จบปริญญาเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสิ่งที่ยากกว่าคือการใช้ชีวิตจริง
อ่านไม่ผิดแน่ๆ ค่ะที่ตาลบอกว่าการจบปริญญาเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็สามารถทำได้
แค่เพียงมีความหมั่นเพียร ตั้งใจเรียน บวกกับหมั่นขยันอ่านหนังสือเอาสักหน่อย
เรื่องเรียนจบได้รับปริญญาก็กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ไกลเกินฝัน
เพราะสิ่งที่ยากและท้าทายมากกว่าการศึกษาในตำราก็คือ การออกมาเผชิญโลกกว้างกับชีวิตความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยการแข่งขันมากมาย
แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากับว่าเราหาเป้าหมายแห่งความสุขในชีวิตของตัวเองไม่เจอ
โดยเฉพาะนักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่สังเวียนของการทำงานมาไม่นาน
แต่พอทำงานไปได้ไม่เท่าไหร่ ความรู้สึกหดหู่และท้อใจหลายร้อยพันกลับถาโถมกันเข้ามา
ไม่ช้า งานที่ทำอยู่และน่าจะกำลังไปได้สวยก็ต้องสะดุด
เพราะสภาวะจิตใจที่เริ่มเขวแบบนี้ ก็เลยทำให้ใครหลายคนมองหาที่ทำงานใหม่ๆ และใหม่ไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมหยุด เลยกลายเป็นว่าเด็กจบใหม่ทำงานไม่เท่าไหร่ก็ชิ่งลาออก ไม่ทนงาน และเบื่อง่ายไปหมด
ซึ่งสาเหตุเหล่านี้อาจเริ่มต้นมาจากต้นตอปัญหาง่ายๆ เลยก็คือ เรายังหาตัวเองไม่เจอ
เพราะการหาตัวตนของความเป็นตัวเองไม่เจอ จึงทำให้รู้สึกคว้าง เว้งว้าง และไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร หรือจะเดินต่อไปทางไหน เมื่อเลือกทางเดินของชีวิตด้วยการทำงานที่ไม่ตรงตามความฝัน ความรู้สึกก็เลยเหมือนไปไม่สุดทางไหนจริงๆ เลยสักทาง
ค้นหาตัวเองให้เจอ
ข้อแรกเลย แนะนำอยากให้ค้นหาตัวตนของตัวเองให้เจอค่ะ ยิ่งเราพบความชอบจริงๆ ของตัวเองเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่จะเดินทางตามฝันหรือประสบความสำเร็จก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
ตั้งเป้าหมายในการทำงาน
สำหรับข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานเลยค่ะ เรียกง่ายๆ ว่าตั้งแต่เราลืมตาตื่นขึ้นมาจากที่นอนเราจะต้องกำหนดเป้าหมายที่แน่นอนที่จะทำในแต่ละวันให้ชัดเจน อย่างน้อยก็ควรรู้ว่าวันนี้เราจะไปทำงานเรื่องอะไร มีงานอันไหนที่ยังค้างคาหรือต้องสะสางให้เสร็จบ้าง
สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง
ต่อให้ร่างกายแข็งแรงแค่ไหน แต่ถ้าจิตใจไม่พร้อมอะไรก็ดูยุ่งยากและลำบากไปหมด
สำหรับตัวตาลเองก็จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองทุกๆ วันเหมือนกันค่ะ
เพราะจะช่วยเพิ่มพลังแง่บวกให้กับความคิดได้เป็นอย่างดี
ซึ่งจริงๆ แล้วการสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองไม่ต้องลงทุนอะไรแพงๆ เลย
เพียงแค่เริ่มต้นจากการเรียกความมั่นใจและพยายามบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าเราเป็นคนที่
"โคตรเจ๋ง" มันให้พลังในด้านบวกได้พอตัวทีเดียว เพราะนั่นหมายถึงว่าเราจะมีความเชื่อมั่นและมั่นใจในตัวเองในการทำงาน การพูดคุย หรือการเข้าสังคมได้เป็นอย่างดีโดยไม่รู้สึกประหม่านั่นเองค่ะ
เหมือนอย่างที่ใครหลายคนเคยบอกไว้ว่า ถ้าเราคิดว่ามันดี มันก็จะดี เช่นกันค่ะ ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ ก็ไม่มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับความสามารถของเราแน่นอน
มีทัศนคติที่ดี
คนที่จะทำงานอย่างมีความสุขได้ต้องมีทัศนคติที่ดีต่องานค่ะ ถึงแม้หลายคนอาจไม่ได้ทำงานตามที่ตัวเองวาดฝันเอาไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต เพราะความรู้สึกเหล่านี้เราสามารถปรับเปลี่ยนดีเอ็นเอของความรู้สึกกันได้ ง่ายๆ อยู่ที่ใจล้วนๆ ค่ะ ว่าเราอยากทำงานอย่างทุกข์ๆ หรืออยู่อย่างมีความสุขในทุกการทำงาน
เริ่มง่ายๆ คือการกรอกข้อมูลดีๆ ให้กับความคิดตัวเองเป็นประจำค่ะ อย่างตาลเองก็จะพยายามทำแบบนี้วันละหลายๆ รอบ เราต้องมองให้เห็นข้อดีของงานที่ทำ หรือถ้ามันไม่ไหวเลย ก็คิดแค่ว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน...จะมีเงินได้ คนเราก็ต้องทำงาน และเจ้านายหรือองค์กรเขาจะจ้างเราต่อมั้ย นี่อยู่ที่การกระทำและฝีมือจริงๆ นะ ฉะนั้น อย่าไปคิดอะไรแง่ลบให้บั่นทอนกำลังใจ เก็บหัวใจไว้ใช้พัฒนางานให้ดีขึ้นดีกว่าเยอะค่ะ
ตรวจสอบผลงาน
อย่างที่บอกไปว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน การทำงานให้ดีที่สุดที่สามารถนำความสุขมาให้เราได้ก็ขึ้นอยู่ที่กระบวนการตรวจสอบความผิดพลาดในงานของเราด้วยเหมือนกันค่ะ
ตัวอย่างเช่น ทำงานผิดพลาดหนึ่งครั้ง เจ้านายหักเงินเดือน ลดโบนัส ถ้าเราไม่พยายามแก้ไขหรือหมั่นตรวจสอบผลงานที่ผ่านๆ ไป ของตัวเองอยู่เสมอก็จะทำให้เราไม่รู้ข้อบกพร่องและความผิดพลาดของตัวเองเลย ซึ่งแน่นอนว่าผลงานจะไม่มีการพัฒนา ซ้ำอาจแย่ลง แล้วคราวนี้เจ้านายก็จะเรียกเราไปตักเตือน แน่นอนว่าสถานการณ์เช่นนี้มันน่าอึดอัดใช่มั้ยล่ะ ในที่สุดเราก็จะเบื่องานที่ทำ เบื่อองค์กร ถึงขั้นอยากลาออกจนต้องเปลี่ยนงานบ่อยๆ ก็ได้
ไขว่คว้าความรู้รอบตัวอยู่เสมอ
ถ้าพูดถึงการไขว่คว้าความรู้รอบตัวเพื่อมาใช้ในการพัฒนาผลงาน ฟังดูแล้วอาจทำให้รู้สึกหนักไปสักหน่อยใช่มั้ยคะ แต่เราสามารถพัฒนาความสามารถหรือค้นหาเกร็ดน่ารู้เล็กๆ น้อยๆ จากไลฟ์สไตล์ที่เราชื่นชอบก็ได้ เช่น การอ่านหนังสือที่น่าสนใจสักเล่ม การพูดคุยกับผู้คนรอบๆ ตัว หรือแม้แต่การออกไปดูหนังดีๆ สักเรื่องก็ช่วยเพิ่มพูนความรู้หรือแง่คิดต่างๆ ได้ไม่น้อยเลยค่ะ
วางแผนการเงินของชีวิตให้มั่นคง
ทุกวันนี้ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น แม้แต่จะดื่มกาแฟสักแก้วยังราคาเหยีบร้อย ลองคิดดูสิคะว่าถ้าเราเป็นนักศึกษาเพิ่งจบมาใหม่และเริ่มทำงานได้ไม่นาน วันๆ เอาแต่ใช้ชีวิตไปอย่างไม่มีแบบแผนเลยจะเป็นยังไง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อายุ 30 อัพ แต่กลับไม่มีเงินเก็บเลยสักบาท ฟังดูแล้วก็น่าท้อใจจนไม่อยากทำงานต่อ
ทางที่ดีที่อยากแนะนำก็คือ เราอย่าเพิ่งรีบใช้วิถีสโลว์ไลฟ์ไปกับการละเลียดกาแฟแพงๆ หรือช้อปแบรนด์เนมหรูๆ ในตอนนี้ แต่ควรเลือกใช้เงินซื้อในสิ่งที่จำเป็น ควรตั้งคำถามกับตัวเองหลายๆ รอบค่ะว่าเราจะซื้อมาเพื่ออะไร ใช้ทำอะไร ใช้บ่อยแค่ไหน และอาหารหรือขนมจานนั้นมันราคาเกินจำเป็นไปมั้ย บางทีแค่เค้กชิ้นเล็กๆ แต่ราคาใหญ่ใช่ย่อย แนะนำให้ท่องไว้เลยค่ะว่าอาหารที่เราจะซื้อรับประทาน จ่ายแพงไปเพื่อแลกกับไขมันหรือความอ้วนมาทำร้ายร่างกายเราเอง ฉะนั้นก็ไม่ต้องไปสรรหากินให้มากมาย นานๆ ครั้งก็พอค่ะ
นอกจากนี้เรายังควรจัดสรรปันส่วนเงินให้เป็นระบบ คือต้องรู้ว่าเงินเดือนเท่านี้เราจะเก็บเท่าไหร่ ต้องใช้จริงๆ เท่าไหร่ คำนวนไว้ด้วยว่าถ้าเก็บต่อเดือนเท่านี้ ปีหนึ่งจะมีเงินเท่าไหร่ และภายในกี่ปีข้างหน้าเราจะมีเงินก้อนเท่าไหร่ สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ตาลเองพยายามทำอยู่เป็นประจำและช่วยให้เราสามารถมองเห็นภาพอนาคตสำหรับชีวิตของตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้นค่ะ ที่สำคัญการมีเงินเก็บนี่แหละที่ช่วยทำให้เรามีกำลังใจในการทำงานและมีความสุขได้อย่างไม่น่าเชื่อ
โฟกัสความรักที่ดี
อีกหนึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลกับความสุขในการทำงานไม่แพ้กันเลยก็คือเรื่องของความรักค่ะ
โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวที่เป็นช่วงวัยกำลังโหยหาความรัก สำหรับคนที่มีความรักดีๆ อยู่แล้วก็คงไม่ค่อยมีผลลบกับการทำงานเท่าไหร่ แต่ถ้าวันดีคืนดีรักที่มีกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่ว่าอะไรก็ไม่อยากทำทั้งนั้น แถมจะพาลทำให้เศร้าหมองไปกับทุกเรื่องในชีวิต แม้แต่นั่งทำงานก็ยังไม่มีความสุข
แต่ถึงการอกหักจะเป็นเรื่องยากที่จะทำใจและต้องใช้เวลา แต่การจมอยู่กับน้ำตาและรอยแผลเป็นเดิมๆ ด้วยการตอกซ้ำย้ำคิดทุกวันไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก ข้อนี้แนะนำให้โฟกัสอยู่กับงานให้มากๆ ค่ะ คือพยายามหาอะไรทำ อย่าปล่อยให้ตัวเองยึดติดหรือมีเวลาไปคิดทบทวนเรื่องเดิมๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ตาลอยากให้ทุกคนคิดไว้เสมอค่ะว่าเราต่างก็มีคุณค่าในตัวเอง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมคนดีๆ ที่คู่ควรกับเราก็จะมาเอง
ระหว่างนี้เราจึงต้องโฟกัสไปที่การทำงานให้ดี เมื่อเรามีงาน มีเงิน มีความมั่นคงมากพอ ถึงเวลานั้นแล้วใครเขาจะไม่เห็นคุณค่าในตัวเราก็ปล่อยเขาไป แต่เรามีลมหายใจอยู่กับชีวิตตัวเองอย่างมีความสุขก็พอค่ะ
ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ
หากถามว่าการดูแลตัวเองให้ดีนั้นมีความสำคัญกับการทำงานอย่างความสุขยังไง อย่างน้อยที่สุดเราเห็นตัวเองดูสวย ดูหล่อ เราก็จะมีความมั่นใจในการเผชิญโลกกว้างมากขึ้น เราสามารถกล้าคิด กล้าทำ หรือทำสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่กลัวใคร ซึ่งตาลขอคอนเฟิร์มจากประสบการณ์ตรงของตัวเองเลยว่าจริงค่ะ
เมื่อก่อนตาลก็เป็นคนเรียบร้อย ขี้อายมาก ไม่ค่อยกล้าคิด กล้าแสดงออกเท่าไหร่ ไม่ชอบแต่งหน้าทาครีมอะไรเลย เวลาไปไหนก็จะดูกลัวโลกไปหมดจนคนเขาก็มองว่าเราติ๋มๆ จะทำอะไรก็ได้ไม่ต้องเกรงใจ ซึ่งนั่นมันจะทำให้ชีวิตทั้งวันและทุกวันของเราดูเฟลไปหมด
หลังจากเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยพอเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนามาเรื่อยๆ จนปัจจุบัน อะไรๆ ก็ดีขึ้นค่ะ อย่างเวลาไปทำงาน พอเสื้อผ้าหน้าผมพร้อมก็ช่วยเรียกความมั่นใจในการเข้าสังคมได้ดี และดูเป็นมืออาชีพที่มีความพร้อมในการใช้ชีวิตท่ามกลางกระแสสังคมได้โดยไม่รู้สึกประหม่า ซึ่งจะเป็นผลดีกับการใช้ชีวิตในการทำงานได้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยค่ะ
หาเวลาผ่อนคลาย
ความสุขในการทำงานไม่ได้เกิดขึ้นได้เพียงเพราะต้องทุ่มเทอยู่กับงานเพียงอย่างเดียว แต่เราควรหาเวลาและโอกาสไปเติมพลังให้กับชีวิตตัวเองบ้าง เพื่อทำให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า อาจไม่ต้องเดินทางไปที่ไหนไกลๆ เพียงแค่ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว งานอดิเรกที่ชอบ หรือการนั่งนิ่งๆ อยู่กับตัวเองอย่างมีสติก็นับว่าเป็นการรีชาร์จตัวเองให้พร้อมกลับไปทำงานได้อย่างมีความสุขแล้วค่ะ
จากทั้งหมดที่นำมาบอกเล่าสู่กันฟังนี้ก็เป็นวิธีที่ตาลได้ทดลองนำมาใช้เองในชีวิตประจำแล้วจริงๆ ค่ะ แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเราสามารถอยู่กับงานได้อย่างมีความสุข อยากตื่นมาทำงานทุกๆ วันโดยไม่รู้สึกเบื่อ เพียงแค่มีระบบประมวลผลทางความคิดและความรู้สึกที่ดี มวลแห่งความสุขในเรื่องต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาเองค่ะ
เป็นเด็กยุคใหม่ ทำงานยังไงให้มีความสุข
จบปริญญาเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสิ่งที่ยากกว่าคือการใช้ชีวิตจริง
อ่านไม่ผิดแน่ๆ ค่ะที่ตาลบอกว่าการจบปริญญาเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็สามารถทำได้
แค่เพียงมีความหมั่นเพียร ตั้งใจเรียน บวกกับหมั่นขยันอ่านหนังสือเอาสักหน่อย
เรื่องเรียนจบได้รับปริญญาก็กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ไกลเกินฝัน
เพราะสิ่งที่ยากและท้าทายมากกว่าการศึกษาในตำราก็คือ การออกมาเผชิญโลกกว้างกับชีวิตความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยการแข่งขันมากมาย
แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากับว่าเราหาเป้าหมายแห่งความสุขในชีวิตของตัวเองไม่เจอ
โดยเฉพาะนักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่สังเวียนของการทำงานมาไม่นาน
แต่พอทำงานไปได้ไม่เท่าไหร่ ความรู้สึกหดหู่และท้อใจหลายร้อยพันกลับถาโถมกันเข้ามา
ไม่ช้า งานที่ทำอยู่และน่าจะกำลังไปได้สวยก็ต้องสะดุด
เพราะสภาวะจิตใจที่เริ่มเขวแบบนี้ ก็เลยทำให้ใครหลายคนมองหาที่ทำงานใหม่ๆ และใหม่ไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมหยุด เลยกลายเป็นว่าเด็กจบใหม่ทำงานไม่เท่าไหร่ก็ชิ่งลาออก ไม่ทนงาน และเบื่อง่ายไปหมด
ซึ่งสาเหตุเหล่านี้อาจเริ่มต้นมาจากต้นตอปัญหาง่ายๆ เลยก็คือ เรายังหาตัวเองไม่เจอ
เพราะการหาตัวตนของความเป็นตัวเองไม่เจอ จึงทำให้รู้สึกคว้าง เว้งว้าง และไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร หรือจะเดินต่อไปทางไหน เมื่อเลือกทางเดินของชีวิตด้วยการทำงานที่ไม่ตรงตามความฝัน ความรู้สึกก็เลยเหมือนไปไม่สุดทางไหนจริงๆ เลยสักทาง
ค้นหาตัวเองให้เจอ
ข้อแรกเลย แนะนำอยากให้ค้นหาตัวตนของตัวเองให้เจอค่ะ ยิ่งเราพบความชอบจริงๆ ของตัวเองเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่จะเดินทางตามฝันหรือประสบความสำเร็จก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
ตั้งเป้าหมายในการทำงาน
สำหรับข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานเลยค่ะ เรียกง่ายๆ ว่าตั้งแต่เราลืมตาตื่นขึ้นมาจากที่นอนเราจะต้องกำหนดเป้าหมายที่แน่นอนที่จะทำในแต่ละวันให้ชัดเจน อย่างน้อยก็ควรรู้ว่าวันนี้เราจะไปทำงานเรื่องอะไร มีงานอันไหนที่ยังค้างคาหรือต้องสะสางให้เสร็จบ้าง
สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง
ต่อให้ร่างกายแข็งแรงแค่ไหน แต่ถ้าจิตใจไม่พร้อมอะไรก็ดูยุ่งยากและลำบากไปหมด
สำหรับตัวตาลเองก็จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองทุกๆ วันเหมือนกันค่ะ
เพราะจะช่วยเพิ่มพลังแง่บวกให้กับความคิดได้เป็นอย่างดี
ซึ่งจริงๆ แล้วการสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองไม่ต้องลงทุนอะไรแพงๆ เลย
เพียงแค่เริ่มต้นจากการเรียกความมั่นใจและพยายามบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าเราเป็นคนที่ "โคตรเจ๋ง" มันให้พลังในด้านบวกได้พอตัวทีเดียว เพราะนั่นหมายถึงว่าเราจะมีความเชื่อมั่นและมั่นใจในตัวเองในการทำงาน การพูดคุย หรือการเข้าสังคมได้เป็นอย่างดีโดยไม่รู้สึกประหม่านั่นเองค่ะ
เหมือนอย่างที่ใครหลายคนเคยบอกไว้ว่า ถ้าเราคิดว่ามันดี มันก็จะดี เช่นกันค่ะ ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ ก็ไม่มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับความสามารถของเราแน่นอน
มีทัศนคติที่ดี
คนที่จะทำงานอย่างมีความสุขได้ต้องมีทัศนคติที่ดีต่องานค่ะ ถึงแม้หลายคนอาจไม่ได้ทำงานตามที่ตัวเองวาดฝันเอาไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต เพราะความรู้สึกเหล่านี้เราสามารถปรับเปลี่ยนดีเอ็นเอของความรู้สึกกันได้ ง่ายๆ อยู่ที่ใจล้วนๆ ค่ะ ว่าเราอยากทำงานอย่างทุกข์ๆ หรืออยู่อย่างมีความสุขในทุกการทำงาน
เริ่มง่ายๆ คือการกรอกข้อมูลดีๆ ให้กับความคิดตัวเองเป็นประจำค่ะ อย่างตาลเองก็จะพยายามทำแบบนี้วันละหลายๆ รอบ เราต้องมองให้เห็นข้อดีของงานที่ทำ หรือถ้ามันไม่ไหวเลย ก็คิดแค่ว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน...จะมีเงินได้ คนเราก็ต้องทำงาน และเจ้านายหรือองค์กรเขาจะจ้างเราต่อมั้ย นี่อยู่ที่การกระทำและฝีมือจริงๆ นะ ฉะนั้น อย่าไปคิดอะไรแง่ลบให้บั่นทอนกำลังใจ เก็บหัวใจไว้ใช้พัฒนางานให้ดีขึ้นดีกว่าเยอะค่ะ
ตรวจสอบผลงาน
อย่างที่บอกไปว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน การทำงานให้ดีที่สุดที่สามารถนำความสุขมาให้เราได้ก็ขึ้นอยู่ที่กระบวนการตรวจสอบความผิดพลาดในงานของเราด้วยเหมือนกันค่ะ
ตัวอย่างเช่น ทำงานผิดพลาดหนึ่งครั้ง เจ้านายหักเงินเดือน ลดโบนัส ถ้าเราไม่พยายามแก้ไขหรือหมั่นตรวจสอบผลงานที่ผ่านๆ ไป ของตัวเองอยู่เสมอก็จะทำให้เราไม่รู้ข้อบกพร่องและความผิดพลาดของตัวเองเลย ซึ่งแน่นอนว่าผลงานจะไม่มีการพัฒนา ซ้ำอาจแย่ลง แล้วคราวนี้เจ้านายก็จะเรียกเราไปตักเตือน แน่นอนว่าสถานการณ์เช่นนี้มันน่าอึดอัดใช่มั้ยล่ะ ในที่สุดเราก็จะเบื่องานที่ทำ เบื่อองค์กร ถึงขั้นอยากลาออกจนต้องเปลี่ยนงานบ่อยๆ ก็ได้
ไขว่คว้าความรู้รอบตัวอยู่เสมอ
ถ้าพูดถึงการไขว่คว้าความรู้รอบตัวเพื่อมาใช้ในการพัฒนาผลงาน ฟังดูแล้วอาจทำให้รู้สึกหนักไปสักหน่อยใช่มั้ยคะ แต่เราสามารถพัฒนาความสามารถหรือค้นหาเกร็ดน่ารู้เล็กๆ น้อยๆ จากไลฟ์สไตล์ที่เราชื่นชอบก็ได้ เช่น การอ่านหนังสือที่น่าสนใจสักเล่ม การพูดคุยกับผู้คนรอบๆ ตัว หรือแม้แต่การออกไปดูหนังดีๆ สักเรื่องก็ช่วยเพิ่มพูนความรู้หรือแง่คิดต่างๆ ได้ไม่น้อยเลยค่ะ
วางแผนการเงินของชีวิตให้มั่นคง
ทุกวันนี้ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น แม้แต่จะดื่มกาแฟสักแก้วยังราคาเหยีบร้อย ลองคิดดูสิคะว่าถ้าเราเป็นนักศึกษาเพิ่งจบมาใหม่และเริ่มทำงานได้ไม่นาน วันๆ เอาแต่ใช้ชีวิตไปอย่างไม่มีแบบแผนเลยจะเป็นยังไง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อายุ 30 อัพ แต่กลับไม่มีเงินเก็บเลยสักบาท ฟังดูแล้วก็น่าท้อใจจนไม่อยากทำงานต่อ
ทางที่ดีที่อยากแนะนำก็คือ เราอย่าเพิ่งรีบใช้วิถีสโลว์ไลฟ์ไปกับการละเลียดกาแฟแพงๆ หรือช้อปแบรนด์เนมหรูๆ ในตอนนี้ แต่ควรเลือกใช้เงินซื้อในสิ่งที่จำเป็น ควรตั้งคำถามกับตัวเองหลายๆ รอบค่ะว่าเราจะซื้อมาเพื่ออะไร ใช้ทำอะไร ใช้บ่อยแค่ไหน และอาหารหรือขนมจานนั้นมันราคาเกินจำเป็นไปมั้ย บางทีแค่เค้กชิ้นเล็กๆ แต่ราคาใหญ่ใช่ย่อย แนะนำให้ท่องไว้เลยค่ะว่าอาหารที่เราจะซื้อรับประทาน จ่ายแพงไปเพื่อแลกกับไขมันหรือความอ้วนมาทำร้ายร่างกายเราเอง ฉะนั้นก็ไม่ต้องไปสรรหากินให้มากมาย นานๆ ครั้งก็พอค่ะ
นอกจากนี้เรายังควรจัดสรรปันส่วนเงินให้เป็นระบบ คือต้องรู้ว่าเงินเดือนเท่านี้เราจะเก็บเท่าไหร่ ต้องใช้จริงๆ เท่าไหร่ คำนวนไว้ด้วยว่าถ้าเก็บต่อเดือนเท่านี้ ปีหนึ่งจะมีเงินเท่าไหร่ และภายในกี่ปีข้างหน้าเราจะมีเงินก้อนเท่าไหร่ สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ตาลเองพยายามทำอยู่เป็นประจำและช่วยให้เราสามารถมองเห็นภาพอนาคตสำหรับชีวิตของตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้นค่ะ ที่สำคัญการมีเงินเก็บนี่แหละที่ช่วยทำให้เรามีกำลังใจในการทำงานและมีความสุขได้อย่างไม่น่าเชื่อ
โฟกัสความรักที่ดี
อีกหนึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลกับความสุขในการทำงานไม่แพ้กันเลยก็คือเรื่องของความรักค่ะ
โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวที่เป็นช่วงวัยกำลังโหยหาความรัก สำหรับคนที่มีความรักดีๆ อยู่แล้วก็คงไม่ค่อยมีผลลบกับการทำงานเท่าไหร่ แต่ถ้าวันดีคืนดีรักที่มีกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่ว่าอะไรก็ไม่อยากทำทั้งนั้น แถมจะพาลทำให้เศร้าหมองไปกับทุกเรื่องในชีวิต แม้แต่นั่งทำงานก็ยังไม่มีความสุข
แต่ถึงการอกหักจะเป็นเรื่องยากที่จะทำใจและต้องใช้เวลา แต่การจมอยู่กับน้ำตาและรอยแผลเป็นเดิมๆ ด้วยการตอกซ้ำย้ำคิดทุกวันไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก ข้อนี้แนะนำให้โฟกัสอยู่กับงานให้มากๆ ค่ะ คือพยายามหาอะไรทำ อย่าปล่อยให้ตัวเองยึดติดหรือมีเวลาไปคิดทบทวนเรื่องเดิมๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ตาลอยากให้ทุกคนคิดไว้เสมอค่ะว่าเราต่างก็มีคุณค่าในตัวเอง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมคนดีๆ ที่คู่ควรกับเราก็จะมาเอง
ระหว่างนี้เราจึงต้องโฟกัสไปที่การทำงานให้ดี เมื่อเรามีงาน มีเงิน มีความมั่นคงมากพอ ถึงเวลานั้นแล้วใครเขาจะไม่เห็นคุณค่าในตัวเราก็ปล่อยเขาไป แต่เรามีลมหายใจอยู่กับชีวิตตัวเองอย่างมีความสุขก็พอค่ะ
ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ
หากถามว่าการดูแลตัวเองให้ดีนั้นมีความสำคัญกับการทำงานอย่างความสุขยังไง อย่างน้อยที่สุดเราเห็นตัวเองดูสวย ดูหล่อ เราก็จะมีความมั่นใจในการเผชิญโลกกว้างมากขึ้น เราสามารถกล้าคิด กล้าทำ หรือทำสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่กลัวใคร ซึ่งตาลขอคอนเฟิร์มจากประสบการณ์ตรงของตัวเองเลยว่าจริงค่ะ
เมื่อก่อนตาลก็เป็นคนเรียบร้อย ขี้อายมาก ไม่ค่อยกล้าคิด กล้าแสดงออกเท่าไหร่ ไม่ชอบแต่งหน้าทาครีมอะไรเลย เวลาไปไหนก็จะดูกลัวโลกไปหมดจนคนเขาก็มองว่าเราติ๋มๆ จะทำอะไรก็ได้ไม่ต้องเกรงใจ ซึ่งนั่นมันจะทำให้ชีวิตทั้งวันและทุกวันของเราดูเฟลไปหมด
หลังจากเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยพอเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนามาเรื่อยๆ จนปัจจุบัน อะไรๆ ก็ดีขึ้นค่ะ อย่างเวลาไปทำงาน พอเสื้อผ้าหน้าผมพร้อมก็ช่วยเรียกความมั่นใจในการเข้าสังคมได้ดี และดูเป็นมืออาชีพที่มีความพร้อมในการใช้ชีวิตท่ามกลางกระแสสังคมได้โดยไม่รู้สึกประหม่า ซึ่งจะเป็นผลดีกับการใช้ชีวิตในการทำงานได้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยค่ะ
หาเวลาผ่อนคลาย
ความสุขในการทำงานไม่ได้เกิดขึ้นได้เพียงเพราะต้องทุ่มเทอยู่กับงานเพียงอย่างเดียว แต่เราควรหาเวลาและโอกาสไปเติมพลังให้กับชีวิตตัวเองบ้าง เพื่อทำให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า อาจไม่ต้องเดินทางไปที่ไหนไกลๆ เพียงแค่ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว งานอดิเรกที่ชอบ หรือการนั่งนิ่งๆ อยู่กับตัวเองอย่างมีสติก็นับว่าเป็นการรีชาร์จตัวเองให้พร้อมกลับไปทำงานได้อย่างมีความสุขแล้วค่ะ
จากทั้งหมดที่นำมาบอกเล่าสู่กันฟังนี้ก็เป็นวิธีที่ตาลได้ทดลองนำมาใช้เองในชีวิตประจำแล้วจริงๆ ค่ะ แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเราสามารถอยู่กับงานได้อย่างมีความสุข อยากตื่นมาทำงานทุกๆ วันโดยไม่รู้สึกเบื่อ เพียงแค่มีระบบประมวลผลทางความคิดและความรู้สึกที่ดี มวลแห่งความสุขในเรื่องต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาเองค่ะ