Let me in. การถูกล้อเลียน ผลกระทบ เปลี่ยนชีวิต

...แด่ทุกคนที่ถูกล้อ...

บทความนี้เขียนเอาไว้ในเพจ "ใกล้มิตรชิดหมอ" ครับ  https://www.facebook.com/Drnextdoor/
ถ้าสนใจหาข้อมูลความรู้สุขภาพที่หลากหลายเข้าไปอ่านกันได้ครับ

หมอเป็นแฟนรายการ Let me in ครับ
นี่บอกกันแบบโต้งๆไม่มีกั๊ก แบบไม่ได้ค่าโฆษณาด้วย
ตามดูตั้งแต่ตอนเป็นเวอร์ชันเกาหลีจนตอนนี้มี Let me in Thailand แล้วก็ตามดูเรื่อยๆเมื่อมีโอกาส
สำหรับใครที่ไม่เคยดูไปหาดูย้อนหลังกันได้ถ้าสนใจ รูปแบบรายการก็ง่ายๆตามชื่อภาษาไทยคือ "ศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต"
หากพูดถึงศัลยกรรมความงาม (cosmetic surgery) ในมุมมองการรับรู้ของคนส่วนใหญ่ ก็อาจจะมองไปที่การเสริมจมูก ทำตาสองชั้น ทำลักยิ้ม เสริมเต้านม เพื่อทำให้ตัวเองดูดีสวยหล่อขึ้นอย่างที่อยากได้
แต่รายการ Let me in นำเสนออีกมุมมองของการทำศัลยกรรมความงาม เป็นการผ่าตัดใบหน้าและอื่นๆเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องผิดปกติ (deformity) ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต (quality of life)

พูดถึงคุณภาพชีวิต คงเป็นคำที่เราได้ยินบ่อยๆ แต่อาจไม่ได้สนใจความหมายมากนัก
คุณภาพชีวิตที่ดี คือการที่คนคนนึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ กินอยู่หลับนอนอย่างเป็นปกติสุข และสามารถเผชิญแก้ไขปัญหาในชีวิต (coping) ได้อย่างมีสุขภาวะ
ซึ่งรายการนี้ได้นำบุคคลที่มีใบหน้าหรือร่างกายที่ผิดปกติจนส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน มาผ่าตัดแก้ไขสร้างใบหน้าใหม่สร้างชีวิตใหม่
ผลกระทบที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพจาก deformity ที่เกิดขึ้น กรณีนี้คือการที่กรามยื่น ฟันไม่สบกัน มีปัญหาในการเคี้ยว





หลายคนได้อ่านมาถึงตอนนี้อาจจะเบะปาก แล้วคิดในใจหรือไม่ก็คิดออกมาดังๆว่า "แหม แค่หน้าเบี้ยวคางยื่น ฟันเข ตาเหล่แค่นี้ จะดราม่าวงเวียนชีวิตอะไรนักหนา คนอื่นเค้ายังอยู่กันได้" ใจร้ายจังครับถ้าคิดแบบนี้

ความเป็นจริงของโลกก็คือ คนเราเข้มแข็งไม่เท่ากัน และผ่านความยากลำบากในชีวิตมาต่างกัน ตราบเท่าที่เราไม่ได้ผ่านอะไรมาเหมือนเค้า เราแทบไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเค้าได้เลย
สำหรับบางคนอาจเป็นเรื่อง "แค่นี้เอง" แต่สำหรับบางคนมันคือแผลเป็นมันคือความเจ็บปวดในชีวิต

จากเท่าที่ติดตามรายการมา แทบจะทุกเคสที่มาออกรายการ มีจุดร่วมที่เหมือนกันคือ ใบหน้าหรือร่างกายที่ผิดปกตินอกจากเจ้าตัวจะรู้อยู่แล้วว่าไม่เหมือนคนอื่น ก็จะได้รับการตอกย้ำด้วยการล้อเลียน ตั้งฉายาเอามาเรียกให้ได้อับอายกันอย่างสนุกปาก ตั้งแต่เด็กจนโต จนทำงานมีครอบครัว "ไอเหยิน ไอหน้าเบี้ยว ไอฟันจอบ ไออัปลักษณ์" คำเหล่านี้ตอกย้ำเจ้าตัวจนเกิดความรู้สึกด้อยค่า ไม่มั่นใจ ผิดแปลก จนเกิดความกดดัน เก็บตัวไม่เข้าสังคม เกิดปัญหาสุขภาพจิตตามมา เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่าพอ ไม่ดีพอที่ใครจะรัก และไม่ดีพอที่จะใช้ชีวิตปกติเยี่ยงคนอื่น


จุดนี้สำคัญ และเป็นประเด็นที่อยากจะเน้นย้ำให้ได้คิดกันมากๆครับ การล้อเลียน ถือเป็นการกลั่นแกล้ง (bullying) รูปแบบหนึ่งไม่ใช่การกลั่นแกล้งทำร้ายร่างกาย (physical bullying) แต่เป็นการพูดเพื่อให้รู้สึกอับอาย (verbal bullying)
บางครั้งเราแค่นึกสนุกปาก เอาปมด้อย เอาความผิดปกติของคนที่ไม่เหมือนเรามาล้อ มาเฮฮา แต่คนที่ถูกล้อถูกย้ำซ้ำๆอย่างนั้นตลอดชีวิต 20-30ปี ไม่มีใครตลกด้วย และมันทำลายชีวิตคนคนนึงแบบเลือดเย็นมากจริงๆ ในเคสตัวอย่างที่เอารูปมาใช้ประกอบบทความ
จนกระทั่งคุณเจษมีลูก2คนแล้ว ความคิดว่าตัวเองผิดปกติและน่าอับอายก็ยังคงฝังลึกในจิตใจ ไม่อยากถ่ายรูปครอบครัว ไม่กล้าไปส่งลูกที่โรงเรียนบ่อยๆ เพราะสายตาคนมอง และกลัวลูกจะต้องมาอับอายเพราะพ่อไม่เหมือนคนอื่น


เป็นเรื่องน่าแปลกที่เราคนไทย มักบอกตัวเองว่าเราใจดี มีน้ำใจ เห็นอกเห็นใจคนอื่น "เป็นชาวพุทธ" แต่สิ่งที่สังเกตเห็นได้จากประสบการณ์คือ คนไทยนี่แหละ สนุกสนานกับการเอาปมด้อยโดยเฉพาะรูปลักษณ์คนอื่นมาพูดกันมากทีเดียว ไม่ต้องมองอะไรไกล แค่คำทักทายเมื่อเจอกันก็บอกทุกอย่างละครับ "อ้วนจังช่วงนี้ ดำขึ้นมั้ยเนี่ย โหสิวเขรอะเลยเธอ" ส่วนตัวหมอเองมีเพื่อนต่างชาติหลายชาติครับ แต่ไม่เคยมีเพื่อนชาติไหนทักทายด้วยรูปลักษณ์มาก่อนแบบคนไทยเลย

คิดตรึกตรองให้ดีก่อนจะพูดอะไรในเชิงล้อเลียนความผิดปกติของคนอื่น เราสนุกปาก 5วินาทีแต่สร้างแผลเป็นทำร้ายใครบางคนไปตลอดชีวิต
Verbal bullying สามารถสร้างผลกระทบต่อจิตใจได้มากแตกต่างกันไปในแต่ละราย จนกลายเป็นภาวะซึมเศร้า รู้สึกไร้ค่า (low self esteem) และเลวร้ายสุดอาจพบการฆ่าตัวตายได้
ถึงยุคนี้แล้วครับ มองคนให้เป็นคน เข้าใจถึงความแตกต่างและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความแตกต่างนั้นแบบใจกว้าง อย่าดูถูกใครเพียงเพราะเค้าไม่เหมือนเรา เพราะทัศนคติแคบๆนิยมความงามในแบบเดียวกันทั้งประเทศ เราจึงเห็นโฆษณา Whitening กันเกลื่อนเมือง

และอีกเรื่องที่อยากจะสรุปไว้ผ่านบทความนี้คือ ศัลยกรรมความงามไม่ใช่เรื่องที่น่าอายหรือต้องปกปิด ไม่ว่าจะทำเพื่อเสริมความมั่นใจหรือทำเพื่อแก้ไขความผิดปกติก็ตาม เพราะสุดท้าย คนที่ต้องตื่นมามองตัวเองเป็นคนแรกในตอนเช้าและคนสุดท้ายก่อนเข้านอน คือตัวเราเอง ถ้าเราไม่สามารถรู้สึกดีภูมิใจกับเงาสะท้อนในกระจกได้แล้ว การใช้ชีวิตที่ดีคงยากเต็มที



ชื่อรายการ Let me in ดูรูปแบบรายการแล้วแปลตรงตัว ก็เหมือนเป็นการของโอกาสเข้าไปในรายการเพื่อทำศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต แต่ถ้ามองให้ลึกไปอีก Let me in อาจจะเป็นการร้องขอโอกาสเพี่อเข้าไปใช้ชีวิตในสังคม เหมือนกับคนอื่นๆ สนุกสนาน ยิ้มได้กว้าง หัวเราะอย่างมั่นใจบนท้องถนน ได้เหมือนทุกๆคน

ชม Let me in Thailand คุณเจษ ที่เป็นแรงบันดาลใจของบทความนี้ตามลิงค์ครับ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ก็หวังว่า บทความนี้จะมีประโยชน์ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต คิดก่อนพูดล้อเลียนหรือทำร้ายใครด้วยวาจา และเอาไว้สอนลูกหลาน อย่าสร้างบาดแผลให้คนอื่นด้วยคำพูดของเรา
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่