แม้ พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ได้สั่งการให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กลับไปตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์เพิ่มเติมอีก 2-3 ประเด็น เพื่อคลายข้อสงสัยของสังคม โดยเฉพาะเรื่องการเรียกรับค่าหัวคิว หลัง สตง. สรุปผลการตรวจสอบมาให้กับ พล.อ. ไพบูลย์ ว่า โครงการดังกล่าว “ไม่มีการทุจริต”
แต่มีแนวโน้มว่าเรื่องนี้จะจบลงว่า “ไม่มีการทุจริต” โดยที่ประชาชนทั่วไปแทบไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนี้เลย ทั้งที่ใช้งบบางส่วนจากเงินภาษีของประชาชน โดยเฉพาะงบกลาง 63 ล้านบาท ไม่รวมถึงเงินบริจาคจากภาคเอกชนอีกหลายร้อยล้านบาท ซึ่งทั้งหมดได้เบิกจ่ายผ่านหน่วยงานของรัฐ ภายใต้กองทัพบก (ทบ.) ทำให้ไม่เพียงต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้สาธารณชนได้ตรวจสอบ อย่างน้อย 3 ฉบับ ประกอบด้วย
พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (กฎหมาย ป.ป.ช.)
มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556
แต่กรณีอุทยานราชภักดิ์อาจพูดได้ว่า ล้มเหลวในการปฏิบัติตามกฎหมายทั้ง 3 ฉบับเกือบจะสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ผู้เกี่ยวข้องยืนยันผ่านสื่อหลายครั้ง ว่าโครงการนี้ “โปร่งใส พร้อมเปิดเผยข้อมูลให้ตรวจสอบได้” ก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาจริง กลับยากที่จะเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าว
สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า จะขอแยกเป็นรายประเด็นว่า รัฐบาล คสช. ล้มเหลวในการเปิดเผยข้อมูลกรณีอุทยานราชภักดิ์ในแง่มุมใดบ้าง
เปิดข้อมูลจัดซื้อจัดจ้าง
ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 “สรุปผลการจัดซื้อจัดจ้างรายเดือน” เป็นข้อมูลที่ต้องเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจดูได้ “โดยอัตโนมัติ”
1. ไม่เปิดเผยข้อมูล ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องเปิด “โดยอัตโนมัติ”
ประเทศไทยเคยได้รับการยกย่องว่ามีกฎหมายข้อมูลข่าวสารที่ก้าวหน้าที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย เมื่อมีการตรา พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ออกมาในปี 2540 เพื่อเพิ่มสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานของรัฐแก่ประชาชน โดยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างถือเป็น “ข้อมูลพื้นฐาน” ที่ต้องเปิดเผย “โดยอัตโนมัติ” ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ข้อ 9 (8) ประกอบกับประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องขอ
แต่กรณีอุทยานราชภักดิ์ เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ ทบ. เพื่อขอตรวจดูข้อมูล “สรุปการจัดซื้อจัดจ้างประจำเดือน” ของหน่วยงานภายใน ทบ. ในปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม 2557 – กันยายน 2558) ซึ่งเป็นช่วงที่ พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร เป็นผู้บัญชาการทหารบก และริเริ่มโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ปรากฏว่า หน่วยงานภายใน ทบ. ที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นกรมกิจการพลเรือนทหารบก (กร.ทบ.) หรือกรมยุทธโยธาทหารบก (ยย.ทบ.) กลับจัดส่งข้อมูลมายังศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารของ ทบ. ให้ตรวจดูไม่ครบถ้วน
ท้ายที่สุด จึงต้องยื่นคำร้องขอตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ มาตรา 11 ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2559 แต่แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 3 เดือนก็ยังได้เอกสารที่ยื่นขอไปไม่ครบถ้วน
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (กฎหมาย ป.ป.ช.) มาตรา 103/7 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องเปิดเผยราคากลางโครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดไว้บนเว็บไซต์
กฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/7 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องเปิดเผยราคากลางโครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดไว้บนเว็บไซต์ เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจดูได้
ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงการไม่เปิดเผย “ราคากลาง” โครงการจัดซื้อจัดจ้าง ไว้บนเว็บไซต์หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/7 ซึ่ง ครม. เคยมีมติเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 สั่งการให้หน่วยงานของรัฐทุกกระทรวง ทบวง กรม ต้องปฏิบัติตาม เพราะจากการตรวจสอบโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้องกับอุทยานราชภักดิ์ ทั้ง 43 โครงการ รวมวงเงินกว่า 900 ล้านบาท มีการเปิดเผยราคากลางของโครงการไว้เพียง 5 โครงการ ที่ใช้งบกลางเท่านั้น
2. มีการดึงเวลาหรือปฏิเสธคำขอเมื่อใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เคยวิจัยปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ โดยระบุถึงอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพไว้หลายประการ ซึ่งรวมถึงการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเลือกที่จะ “ปกปิด” มากกว่า “เปิดเผย” รวมถึงกระบวนการต่างๆ ในการพิจารณาว่าจะเปิดเผยหรือไม่ ที่ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน
กรณีอุทยานราชภักดิ์ มีผู้สื่อข่าวขอใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ มาตรา 11 ยื่นคำร้องขอข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมและ ทบ. อย่างน้อย 3 คำร้อง แต่ทุกคำร้องจะประสบปัญหาที่ใกล้เคียงกัน คือ หากไม่ได้รับการปฏิเสธ ก็มักดำเนินการอย่างล่าช้า
หนังสือตอบกลับจาก พล.ต.ปัณณทัต กาญจนวสิต เลขานุการกองทัพบก กรณีที่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ยื่นคำร้องตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งปัจจุบันผ่านมากว่า 3 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้รับข้อมูลตามที่ยื่นขอแต่อย่างใด
หนังสือตอบกลับจาก พล.ต.ปัณณทัต กาญจนวสิต เลขานุการกองทัพบก กรณีที่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ยื่นคำร้องตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 11 ขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ จากหน่วยงานภายในกองทัพบก แต่แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 3 เดือนนับแต่วันที่ยื่นคำขอ ก็ยังได้รับข้อมูลที่ร้องขอไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับ “ราคากลาง” ที่ยังไม่ได้มาเลยแม้แต่แผ่นเดียว
– คำร้องแรก สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ยื่นต่อศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร ทบ. เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ขอสรุปผลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภายใน ทบ. ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยเฉพาะของ กร.ทบ. และ ยย.ทบ. รวมถึงราคากลางโครงการที่เกี่ยวข้อง
ผลปรากฏว่า การดำเนินการตามคำร้องนี้เป็นไปอย่างล่าช้า แม้เจ้าหน้าที่ของศูนย์บริหารข้อมูลข่าวสาร ทบ. จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ติดตาม เร่งรัด และทวงถามให้ แต่หน่วยงานภายใน ทบ. ที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่จัดส่งข้อมูลมาให้ กระทั่งสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าต้องยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (กขร.) เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559 ซึ่งแม้เวลาต่อมา จะมีเอกสารสรุปผลการจัดซื้อจัดจ้างของ กร.ทบ. และ ยย.ทบ. มาให้จนครบถ้วน แต่ก็ต้องใช้เวลาถึง 3 เดือนหลังยื่นคำร้อง นอกจากนี้ ยังขาดข้อมูลราคากลางโครงการที่เกี่ยวข้องกับอุทยานราชภักดิ์
– คำร้องที่ 2 สำนักข่าวอิศรา ยื่นต่อศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร ทบ. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ขอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชุด พล.อ. วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล รวมถึงยอดเงินและรายชื่อผู้บริจาคทั้งหมด
ปรากฏว่า การดำเนินการตามคำร้องนี้เป็นไปอย่างล่าช้า จนสำนักข่าวอิศราต้องยื่นร้องเรียนต่อ กขร. เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559
– คำร้องที่ 3 สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ยื่นคำร้องต่อศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร กระทรวงกลาโหม (กห.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2558 ขอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชุด พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รวมถึงรายชื่อคู่สัญญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ทั้งหมด
ปรากฏว่า การดำเนินการตามคำร้องนี้ก็เป็นไปอย่างล่าช้า เช่นเดียวกับ 2 คำร้องแรก โดยจากการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร กระทรวงกลาโหม ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ได้รับคำตอบว่า “ยังต้องรอผู้ใหญ่แจ้งลงมาก่อนว่าจะเปิดเผยข้อมูลได้หรือไม่” ทั้งที่เวลาผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้วนับแต่วันที่ยื่นคำร้อง
3. ผู้เกี่ยวข้องไม่ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง หรือปฏิเสธจะให้ข้อมูล
ในกรณีนี้แยกเป็น 3 กรณีที่เด่นชัด คือ กรณีไม่ใช่เงินภาษีของประชาชน กรณีพร้อมเปิดเผยข้อมูล และกรณีรับบริจาคไม่ถูกต้อง
3.1 เมื่อเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2559 ว่าอาจมีความไม่โปร่งใสในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ผู้มีอำนาจหลายคนต่างออกมาบอกว่า โครงการนี้มีแต่ “เงินบริจาค” เท่านั้น ไม่ได้ใช้ “งบประมาณแผ่นดิน” ที่เป็นเงินจากภาษีของประชาชน ทำให้ไม่สามารถใช้กลไกของรัฐเข้าไปตรวจสอบได้
กระทั่งนายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ออกมาเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า มีการใช้งบกลาง 63 ล้านบาทในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายถึงได้ยอมรับว่ามีการใช้เงินจากภาษีของประชาชนจริง
3.2 เมื่อ ทบ. ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชุด พล.อ. วีรัณ เริ่มแรกมีข่าวว่าจะตรวจสอบข้อกล่าวหาว่าอาจมีการทุจริต แต่กลายเป็นว่าเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อที่ ทบ. จะรับมอบอำนาจในการดูแลอุทยานนี้จากมูลนิธิราชภักดิ์เฉยๆ และระหว่างการแถลงผลการทำงานของคณะกรรมการฯ ชุดนี้ พล.อ. ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก คนปัจจุบัน ระบุว่า พร้อมให้ข้อมูลทั้งหมด แต่เมื่อขอตรวจดูข้อมูลรายรับ-รายจ่ายในโครงการทั้งหมด พล.อ. ธีรชัยกลับปฏิเสธ
ต่อมา เมื่อกระทรวงกลาโหม ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชุด พล.อ. ชัยชาญ แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานราชภักดิ์มากที่สุด โดยเฉพาะรายรับ-รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงการ แต่กลับไม่ตรวจสอบประเด็นที่มีคนสงสัยมากที่สุดคือกรณีเรียกรับค่าหัวคิวโรงหล่อ โดยอ้างว่าไม่มีอำนาจเรียกผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล และเมื่อผู้สื่อข่าวขอข้อมูลเกี่ยวกับคู่สัญญาในโครงการอุทยานราชภักดิ์ทั้งหมด ทีมงานของ พล.อ. ชัยชาญ ระบุว่า สามารถให้ได้ แต่ต้องไปยื่นคำร้องตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ มาตรา 11 ต่อศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร กระทรวงกลาโหม ก่อน ซึ่งผู้สื่อข่าวก็ปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าว แต่จนถึงบัดนี้ ผ่านมากว่า 2 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้รับข้อมูลที่ร้องขอแต่อย่างใด
http://thaipublica.org/2016/03/rajabhakti-park-8-3-2559/
<<< พลังข้อมูลข่าวสาร - พลังการเปลี่ยนแปลง >>>
แต่มีแนวโน้มว่าเรื่องนี้จะจบลงว่า “ไม่มีการทุจริต” โดยที่ประชาชนทั่วไปแทบไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนี้เลย ทั้งที่ใช้งบบางส่วนจากเงินภาษีของประชาชน โดยเฉพาะงบกลาง 63 ล้านบาท ไม่รวมถึงเงินบริจาคจากภาคเอกชนอีกหลายร้อยล้านบาท ซึ่งทั้งหมดได้เบิกจ่ายผ่านหน่วยงานของรัฐ ภายใต้กองทัพบก (ทบ.) ทำให้ไม่เพียงต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้สาธารณชนได้ตรวจสอบ อย่างน้อย 3 ฉบับ ประกอบด้วย
พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (กฎหมาย ป.ป.ช.)
มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556
แต่กรณีอุทยานราชภักดิ์อาจพูดได้ว่า ล้มเหลวในการปฏิบัติตามกฎหมายทั้ง 3 ฉบับเกือบจะสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ผู้เกี่ยวข้องยืนยันผ่านสื่อหลายครั้ง ว่าโครงการนี้ “โปร่งใส พร้อมเปิดเผยข้อมูลให้ตรวจสอบได้” ก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาจริง กลับยากที่จะเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าว
สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า จะขอแยกเป็นรายประเด็นว่า รัฐบาล คสช. ล้มเหลวในการเปิดเผยข้อมูลกรณีอุทยานราชภักดิ์ในแง่มุมใดบ้าง
เปิดข้อมูลจัดซื้อจัดจ้าง
ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 “สรุปผลการจัดซื้อจัดจ้างรายเดือน” เป็นข้อมูลที่ต้องเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจดูได้ “โดยอัตโนมัติ”
1. ไม่เปิดเผยข้อมูล ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องเปิด “โดยอัตโนมัติ”
ประเทศไทยเคยได้รับการยกย่องว่ามีกฎหมายข้อมูลข่าวสารที่ก้าวหน้าที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย เมื่อมีการตรา พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ออกมาในปี 2540 เพื่อเพิ่มสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานของรัฐแก่ประชาชน โดยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างถือเป็น “ข้อมูลพื้นฐาน” ที่ต้องเปิดเผย “โดยอัตโนมัติ” ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ข้อ 9 (8) ประกอบกับประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องขอ
แต่กรณีอุทยานราชภักดิ์ เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ ทบ. เพื่อขอตรวจดูข้อมูล “สรุปการจัดซื้อจัดจ้างประจำเดือน” ของหน่วยงานภายใน ทบ. ในปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม 2557 – กันยายน 2558) ซึ่งเป็นช่วงที่ พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร เป็นผู้บัญชาการทหารบก และริเริ่มโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ปรากฏว่า หน่วยงานภายใน ทบ. ที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นกรมกิจการพลเรือนทหารบก (กร.ทบ.) หรือกรมยุทธโยธาทหารบก (ยย.ทบ.) กลับจัดส่งข้อมูลมายังศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารของ ทบ. ให้ตรวจดูไม่ครบถ้วน
ท้ายที่สุด จึงต้องยื่นคำร้องขอตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ มาตรา 11 ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2559 แต่แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 3 เดือนก็ยังได้เอกสารที่ยื่นขอไปไม่ครบถ้วน
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (กฎหมาย ป.ป.ช.) มาตรา 103/7 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องเปิดเผยราคากลางโครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดไว้บนเว็บไซต์
กฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/7 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องเปิดเผยราคากลางโครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดไว้บนเว็บไซต์ เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจดูได้
ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงการไม่เปิดเผย “ราคากลาง” โครงการจัดซื้อจัดจ้าง ไว้บนเว็บไซต์หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/7 ซึ่ง ครม. เคยมีมติเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 สั่งการให้หน่วยงานของรัฐทุกกระทรวง ทบวง กรม ต้องปฏิบัติตาม เพราะจากการตรวจสอบโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้องกับอุทยานราชภักดิ์ ทั้ง 43 โครงการ รวมวงเงินกว่า 900 ล้านบาท มีการเปิดเผยราคากลางของโครงการไว้เพียง 5 โครงการ ที่ใช้งบกลางเท่านั้น
2. มีการดึงเวลาหรือปฏิเสธคำขอเมื่อใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เคยวิจัยปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ โดยระบุถึงอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพไว้หลายประการ ซึ่งรวมถึงการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเลือกที่จะ “ปกปิด” มากกว่า “เปิดเผย” รวมถึงกระบวนการต่างๆ ในการพิจารณาว่าจะเปิดเผยหรือไม่ ที่ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน
กรณีอุทยานราชภักดิ์ มีผู้สื่อข่าวขอใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ มาตรา 11 ยื่นคำร้องขอข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมและ ทบ. อย่างน้อย 3 คำร้อง แต่ทุกคำร้องจะประสบปัญหาที่ใกล้เคียงกัน คือ หากไม่ได้รับการปฏิเสธ ก็มักดำเนินการอย่างล่าช้า
หนังสือตอบกลับจาก พล.ต.ปัณณทัต กาญจนวสิต เลขานุการกองทัพบก กรณีที่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ยื่นคำร้องตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งปัจจุบันผ่านมากว่า 3 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้รับข้อมูลตามที่ยื่นขอแต่อย่างใด
หนังสือตอบกลับจาก พล.ต.ปัณณทัต กาญจนวสิต เลขานุการกองทัพบก กรณีที่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ยื่นคำร้องตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 11 ขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ จากหน่วยงานภายในกองทัพบก แต่แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 3 เดือนนับแต่วันที่ยื่นคำขอ ก็ยังได้รับข้อมูลที่ร้องขอไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับ “ราคากลาง” ที่ยังไม่ได้มาเลยแม้แต่แผ่นเดียว
– คำร้องแรก สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ยื่นต่อศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร ทบ. เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ขอสรุปผลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภายใน ทบ. ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยเฉพาะของ กร.ทบ. และ ยย.ทบ. รวมถึงราคากลางโครงการที่เกี่ยวข้อง
ผลปรากฏว่า การดำเนินการตามคำร้องนี้เป็นไปอย่างล่าช้า แม้เจ้าหน้าที่ของศูนย์บริหารข้อมูลข่าวสาร ทบ. จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ติดตาม เร่งรัด และทวงถามให้ แต่หน่วยงานภายใน ทบ. ที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่จัดส่งข้อมูลมาให้ กระทั่งสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าต้องยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (กขร.) เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559 ซึ่งแม้เวลาต่อมา จะมีเอกสารสรุปผลการจัดซื้อจัดจ้างของ กร.ทบ. และ ยย.ทบ. มาให้จนครบถ้วน แต่ก็ต้องใช้เวลาถึง 3 เดือนหลังยื่นคำร้อง นอกจากนี้ ยังขาดข้อมูลราคากลางโครงการที่เกี่ยวข้องกับอุทยานราชภักดิ์
– คำร้องที่ 2 สำนักข่าวอิศรา ยื่นต่อศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร ทบ. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ขอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชุด พล.อ. วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล รวมถึงยอดเงินและรายชื่อผู้บริจาคทั้งหมด
ปรากฏว่า การดำเนินการตามคำร้องนี้เป็นไปอย่างล่าช้า จนสำนักข่าวอิศราต้องยื่นร้องเรียนต่อ กขร. เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559
– คำร้องที่ 3 สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ยื่นคำร้องต่อศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร กระทรวงกลาโหม (กห.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2558 ขอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชุด พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รวมถึงรายชื่อคู่สัญญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ทั้งหมด
ปรากฏว่า การดำเนินการตามคำร้องนี้ก็เป็นไปอย่างล่าช้า เช่นเดียวกับ 2 คำร้องแรก โดยจากการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร กระทรวงกลาโหม ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ได้รับคำตอบว่า “ยังต้องรอผู้ใหญ่แจ้งลงมาก่อนว่าจะเปิดเผยข้อมูลได้หรือไม่” ทั้งที่เวลาผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้วนับแต่วันที่ยื่นคำร้อง
3. ผู้เกี่ยวข้องไม่ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง หรือปฏิเสธจะให้ข้อมูล
ในกรณีนี้แยกเป็น 3 กรณีที่เด่นชัด คือ กรณีไม่ใช่เงินภาษีของประชาชน กรณีพร้อมเปิดเผยข้อมูล และกรณีรับบริจาคไม่ถูกต้อง
3.1 เมื่อเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2559 ว่าอาจมีความไม่โปร่งใสในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ผู้มีอำนาจหลายคนต่างออกมาบอกว่า โครงการนี้มีแต่ “เงินบริจาค” เท่านั้น ไม่ได้ใช้ “งบประมาณแผ่นดิน” ที่เป็นเงินจากภาษีของประชาชน ทำให้ไม่สามารถใช้กลไกของรัฐเข้าไปตรวจสอบได้
กระทั่งนายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ออกมาเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า มีการใช้งบกลาง 63 ล้านบาทในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายถึงได้ยอมรับว่ามีการใช้เงินจากภาษีของประชาชนจริง
3.2 เมื่อ ทบ. ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชุด พล.อ. วีรัณ เริ่มแรกมีข่าวว่าจะตรวจสอบข้อกล่าวหาว่าอาจมีการทุจริต แต่กลายเป็นว่าเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อที่ ทบ. จะรับมอบอำนาจในการดูแลอุทยานนี้จากมูลนิธิราชภักดิ์เฉยๆ และระหว่างการแถลงผลการทำงานของคณะกรรมการฯ ชุดนี้ พล.อ. ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก คนปัจจุบัน ระบุว่า พร้อมให้ข้อมูลทั้งหมด แต่เมื่อขอตรวจดูข้อมูลรายรับ-รายจ่ายในโครงการทั้งหมด พล.อ. ธีรชัยกลับปฏิเสธ
ต่อมา เมื่อกระทรวงกลาโหม ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชุด พล.อ. ชัยชาญ แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานราชภักดิ์มากที่สุด โดยเฉพาะรายรับ-รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงการ แต่กลับไม่ตรวจสอบประเด็นที่มีคนสงสัยมากที่สุดคือกรณีเรียกรับค่าหัวคิวโรงหล่อ โดยอ้างว่าไม่มีอำนาจเรียกผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล และเมื่อผู้สื่อข่าวขอข้อมูลเกี่ยวกับคู่สัญญาในโครงการอุทยานราชภักดิ์ทั้งหมด ทีมงานของ พล.อ. ชัยชาญ ระบุว่า สามารถให้ได้ แต่ต้องไปยื่นคำร้องตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ มาตรา 11 ต่อศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร กระทรวงกลาโหม ก่อน ซึ่งผู้สื่อข่าวก็ปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าว แต่จนถึงบัดนี้ ผ่านมากว่า 2 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้รับข้อมูลที่ร้องขอแต่อย่างใด
http://thaipublica.org/2016/03/rajabhakti-park-8-3-2559/