือน ม ปลายที่แบ่งเกรดตามเกณฑ์ ร้ายกว่านั้นคือ เรามีสิทธิ์ไทล์ได้ เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามอย่าให้โดนไทล์เนอะ
เอ๊ะ พูดเหมือนกดดัน แต่ความจริงคืออยากบอกว่า ถ้าเราพยายามหน่อย เราก็ทำได้ค่ะ อย่าเอาเกรดตัวเองในอดีตมาตัดสินเกรดตัวเองในอนาคตเนอะ
สุดท้ายก็พล่ามยาวอีกแล้ว เอาล่ะ เข้าเรื่องๆ สำหรับวิธีการเรียนที่ จขกท ใช้ในตอนปีหนึ่งนะคะ
1. นอนตอนสี่ทุ่ม
ห๊ะ?! อะไรนะ?! นอนตอนสี่ทุ่มจริงๆ เหรอ?! จขกท เชื่อว่าหลายๆ ท่าน พออ่านประโยคนี้ปุ๊ป ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ เอ๊ะ ยังไงกัน? คำตอบคือ จริงๆ ค่ะ จขกท นอนตอนสี่ทุ่มทุกวันค่ะ หรือถ้าจขกท นอนดึก เหตุผลมันไม่ใช่จะมาจากการอ่านหนังสือเรียนหรือปั่นการบ้านแน่ๆ ค่ะ จขกท มองว่า การนอนเป็นสิ่งสำคัญที่ร่างกายควรได้รับ เวลาที่จขกท นอนไม่พอ นอนน้อย วันต่อมา จขกท จะไม่ค่อยมีสมาธิในการเรียนเท่าไร่ ดังนั้นเพื่อที่จะได้มีสมาธิในห้องเรียน จขกท จึงต้องนอนให้พอค่ะ แล้วถ้าอาจารย์สั่งการบ้านเยอะล่ะ? คำตอบของจขกท คือการแบ่งทำค่ะ จขกท เชื่อว่าอาจารย์คงไม่สั่งงานแบบมหาศาลล้านแปด แล้วให้ส่งในวันถัดมาหรอกค่ะ อาจารย์ต้องคิดและคำนวนมาแล้วว่านักศึกษาสามารถทำการบ้านได้ทันภายในวลาทำกำหนด การที่เราเคลียร์การบ้านไม่ทัน เชื่อว่าต้องเกิดจากการดอง แล้วมาปั่นเอาในวันสุดท้ายมากกว่าค่ะ อาจารย์ของ จขกท เคยสั่งการบ้านทำโจทย์ 3100 ข้อ พร้อมตรวจและวาดกราฟเวลาที่ใช้ทำ ส่งภายในหนึ่งอาทิตย์ค่ะ ถึงโจทย์ที่ให้มาจะเป็นเพียงแค่การบวกลบเลขธรรมดา แต่เห็นจำนวนข้อแล้วมันก็ชวนถอดใจ ลองคิดตามดูนะคะ ถ้าเราเอา 3100 ข้อนี้ไปตะลุยทำในคืนสุดท้ายก่อนส่งนี้ น่าจะบอกได้คำเดียวว่า จอดสนิท แน่ๆ ค่ะ ดังนั้น เราต้องแบ่งทำ วันนึ่งซัก 500 ข้อ หรืออาจจะ 300 ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ทำเยอะหน่อย เท่านี้ เราก็จะมีเวลานอนที่ปกติค่ะ แถมไม่ต้องไปตาลีตาเหลือกนั่งปั่นงานทั้งคืนด้วยค่ะ
2. ตั้งใจเรียน ทำความเข้าใจเนื้อหาให้ได้ตั้งแต่ในห้อง กล้าถามอาจารย์
จขกท คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่หลายๆ คน มองข้าม จริงอยู่ที่อาจารย์บางคนสอนไม่รู้เรื่อง ทำให้รู้สึกไม่อยากเรียน แต่เราก็ไม่สามารถข้ามเนื้อหาไปได้ เพราะยังไงเราก็ต้องเจอมันในห้องสอบอยู่ดี ในมหาลัยมันจะไม่มีการเรียนพิเศษเหมือนเดิม ม ปลาย แล้วเนอะ ถ้าเราไม่เข้าใจเราจะให้ใครอธิบายให้ได้ล่ะ? เราต้องช่วยตัวเองแล้ว(อย่าคิดลึกนะ //ถ้าแกไม่พูดขึ้นมาเขาก็ไม่คิด) การที่เราอ่านหนังสือเองเพียงอย่างเดียวมันอาจจะทำให้เราเข้าใจบางจุดผิดพลาดไปได้ เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคือ ตั้งใจเรียนค่ะ (หรือถ้าไม่อยากตั้งใจ เราต้องอ่านมาเองให้เข้าใจ) เวลาที่ไม่เข้าใจ หรือไม่แน่ใจ ต้องกล้าถามอาจารย์เนอะ อย่าอายค่ะ ด้านได้อายอดท่องเอาไว้ บางทีเราลองทำโจทย์สักข้อแล้วเอาไปถามอาจารย์ดูก็ได้ค่ะ
3. ซ้อมทำโจทย์เยอะๆ
อันนี้จริงๆ เป็นวิธีที่ทุกๆ คนทำกันอยู่แล้ว คือการทำโจทย์ มันทำให้เราได้ฝึก ได้ตกตะกอนความรู้ เนื้อหาที่เราได้รับมา ยิ่งทำโจทย์เก่า ยิ่งทำให้เราชินกับสไตล์โจทย์เนอะ นอกจากนี้ก็พยายามทำการบ้านด้วยตัวเองค่ะ การทำการบ้านก็เหมือนการได้ฝึกฝน ได้นำความรู้ที่ได้มาคิดหาคำตอบค่ะ การที่เราลอกเพื่อนเรามีการบ้านส่งอาจารย์ก็จริง แต่เราจะไม่ได้วิธีการคิด(ซึ่งไม่มีขายอยากได้ต้องทำเอง) ดังนั้น พยายามทำโจทย์มากๆ ยิ่งทำยิ่งได้ค่ะ
4. อย่าหักโหม หรือกดดันตัวเองมากเกินไป
ข้อนี้ก็มาแปลก แต่มันเป็นเรื่องที่จขกทได้เรียนรู้จากชีวิต ม ปลายของจขกทเอง การที่เรากดดัน การที่เครียดเกินไป มันไม่ได้ช่วยให้เราทำอะไรได้ดีขึ้น เพราะสุดท้ายเราจะไปจมอยู่กับมัน ครูคณิตศาสตร์ ตอน ม ปลายของ จขกทเคยพูดเอาไว้ว่า “ไม่มีข้อสอบไหนที่ยาก มีเพียงแต่ความกดดันของเราเองที่ทำให้ข้อสอบมันยากขึ้น” ในตอนนั้นจขกทก็ไม่เข้าใจหรอกค่ะ จนกระทั่งขึ้น ปีหนึ่ง ก็เพิ่งจะเข้าใจ เดินทางสายกลางค่ะ
5. ทำในสิ่งที่อยากทำ เล่นก็เล่นให้เต็มที่
อะไรนะ? ไหนเมื่อกี้บอกให้ตั้งใจเรียนไง?! ทำไมถึงย้อนแย้งแบบนี้?!! จขกท ไม่ได้โกหกนะคะ ปีที่ผ่านมา จขกท ทำกิจกรรมเยอะมากค่ะ เคยมีประชุมเรื่องกิจกรรมแบบประชุมยันสว่างคาตาก็มีแถมไม่ใช่แค่ครั้งเดียวเสียด้วย นอกจากนี้ จขกท ยังติดนิยาย มาก อนิเมะ การ์ตูน มังงะ ก็ยังดูยังอ่านอยู่ประจำค่ะ ทิ้งไม่ลง 5555 การเรียนมันเครียดค่ะ ยิ่งวิชาไหนที่มันยากถามอาจารย์สอนไม่รู้เรื่องนี้อยากจะฉีกหนังสือมันเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปต้มกินมากค่ะ เผื่อจะเข้าใจมากขึ้น แต่ถ้าเรามีแต่ความเครียดไม่ระบายออกมาบ้างก็แย่นะคะ เพราะฉะนั้นเราต้องระบายความเครียดออกมาด้วยค่ะ
จากที่อ่านมาทั้งห้าข้อ สามารถสรุปแบบ รวบรัดได้ง่ายๆ เลยคือ เราต้องแบ่งเวลาให้เป็นรู้ลิมิตตัวเองจัดลำดับความสำคัญและมีวินัยในการทำตามสิ่งที่เราแบ่งเอาไว้ ถ้าแบ่งไว้เรียน ก็ต้องตั้งใจเรียนให้เต็มที่ค่ะ การเรียนในมหาลัยมันมีอิสระมากขึ้นเยอะค่ะ ไม่ต้องรอเข้าแถวตอนเช้า ไม่ต้องนั่งในห้องสี่เหลี่ยมยาวๆ ถึงสี่โมงเย็น จะเข้าเรียนหรือไม่เข้า อาจารย์ก็จะไม่ตามด้วย แต่อิสระก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบค่ะ เราต้องรับผิดชอบตัวเองได้ อายุของเด็กมหาลัยก็18+ แล้วเนอะ มันเป็นอายุที่ จขกท คิดว่ามีสติและความคิดดีพอที่จะรู้ว่าอะไรดีไม่ดีกับตัวเองแล้วค่ะ ดังนั้นชีวิตในมหาลัยการควบคุมตัวเองถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ยิ่งทำได้ก่อนยิ่งได้เปรียบ
ทั้งหมดนี้ที่จขกทนำมาแบ่งปันคือวิธีที่จขกทใช้แล้วได้ผล แต่ในขณะเดียวกันบางคนใช้วิธีแบบนี้อาจจะไม่ได้ผล ก็ไม่ต้องแปลกใจค่ะ จขกท เชื่อว่า แต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างออกไปอย่างไร ก็ต้องมีวิธีการของตัวเองที่แตกต่างออกไปอย่างนั้น งงไหมคะ? คือแต่ละคนจะมีสไตล์การอ่านที่เป็นของตัวเองค่ะ บางคนต้องอ่าน บางคนต้องฟัง ยังไงก็แล้วแต่ เราต้องหาไสตล์การอ่านที่เป็นตัวของตัวเองให้เจอ เหมือนกับโรคน่ะค่ะ เป็นโรคเหมือนกัน แต่เราต้องใช้ยาคนละตัวในการรักษา ถ้าหากใครลองวิธีนี้แล้วค้นพบว่ามันไม่ใช่ ก็ให้หาวิธีต่อไปนะคะ อย่าทู้ซี้ใช้วิธีที่ใช้ไม่ได้ผลค่ะ พยายามผิดที่ก็เหมือนกับว่าเราไม่ได้พยายามค่ะ
ขอให้น้องๆ ม หกที่เข้ามาอ่านได้แนวคิดเอาไปใช้ในตอนมหาลัยนะคะ ตั้งใจใหม่พยายามให้เต็มที่ค่ะ น้องคนไหนที่ติดแล้วขอให้รีบเที่ยวให้เต็มที่นะคะ น้องคนไหนที่ยังสอบไม่ติดก็อย่าเพิ่งคิดมากค่ะ พยายามต่อไป ต้องมีสักวันที่เป็นของเราค่ะ
สู้ๆ
หวังว่าสิ่งที่เขียนไปจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ