– A long lasting dream –
ถ้าวันหนึ่งเพื่อนสนิทของคุณเดินเข้ามาบอกว่า เธอกำลังจะไปใช้ชีวิตและศึกษาต่อ ณ.แดนไกล คุณจะพูดอะไรกับเพื่อน
ก. ดีใจด้วยนะฝันเป็นจริงเสียที
ข. เราจะเลี้ยงส่งแกวันไหนดี
ค. เดี๋ยวฉันตามไป แกอย่าเพิ่งรีบกลับนะ
ง. แน่ใจหรือเปล่า ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียว ไม่เหงาแย่เหรอ
จ. ไปกี่ปี เมื่อไรกลับ? อย่าลืมของฝาก
ฉ. ไม่ใช่ทุกข้อที่กล่าวมา
หลังจากได้รับวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษมาหมาด ๆ ฉันรีบโทรไปบอกข่าวดีกับเพื่อนสนิท และนี่คือบทสนทนาระหว่างเรา
“เราจะไปอังกฤษอาทิตย์หน้าแล้วนะ”
“ตกลงแกจะกลับไปเรียนต่อจริง ๆ?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“อ้าว แล้วงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ล่ะ”
“ก็เลิกไง ไม่ทำแล้ว จะไปเรียนต่อ”
“เอาจริงเหรอเนี่ย”
“จริงดิ”
“แกจะบ้าหรือเปล่า อยู่ดี ๆ จะเลิกทำงาน ไม่เออรี่รีไทร์ไปซะเลยล่ะ แก่จนปูนนี้แล้วยังจะไปเรียนอะไรอีก! กว่าจะจบกลับมาก็แก่งั่กพอดี งานเขียนบทละครที่แกทำอยู่ทุกวันนี้มันใช้ความรู้ทางวิชาการซะที่ไหน จะไปนั่งเรียนให้มันเมื่อยทำไม !”
ดูมันพูดเข้าสิ ทำอย่างกับเพิ่งได้ยินแผนการที่งี่เง่าและผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต คนเค้าจะไปเรียนต่อ ไม่ได้จะหนีตามผู้ชายซะหน่อย ... แก่จนปูนนี้ .... ฉันก็อายุเท่าแกนั่นแหละ เพิ่งจะสามสิบสองขวบเท่านั้นเอง ไม่เห็นแก่ตรงไหนเลย
ถึงคำประชดประชันของเพื่อนจะฟังแล้วแสลงหูไปบ้างแต่ฉันไม่โกรธหรอก คิดซะว่าหากนางไม่ใช่เพื่อนบังเกิดเกล้าคงไม่พูดด้วยความห่วงใย (หรือเปล่าก็ไม่รู้) แบบนี้
เพื่อนก็น่าจะรู้ดีว่าถ้าไม่ไปตอนนี้ ... แล้วแกจะให้ฉันไปตอนไหน นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะแก่การไปเรียนต่อมากที่สุด เพราะว่าฉัน...
1. ไม่มีครอบครัว
2. ก็เลยยังไม่มีลูก
3. แถมไม่มีแฟนอีกต่างหาก
4. ไม่มีภาระหนี้สิ้น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนไอโฟน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ
5. ไม่มีภาระต้องดูแลพ่อแก่แม่ชรา
6. ไม่ได้ทำงานประจำก็เลยไม่ต้องลาออกจากงาน
7. สามารถซื้อตั๋วแล้วหิ้วกระเป๋าขึ้นเครื่องไปได้เลย
แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วสิ่งที่เพื่อนพูดก็สมเหตุสมผลทุกอย่าง งานเขียนบทละครต้องอาศัยจินตนาการมากกว่าความรู้ทางวิชาการ ถึงกระนั้นฉันก็มีเหตุผลของตัวเองที่ไม่ค่อยเหมือนใคร และจะไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางความมุ่งมั่นตั้งใจของว่าที่นักเรียนโข่งคนนี้ได้
“เขาว่ากันว่าการศึกษาคือการลงทุน แกเคยได้ยินไหม”
“แล้วแกมีเงินไปลงทุนเท่าไร”
“...ก็สาม...กว่า ๆ”
“สามล้าน?”
“ไม่ถึงหรอก”
“สามแสน?”
“ไม่ใช่”
“แล้วมันอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าสามหมื่น”
“ก็ประมาณนั้นแหละ”
“นี่แกจะไปเรียนต่อที่อังกฤษด้วยเงินสามหมื่น ! ... เหรอ ... ล้อเล่นใช่ไหม”
อ๊ะ อ๊ะ อย่าดูถูกเงินสามหมื่นสิยะ ถึงมันจะน้อยนิดแต่ก็ทำฝันให้เป็นจริงได้เหมือนกันนะ
ตอนที่เริ่มวางแผนเรื่องกลับไปเรียนต่อ คือช่วงเวลาที่ฉันมีเงินนอนอยู่ในบัญชีประมาณหนึ่งแสนบาท ซึ่งต่อมาก็ค่อย ๆ ร่อยหรอลงไปกับค่าดำเนินการต่าง ๆ ทั้งค่าสอบ IELST ค่าขอวีซ่า ค่าโน่นนี่นั่น รวมทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน สุดท้ายพอถึงวันที่กำลังจะเดินทางไปประเทศอังกฤษเป็นรอบที่สอง เพื่อพยายามเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเป็นครั้งที่สอง ฉันเหลือเงินสดอยู่ในกระเป๋าเพียงสามหมื่นบาท
โฉนดที่ดินติดริมทะเล คอนโดหรูย่านสาธร พันธบัตรรัฐบาล พระเครื่อง แหวนเพชรมรดกจากคุณย่า ก็ไม่มีสักอย่าง (แล้วจะกล่าวถึงทำไม)
ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปเรียนและใช้ชีวิตในลอนดอนมาแล้วครั้งหนึ่ง (เขียนให้ดูดี จริง ๆ แล้วไปเรียนภาษาและทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเสิร์ฟอาหารอยู่ในร้านไทย) เคยสมัครเข้าเรียนป.โทในมหาวิทยาลัยแล้วแต่ยังไม่ได้เรียน เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ห้าปีผ่านไปความฝันยังอยู่คงเดิมและฉันยังไม่มีค่าเทอมเหมือนเดิม
ความฝันนั้นเป็นเรื่องแปลก มันก่อตัวขึ้นในจินตนาการ จากนั้นก็เกาะติดหนึบอยู่กับเราเพื่อเฝ้าทวงถามว่าเมื่อไรจะลงมือทำฝันให้เป็นจริงเสียที หากเราแกล้งทำหูทวนลม มันจะเฝ้าเพียรกระซิบถามซ้ำ ๆ อยู่ร่ำไปว่า ‘เมื่อไร เมื่อไร เมื่อไร...’
และถึงจะอธิบายเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ให้ฟังว่ายังไม่มีตังค์ ไม่มีเวลา ตอนนี้ยังไม่พร้อม รอให้ถูกหวยสักงวดก่อนได้ไหม ฯลฯ แต่ดูเหมือนมันไม่เคยเข้าใจ ยังคงตั้งคำถามเดิม ๆ รบกวนใจเรา ‘เมื่อไร เมื่อไร เมื่อไร...’
เมื่อเห็นว่าเรายังเพิกเฉย ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เหมือนลืมสิ่งที่เคยฝันไว้จนหมดใจ มันก็ปล่อยท่อนฮุกหมัดเด็ดออกมา “แล้วเธอจะมานั่งเสียดายในตอนที่มันสายเกินไปแล้ว”
เหมือนถูกเสยปลายคางจนน๊อคเอ้าท์กลางอากาศ ฉันหลับไปและเห็นภาพตัวเองย่างเข้าสู่วัยเฒ่าชะแลแก่ชรา คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ยังเฝ้าหลอกหลอน แต่เปลี่ยนจากคำถามสั้น ๆ ว่า ‘เมื่อไร เมื่อไร เมื่อไร...’ มาเป็นคำถามยาว ๆ ว่า ‘ทำไมเธอไม่เดินตามความฝันของตัวเองในวันที่ยังมีโอกาส?’
เมื่อรู้สึกตัวตื่น ฉันได้เหตุผลใหม่มาบอกตัวเองว่า การลงมือทำตามความฝันบางครั้งก็ไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรมากมายนักหรอก
แล้วในที่สุดคำถามที่ได้ฟังซ้ำ ๆ เป็นเวลาห้าปีก็กำลังจะจบลง
การเดินทางครั้งนี้เปรียบได้กับการกลับไปปิดจ๊อบ ทำฝันที่ค้างเติ่งให้กลายเป็นความจริงเสียที
Wiser old man กล่าวไว้ว่า ‘คิดทำการใหญ่ต้องวางแผน’
การเดินทางไปเรียนต่อด้วยเงินติดกระเป๋าเพียงสามหมื่นบาทยิ่งต้องวางแผนให้รอบคอบที่สุด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องเงิน ที่พักอาศัย อาหารการกิน ฯลฯ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยวางแผนอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเท่านี้มาก่อน
แต่ว่านะหลายครั้งที่เราวางแผนอะไรไว้ก็ตาม มันมักไม่เป็นไปตามนั้นหรอก ครั้งนี้ก็เหมือนกัน จากตอนแรกที่คิดว่าชีวิตต่อจากนี้คงเป็นไปตามแผนการอย่างราบรื่น แต่ก็ผิดแผนจนได้
สุดท้ายแล้วนักเรียนโข่งจะเรียนจบป.โทอย่างที่มุ่งหวังไว้หรือไม่ จะมีความเป็นอยู่แบบไหน จะประกอบอาชีพอะไร จะหาค่าเทอมได้หรือเปล่า กรุณาติดตามอ่านตอนต่อ ๆ ไป
***เนื่องจากเรื่องราวต่อไปนี้เขียนขึ้นจากเรื่องจริง จึงมีการเปลี่ยนชื่อสถานที่บางที่
และเปลี่ยนชื่อตัวละครทุกคน ยกเว้นชื่อคนเพียงคนเดียว คือ น้อย***
Chapter 1
‘Hello again UK’
เช้าตรู่วันที่ 30 มกราคม นกยักษ์ปีกม่วงที่โดยสารมาร่อนลงแตะรันเวย์สนามบินฮีทโธรว์อย่างนุ่มนวล เมื่อมองผ่านกระจกหน้าต่างออกไป พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า บรรยากาศขมุกขมัว อากาศข้างนอกน่าจะหนาวพอ ๆ กับช่องฟรีซในตู้เย็น
อีกแค่อึดใจเดียวเท่านั้นก็จะได้ก้าวเท้าลงสู่ดินแดนที่อยู่ในความคิดคำนึงตลอดมา ... รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกำลังจะได้กลับมาเจอคนรักเก่า
หลายปีที่ผ่านมาฉันมักคิดถึงการนั่งอาบแดดอุ่น ๆ ต้นฤดูร้อนในสวนสาธารณะเซนต์เจมส์
คิดถึงการเดินเล่นดูของแปลกตาที่ตลาดแคมเดน คิดถึงหนังอินดี้ที่โรงหนังปริ้นซ์ชาร์ล คิดถึงบรรยากาศสบาย ๆ ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ คิดถึงการเข้าไปฉีดน้ำหอมฟรีตามร้านบู้ทส์ แล้วในวันนี้เราก็ได้พบกันเสียที
“ลอนดอนจ๋า here I come”
ความดีใจอันท่วมท้นทำให้การเดินทางข้ามเวลา ข้ามทวีปที่ยาวนานกว่าสิบสามชั่วโมง ไม่ก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลียเลยสักนิด (จะเพลียได้ไง หลับมาตลอดทาง) ตรงกันข้ามกลับรู้สึกสดชื่นเบิกบานพร้อมแล้วสำหรับการผจญภัยครั้งใหม่
พลังงานบวกสูบฉีดปรี๊ดปร๊าดทั่วร่าง ... ว่าแต่ตม.จะตรวจเอกสารอีกนานไหม
พี่เขาตั้งคำถามหลายข้อ พลิกดูเอกสารอยู่หลายรอบ เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจแต่เหมือนนานเป็นชาติ ในที่สุดเจ้าหน้าที่ตม.ร่างยักษ์ประจำสนามบินฮีทโธร์วก็ส่งเอกสารทุกอย่างคืนให้ แต่กลับไม่ยอมให้ผ่านเข้าประเทศ
พี่เขาบอกให้ไปติดต่อที่แผนกตรวจวัณโรค ... ระดับพลังงานบวกลดลงฮวบฮาบ เดจาวูชัด ๆ
ชีวิตนี้ฉันเดินทางเข้าประเทศอังกฤษสองครั้ง ถูกส่งไปตรวจสภาพปอดทั้งสองครั้ง นี่มันหมายความว่าอะไร
รู้สึกใจแป้วฉับพลันแม้ว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกและอาจไม่ได้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อมองซ้ายมองขวาหาเพื่อนร่วมชะตากรรม ก็พบว่าคนที่ออกมาจากเครื่องลำเดียวกันผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปจนเกลี้ยงแล้ว เหลือแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ยังตกค้างอยู่ในนี้
อดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีระเบียบการคัดกรองอย่างไร อยากรู้นะแต่ไม่อยากถาม จำใจเดินไปที่แผนกตรวจวัณโรคเพื่อรอเอ๊กซเรย์ปอด และนั่งรวมกลุ่มอยู่กับคนหน้าตาขี้โรคจากประเทศต่าง ๆ
‘หรือว่าจะถูกส่งกลับ... เราไม่ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทวีปมาเพื่อฉี่ทิ้งไว้ที่สนามบินฮีทโธรว์ แล้วก็นั่งเครื่องกลับบ้านสักหน่อย มันเป็นไปไม่ด้ายยยย....’ (กรีดร้องกับตัวเอง แล้วหยิบบรัชออนขึ้นมาปัดแก้มให้แลดูสุขภาพดีมีเลือดฝาด)
แต่ถึงจะมีทั้งวีซ่า ใบรับรองแพทย์ กับฟิล์มเอ๊กซเรย์ปอดซึ่งยืนยันได้ว่าสุขภาพปกติดีมิได้ป่วยเป็นโรคที่สังคมรังเกียจแต่อย่างใด กลับไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่ตม.ประจำสนามบินฮีทโธรว์จะปล่อยเราเดินฉุยฉายเข้าประเทศไปได้ง่าย ๆ
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมีภารกิจสำคัญในการสแกนหาคนที่มีสารรูปเหมือนพวกสุขภาพเสื่อมโทรม มีแนวโน้มที่จะเป็นพาหะนำเชื้อวัณโรคเข้าสู่ราชอาณาจักร
ในหนังสือ ลอนดอนไดอารี่ นิ้วกลม เล่าไว้ว่าแกก็โดนส่งตัวไปเอ๊กซเรย์ปอดหาเชื้อวัณโรคเหมือนกัน ฉันไม่ได้รู้จักเฮียนิ้วกลมเป็นการส่วนตัว แต่ก็พอรู้ว่าแกไม่ได้มีหุ่นสูงชะลูดตูดปอดยอดขุนพล ออกจะบึกบึนสมส่วนดูมุมไหนก็ไม่เหมือนพวกขี้โรค ถึงกระนั้นแกยังตกเป็นผู้ต้องสงสัย (ว่ามีเชื้อวัณโรค) จนได้
ในเมื่อค่านิยมของคนแถวนี้คือผิวสีแทนเท่ากับสุขภาพดี มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไรถ้าไม่ใช่เพราะผิวขาวราวไก่ต้มของพวกเรานี่แหละ ที่ทำให้พี่ตม.คิดว่าเราป่วย
Wiser old man กล่าวไว้ว่า ‘คนเรามักถูกตัดสินจากเปลือกนอก’
คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เมื่อฉันถูกตัดสินจากเปลือกซึ่งทั้งบอบบางและขาวซีด
นี่ถ้าลงทุนโบกรองพื้นเบอร์เข้มให้ผิวเป็นสีแทนเหมือนเพิ่งกลับมาจากทริปอาบแดดที่สวนสยาม ใส่เสื้อซ้อนห้าชั้นอำพรางหุ่นผอมกระหร่อง ยอมเสียเวลานิดหน่อยตกแต่งเปลือกตัวเองให้ดูมีสุขภาพดีมากที่สุด ฉันอาจผ่านด่านตม.ง่ายขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้
สรุปแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ต่างจากวันที่ฉันมาเยือนลอนดอนครั้งแรก หลังจากทำให้เสียเวลาไปตั้งสองชั่วโมง พี่ตม.ร่างยักษ์สแตมป์ตราประทับลงในเล่มพาสปอร์ต ก่อนจะส่งคืนให้
‘Welcome to England’
วินาทีนั้นฉันไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างที่ควรจะเป็น กลับนึกกังวลกลัวจะคลาดกับคนที่นัดหมายไว้ว่าจะมารับ รีบลากกระเป๋ามุ่งหน้าไปที่ท่ารถโค้ช Central Bus Station เพื่อนั่งรถต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งไม่ใช่ลอนดอน
เรื่องจริงไม่อิงนิยาย เรียนต่อป.โทที่อังกฤษตอนอายุ 30 กว่าขวบ กับเงินติดกระเป๋า 3 หมื่น
ถ้าวันหนึ่งเพื่อนสนิทของคุณเดินเข้ามาบอกว่า เธอกำลังจะไปใช้ชีวิตและศึกษาต่อ ณ.แดนไกล คุณจะพูดอะไรกับเพื่อน
ก. ดีใจด้วยนะฝันเป็นจริงเสียที
ข. เราจะเลี้ยงส่งแกวันไหนดี
ค. เดี๋ยวฉันตามไป แกอย่าเพิ่งรีบกลับนะ
ง. แน่ใจหรือเปล่า ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียว ไม่เหงาแย่เหรอ
จ. ไปกี่ปี เมื่อไรกลับ? อย่าลืมของฝาก
ฉ. ไม่ใช่ทุกข้อที่กล่าวมา
หลังจากได้รับวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษมาหมาด ๆ ฉันรีบโทรไปบอกข่าวดีกับเพื่อนสนิท และนี่คือบทสนทนาระหว่างเรา
“เราจะไปอังกฤษอาทิตย์หน้าแล้วนะ”
“ตกลงแกจะกลับไปเรียนต่อจริง ๆ?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“อ้าว แล้วงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ล่ะ”
“ก็เลิกไง ไม่ทำแล้ว จะไปเรียนต่อ”
“เอาจริงเหรอเนี่ย”
“จริงดิ”
“แกจะบ้าหรือเปล่า อยู่ดี ๆ จะเลิกทำงาน ไม่เออรี่รีไทร์ไปซะเลยล่ะ แก่จนปูนนี้แล้วยังจะไปเรียนอะไรอีก! กว่าจะจบกลับมาก็แก่งั่กพอดี งานเขียนบทละครที่แกทำอยู่ทุกวันนี้มันใช้ความรู้ทางวิชาการซะที่ไหน จะไปนั่งเรียนให้มันเมื่อยทำไม !”
ดูมันพูดเข้าสิ ทำอย่างกับเพิ่งได้ยินแผนการที่งี่เง่าและผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต คนเค้าจะไปเรียนต่อ ไม่ได้จะหนีตามผู้ชายซะหน่อย ... แก่จนปูนนี้ .... ฉันก็อายุเท่าแกนั่นแหละ เพิ่งจะสามสิบสองขวบเท่านั้นเอง ไม่เห็นแก่ตรงไหนเลย
ถึงคำประชดประชันของเพื่อนจะฟังแล้วแสลงหูไปบ้างแต่ฉันไม่โกรธหรอก คิดซะว่าหากนางไม่ใช่เพื่อนบังเกิดเกล้าคงไม่พูดด้วยความห่วงใย (หรือเปล่าก็ไม่รู้) แบบนี้
เพื่อนก็น่าจะรู้ดีว่าถ้าไม่ไปตอนนี้ ... แล้วแกจะให้ฉันไปตอนไหน นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะแก่การไปเรียนต่อมากที่สุด เพราะว่าฉัน...
1. ไม่มีครอบครัว
2. ก็เลยยังไม่มีลูก
3. แถมไม่มีแฟนอีกต่างหาก
4. ไม่มีภาระหนี้สิ้น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนไอโฟน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ
5. ไม่มีภาระต้องดูแลพ่อแก่แม่ชรา
6. ไม่ได้ทำงานประจำก็เลยไม่ต้องลาออกจากงาน
7. สามารถซื้อตั๋วแล้วหิ้วกระเป๋าขึ้นเครื่องไปได้เลย
แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วสิ่งที่เพื่อนพูดก็สมเหตุสมผลทุกอย่าง งานเขียนบทละครต้องอาศัยจินตนาการมากกว่าความรู้ทางวิชาการ ถึงกระนั้นฉันก็มีเหตุผลของตัวเองที่ไม่ค่อยเหมือนใคร และจะไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางความมุ่งมั่นตั้งใจของว่าที่นักเรียนโข่งคนนี้ได้
“เขาว่ากันว่าการศึกษาคือการลงทุน แกเคยได้ยินไหม”
“แล้วแกมีเงินไปลงทุนเท่าไร”
“...ก็สาม...กว่า ๆ”
“สามล้าน?”
“ไม่ถึงหรอก”
“สามแสน?”
“ไม่ใช่”
“แล้วมันอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าสามหมื่น”
“ก็ประมาณนั้นแหละ”
“นี่แกจะไปเรียนต่อที่อังกฤษด้วยเงินสามหมื่น ! ... เหรอ ... ล้อเล่นใช่ไหม”
อ๊ะ อ๊ะ อย่าดูถูกเงินสามหมื่นสิยะ ถึงมันจะน้อยนิดแต่ก็ทำฝันให้เป็นจริงได้เหมือนกันนะ
ตอนที่เริ่มวางแผนเรื่องกลับไปเรียนต่อ คือช่วงเวลาที่ฉันมีเงินนอนอยู่ในบัญชีประมาณหนึ่งแสนบาท ซึ่งต่อมาก็ค่อย ๆ ร่อยหรอลงไปกับค่าดำเนินการต่าง ๆ ทั้งค่าสอบ IELST ค่าขอวีซ่า ค่าโน่นนี่นั่น รวมทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน สุดท้ายพอถึงวันที่กำลังจะเดินทางไปประเทศอังกฤษเป็นรอบที่สอง เพื่อพยายามเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเป็นครั้งที่สอง ฉันเหลือเงินสดอยู่ในกระเป๋าเพียงสามหมื่นบาท
โฉนดที่ดินติดริมทะเล คอนโดหรูย่านสาธร พันธบัตรรัฐบาล พระเครื่อง แหวนเพชรมรดกจากคุณย่า ก็ไม่มีสักอย่าง (แล้วจะกล่าวถึงทำไม)
ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปเรียนและใช้ชีวิตในลอนดอนมาแล้วครั้งหนึ่ง (เขียนให้ดูดี จริง ๆ แล้วไปเรียนภาษาและทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเสิร์ฟอาหารอยู่ในร้านไทย) เคยสมัครเข้าเรียนป.โทในมหาวิทยาลัยแล้วแต่ยังไม่ได้เรียน เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ห้าปีผ่านไปความฝันยังอยู่คงเดิมและฉันยังไม่มีค่าเทอมเหมือนเดิม
ความฝันนั้นเป็นเรื่องแปลก มันก่อตัวขึ้นในจินตนาการ จากนั้นก็เกาะติดหนึบอยู่กับเราเพื่อเฝ้าทวงถามว่าเมื่อไรจะลงมือทำฝันให้เป็นจริงเสียที หากเราแกล้งทำหูทวนลม มันจะเฝ้าเพียรกระซิบถามซ้ำ ๆ อยู่ร่ำไปว่า ‘เมื่อไร เมื่อไร เมื่อไร...’
และถึงจะอธิบายเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ให้ฟังว่ายังไม่มีตังค์ ไม่มีเวลา ตอนนี้ยังไม่พร้อม รอให้ถูกหวยสักงวดก่อนได้ไหม ฯลฯ แต่ดูเหมือนมันไม่เคยเข้าใจ ยังคงตั้งคำถามเดิม ๆ รบกวนใจเรา ‘เมื่อไร เมื่อไร เมื่อไร...’
เมื่อเห็นว่าเรายังเพิกเฉย ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เหมือนลืมสิ่งที่เคยฝันไว้จนหมดใจ มันก็ปล่อยท่อนฮุกหมัดเด็ดออกมา “แล้วเธอจะมานั่งเสียดายในตอนที่มันสายเกินไปแล้ว”
เหมือนถูกเสยปลายคางจนน๊อคเอ้าท์กลางอากาศ ฉันหลับไปและเห็นภาพตัวเองย่างเข้าสู่วัยเฒ่าชะแลแก่ชรา คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ยังเฝ้าหลอกหลอน แต่เปลี่ยนจากคำถามสั้น ๆ ว่า ‘เมื่อไร เมื่อไร เมื่อไร...’ มาเป็นคำถามยาว ๆ ว่า ‘ทำไมเธอไม่เดินตามความฝันของตัวเองในวันที่ยังมีโอกาส?’
เมื่อรู้สึกตัวตื่น ฉันได้เหตุผลใหม่มาบอกตัวเองว่า การลงมือทำตามความฝันบางครั้งก็ไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรมากมายนักหรอก
แล้วในที่สุดคำถามที่ได้ฟังซ้ำ ๆ เป็นเวลาห้าปีก็กำลังจะจบลง
การเดินทางครั้งนี้เปรียบได้กับการกลับไปปิดจ๊อบ ทำฝันที่ค้างเติ่งให้กลายเป็นความจริงเสียที
Wiser old man กล่าวไว้ว่า ‘คิดทำการใหญ่ต้องวางแผน’
การเดินทางไปเรียนต่อด้วยเงินติดกระเป๋าเพียงสามหมื่นบาทยิ่งต้องวางแผนให้รอบคอบที่สุด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องเงิน ที่พักอาศัย อาหารการกิน ฯลฯ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยวางแผนอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเท่านี้มาก่อน
แต่ว่านะหลายครั้งที่เราวางแผนอะไรไว้ก็ตาม มันมักไม่เป็นไปตามนั้นหรอก ครั้งนี้ก็เหมือนกัน จากตอนแรกที่คิดว่าชีวิตต่อจากนี้คงเป็นไปตามแผนการอย่างราบรื่น แต่ก็ผิดแผนจนได้
สุดท้ายแล้วนักเรียนโข่งจะเรียนจบป.โทอย่างที่มุ่งหวังไว้หรือไม่ จะมีความเป็นอยู่แบบไหน จะประกอบอาชีพอะไร จะหาค่าเทอมได้หรือเปล่า กรุณาติดตามอ่านตอนต่อ ๆ ไป
***เนื่องจากเรื่องราวต่อไปนี้เขียนขึ้นจากเรื่องจริง จึงมีการเปลี่ยนชื่อสถานที่บางที่
และเปลี่ยนชื่อตัวละครทุกคน ยกเว้นชื่อคนเพียงคนเดียว คือ น้อย***
Chapter 1
‘Hello again UK’
เช้าตรู่วันที่ 30 มกราคม นกยักษ์ปีกม่วงที่โดยสารมาร่อนลงแตะรันเวย์สนามบินฮีทโธรว์อย่างนุ่มนวล เมื่อมองผ่านกระจกหน้าต่างออกไป พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า บรรยากาศขมุกขมัว อากาศข้างนอกน่าจะหนาวพอ ๆ กับช่องฟรีซในตู้เย็น
อีกแค่อึดใจเดียวเท่านั้นก็จะได้ก้าวเท้าลงสู่ดินแดนที่อยู่ในความคิดคำนึงตลอดมา ... รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกำลังจะได้กลับมาเจอคนรักเก่า
หลายปีที่ผ่านมาฉันมักคิดถึงการนั่งอาบแดดอุ่น ๆ ต้นฤดูร้อนในสวนสาธารณะเซนต์เจมส์
คิดถึงการเดินเล่นดูของแปลกตาที่ตลาดแคมเดน คิดถึงหนังอินดี้ที่โรงหนังปริ้นซ์ชาร์ล คิดถึงบรรยากาศสบาย ๆ ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ คิดถึงการเข้าไปฉีดน้ำหอมฟรีตามร้านบู้ทส์ แล้วในวันนี้เราก็ได้พบกันเสียที
“ลอนดอนจ๋า here I come”
ความดีใจอันท่วมท้นทำให้การเดินทางข้ามเวลา ข้ามทวีปที่ยาวนานกว่าสิบสามชั่วโมง ไม่ก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลียเลยสักนิด (จะเพลียได้ไง หลับมาตลอดทาง) ตรงกันข้ามกลับรู้สึกสดชื่นเบิกบานพร้อมแล้วสำหรับการผจญภัยครั้งใหม่
พลังงานบวกสูบฉีดปรี๊ดปร๊าดทั่วร่าง ... ว่าแต่ตม.จะตรวจเอกสารอีกนานไหม
พี่เขาตั้งคำถามหลายข้อ พลิกดูเอกสารอยู่หลายรอบ เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจแต่เหมือนนานเป็นชาติ ในที่สุดเจ้าหน้าที่ตม.ร่างยักษ์ประจำสนามบินฮีทโธร์วก็ส่งเอกสารทุกอย่างคืนให้ แต่กลับไม่ยอมให้ผ่านเข้าประเทศ
พี่เขาบอกให้ไปติดต่อที่แผนกตรวจวัณโรค ... ระดับพลังงานบวกลดลงฮวบฮาบ เดจาวูชัด ๆ
ชีวิตนี้ฉันเดินทางเข้าประเทศอังกฤษสองครั้ง ถูกส่งไปตรวจสภาพปอดทั้งสองครั้ง นี่มันหมายความว่าอะไร
รู้สึกใจแป้วฉับพลันแม้ว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกและอาจไม่ได้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อมองซ้ายมองขวาหาเพื่อนร่วมชะตากรรม ก็พบว่าคนที่ออกมาจากเครื่องลำเดียวกันผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปจนเกลี้ยงแล้ว เหลือแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ยังตกค้างอยู่ในนี้
อดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีระเบียบการคัดกรองอย่างไร อยากรู้นะแต่ไม่อยากถาม จำใจเดินไปที่แผนกตรวจวัณโรคเพื่อรอเอ๊กซเรย์ปอด และนั่งรวมกลุ่มอยู่กับคนหน้าตาขี้โรคจากประเทศต่าง ๆ
‘หรือว่าจะถูกส่งกลับ... เราไม่ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทวีปมาเพื่อฉี่ทิ้งไว้ที่สนามบินฮีทโธรว์ แล้วก็นั่งเครื่องกลับบ้านสักหน่อย มันเป็นไปไม่ด้ายยยย....’ (กรีดร้องกับตัวเอง แล้วหยิบบรัชออนขึ้นมาปัดแก้มให้แลดูสุขภาพดีมีเลือดฝาด)
แต่ถึงจะมีทั้งวีซ่า ใบรับรองแพทย์ กับฟิล์มเอ๊กซเรย์ปอดซึ่งยืนยันได้ว่าสุขภาพปกติดีมิได้ป่วยเป็นโรคที่สังคมรังเกียจแต่อย่างใด กลับไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่ตม.ประจำสนามบินฮีทโธรว์จะปล่อยเราเดินฉุยฉายเข้าประเทศไปได้ง่าย ๆ
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมีภารกิจสำคัญในการสแกนหาคนที่มีสารรูปเหมือนพวกสุขภาพเสื่อมโทรม มีแนวโน้มที่จะเป็นพาหะนำเชื้อวัณโรคเข้าสู่ราชอาณาจักร
ในหนังสือ ลอนดอนไดอารี่ นิ้วกลม เล่าไว้ว่าแกก็โดนส่งตัวไปเอ๊กซเรย์ปอดหาเชื้อวัณโรคเหมือนกัน ฉันไม่ได้รู้จักเฮียนิ้วกลมเป็นการส่วนตัว แต่ก็พอรู้ว่าแกไม่ได้มีหุ่นสูงชะลูดตูดปอดยอดขุนพล ออกจะบึกบึนสมส่วนดูมุมไหนก็ไม่เหมือนพวกขี้โรค ถึงกระนั้นแกยังตกเป็นผู้ต้องสงสัย (ว่ามีเชื้อวัณโรค) จนได้
ในเมื่อค่านิยมของคนแถวนี้คือผิวสีแทนเท่ากับสุขภาพดี มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไรถ้าไม่ใช่เพราะผิวขาวราวไก่ต้มของพวกเรานี่แหละ ที่ทำให้พี่ตม.คิดว่าเราป่วย
Wiser old man กล่าวไว้ว่า ‘คนเรามักถูกตัดสินจากเปลือกนอก’
คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เมื่อฉันถูกตัดสินจากเปลือกซึ่งทั้งบอบบางและขาวซีด
นี่ถ้าลงทุนโบกรองพื้นเบอร์เข้มให้ผิวเป็นสีแทนเหมือนเพิ่งกลับมาจากทริปอาบแดดที่สวนสยาม ใส่เสื้อซ้อนห้าชั้นอำพรางหุ่นผอมกระหร่อง ยอมเสียเวลานิดหน่อยตกแต่งเปลือกตัวเองให้ดูมีสุขภาพดีมากที่สุด ฉันอาจผ่านด่านตม.ง่ายขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้
สรุปแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ต่างจากวันที่ฉันมาเยือนลอนดอนครั้งแรก หลังจากทำให้เสียเวลาไปตั้งสองชั่วโมง พี่ตม.ร่างยักษ์สแตมป์ตราประทับลงในเล่มพาสปอร์ต ก่อนจะส่งคืนให้
‘Welcome to England’
วินาทีนั้นฉันไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างที่ควรจะเป็น กลับนึกกังวลกลัวจะคลาดกับคนที่นัดหมายไว้ว่าจะมารับ รีบลากกระเป๋ามุ่งหน้าไปที่ท่ารถโค้ช Central Bus Station เพื่อนั่งรถต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งไม่ใช่ลอนดอน