ต้องขอเกริ่นก่อนเลยว่าพื้นฐานครอบครัวเป็นคนต่างจังหวัด ฐานะค่อนไปทางปากกัดตีนถีบ
พอจบม.ปลายก็ออกมาทำงานหาเงินและส่งตัวเองเรียน โชคดีที่มาพบสามีที่เขาช่วยส่งเสีย
ให้เราเรียนและช่วยดูแลครอบครัว จนมีลูกด้วยกัน 2 คน ทำให้ชีวิตวัยรุ่นหายไปเข้าสู่วัยทำงาน
ดูแลลูก ประกอบกับเป็นพี่คนโตเลยส่งเสียน้องเรียนจนจบป.ตรี โชคดีที่แฟนเข้าใจและยอมรับ
ภาระเคียงข้างมาตลอด จนถึงวันนึงที่เราตั้งตัวกันได้ น้องเรียนจบมีงานมีครอบครัว และเรากับ
สามีก็ปลูกบ้านให้กับพ่อแม่ ให้ท่านใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสบายเพราะท่านลำบากช่วยดูแล
ลูกของเรามา เรากับสามีซื้อบ้านสำหรับครอบครัวของเราและย้ายลูกๆมาอยู่ด้วย
ด้วยความคิดที่ว่าเราลำบากมาตั้งแต่เด็ก เลยอยากให้ลูกแตกต่าง มีความเป็นอยู่ที่ดี มีสังคม
ที่ดี เลยส่งลูกทั้งสองเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง และฉันก็เดินเข้าไปหากับดักนั้นเอง...
เรากับสามีมีกำลังส่งลูกทั้งสองเรียนโดยไม่ลำบาก แต่ด้วยความที่เราเคยลำบาก เราจึงเห็นค่า
ของเงิน ในขณะที่เราไปนั่งชื่นชมผู้ปกครองคนอื่นๆว่าชีวิตพวกเขาช่างสวยหรู พวกเขาใช้เงินหมด
ไปกับกระเป๋าและเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพงๆ ซึ่งตัวเราเองไม่กล้าซื้อใช้ พวกเขาปล่อยให้ลูกใช้
เงินและซื้อของซึ่งไม่เหมาะกับวัยของพวกเขาเลย มือถือเป็นเครื่องประดับที่เด็กๆจะเปลี่ยนใช้รุ่นใหม่
ล่าสุดตลอดๆ โชคดีของเรามากที่ลูกของเราไม่ได้เรียกร้องหรือสนใจ เพราะเช้าเราก็ไปส่งลูกเย็น
ก็ไปรับกลับ เราดูแลและพูดคุยกับลูกตลอด มือถือจึงไม่จำเป็น เราคิดว่าจ่ายค่าเทอมแพงเพื่อซื้อ
สังคมให้กับลูกๆ แต่พอนานๆไปเรากลับพบว่าเด็กๆในสังคมเหล่านี้กลับกลายเป็นเด็กที่มีปัญหา
ส่วนมากพ่อแม่ของพวกเขามัวแต่ทำงานหาเงิน ไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย เด็กๆจึงกลายเป็นเด็ก
ขาดความอบอุ่น และเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนๆ เด็กบางคนเอาเงินซื้อเพื่อนๆ เด็กบางคน
ขโมยของเด็กคนอื่นๆ ทั้งที่พ่อแม่มีฐานะ เด็กบางคนเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนๆด้วยโรคแปลกๆ
ไม่ว่าจะเป็นการชัก การทำร้ายตัวเอง ลูกของเราพอขึ้นรถก็จะเล่าให้เราฟังตลอด เขาเล่าด้วยความ
ไม่เข้าใจในพฤติกรรมของเด็กเหล่านั้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องยากที่เราจะอธิบายเช่นกัน
เราจึงมาคิดทบทวนว่าความจริงแล้วการที่เราอยากให้ลูกเข้าโรงเรียนเอกชนค่าเทอมแพงๆนั้น
เพื่อลูกหรือเพื่อตัวเราเองกันแน่ ความจริงเราเองที่ไปคิดแทนลูกว่าลูกต้องการเพื่อนที่มีฐานะ สังคมดีๆ
ทั้งที่ความจริงแล้ว ลูกเราต้องการแค่การศึกษา และ เพื่อนตามวัยของลูก เราเข้าใจว่าทุกวันนี้การเรียน
มีการแข่งขันสูงมาก พ่อแม่หลายคนอัดตารางเรียนพิเศษให้ลูกแน่น ทั้งสัปดาห์เพราะด้วยความหวังดี
และเป็นห่วงลูก มีวันนึงเราไปรับลูกมาจากที่เรียนพิเศษผ่านโรงเรียนวัดแถวๆบ้าน ลูกของเราบอกว่า
"แม่หนูขอไปเรียนโรงเรียนวัดได้ไหม หนูอยากมีเวลาเล่นบ้าง หนูเห็นในหนังสือเขาก็บอกว่าคนจบ
โรงเรียนวัดก็เป็นใหญ่เป็นโตได้นะแม่" เรานิ่งจนพูดอะไรไม่ออก ทั้งสงสารลูกและดีใจที่ลูกเราก็คิดได้
และไม่ได้ยึดติดกับสังคมเหล่านั้นที่แม่ยัดเยียดให้
มาวันนี้จะเปิดเทอมใหม่ เราตัดสินใจได้แล้วว่า เราจะย้ายลูกมาโรงเรียนใกล้ๆบ้าน ไม่ให้เค้า
หมดเวลาไปกับการเดินทาง จัดตารางเรียนพิเศษให้ลูกเรียนในวิชาที่ลูกไม่ถนัด ลดค่าเทอมแล้วเก็บออม
ไว้ให้ลูกดีกว่า บางส่วนเราจะพากันไปเที่ยวในวันหยุดยาวใช้เวลาครอบครัวร่วมกันให้มาก เพราะโตขึ้น
ลูกเองก็ต้องไปมีชีวิตครอบครัวของเขาเอง เราอยากสอนให้ลูกรู้ว่าการศึกษาเป็นใบเบิกทางสำคัญในการ
ทำงานของลูก แต่การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสำคัญกว่า แม่ขอโทษที่แม่เคยยัดเยียดความสุขของตัวเอง
ให้กับลูก ยังดีที่ลูกได้เตือนสติแม่ เราจะมาเริ่มต้นกันใหม่ด้วยกัน...
เมื่อฉันสำนึกได้ว่าควรออกมาจาก"กับดักสังคมวัตถุนิยม"
พอจบม.ปลายก็ออกมาทำงานหาเงินและส่งตัวเองเรียน โชคดีที่มาพบสามีที่เขาช่วยส่งเสีย
ให้เราเรียนและช่วยดูแลครอบครัว จนมีลูกด้วยกัน 2 คน ทำให้ชีวิตวัยรุ่นหายไปเข้าสู่วัยทำงาน
ดูแลลูก ประกอบกับเป็นพี่คนโตเลยส่งเสียน้องเรียนจนจบป.ตรี โชคดีที่แฟนเข้าใจและยอมรับ
ภาระเคียงข้างมาตลอด จนถึงวันนึงที่เราตั้งตัวกันได้ น้องเรียนจบมีงานมีครอบครัว และเรากับ
สามีก็ปลูกบ้านให้กับพ่อแม่ ให้ท่านใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสบายเพราะท่านลำบากช่วยดูแล
ลูกของเรามา เรากับสามีซื้อบ้านสำหรับครอบครัวของเราและย้ายลูกๆมาอยู่ด้วย
ด้วยความคิดที่ว่าเราลำบากมาตั้งแต่เด็ก เลยอยากให้ลูกแตกต่าง มีความเป็นอยู่ที่ดี มีสังคม
ที่ดี เลยส่งลูกทั้งสองเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง และฉันก็เดินเข้าไปหากับดักนั้นเอง...
เรากับสามีมีกำลังส่งลูกทั้งสองเรียนโดยไม่ลำบาก แต่ด้วยความที่เราเคยลำบาก เราจึงเห็นค่า
ของเงิน ในขณะที่เราไปนั่งชื่นชมผู้ปกครองคนอื่นๆว่าชีวิตพวกเขาช่างสวยหรู พวกเขาใช้เงินหมด
ไปกับกระเป๋าและเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพงๆ ซึ่งตัวเราเองไม่กล้าซื้อใช้ พวกเขาปล่อยให้ลูกใช้
เงินและซื้อของซึ่งไม่เหมาะกับวัยของพวกเขาเลย มือถือเป็นเครื่องประดับที่เด็กๆจะเปลี่ยนใช้รุ่นใหม่
ล่าสุดตลอดๆ โชคดีของเรามากที่ลูกของเราไม่ได้เรียกร้องหรือสนใจ เพราะเช้าเราก็ไปส่งลูกเย็น
ก็ไปรับกลับ เราดูแลและพูดคุยกับลูกตลอด มือถือจึงไม่จำเป็น เราคิดว่าจ่ายค่าเทอมแพงเพื่อซื้อ
สังคมให้กับลูกๆ แต่พอนานๆไปเรากลับพบว่าเด็กๆในสังคมเหล่านี้กลับกลายเป็นเด็กที่มีปัญหา
ส่วนมากพ่อแม่ของพวกเขามัวแต่ทำงานหาเงิน ไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย เด็กๆจึงกลายเป็นเด็ก
ขาดความอบอุ่น และเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนๆ เด็กบางคนเอาเงินซื้อเพื่อนๆ เด็กบางคน
ขโมยของเด็กคนอื่นๆ ทั้งที่พ่อแม่มีฐานะ เด็กบางคนเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนๆด้วยโรคแปลกๆ
ไม่ว่าจะเป็นการชัก การทำร้ายตัวเอง ลูกของเราพอขึ้นรถก็จะเล่าให้เราฟังตลอด เขาเล่าด้วยความ
ไม่เข้าใจในพฤติกรรมของเด็กเหล่านั้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องยากที่เราจะอธิบายเช่นกัน
เราจึงมาคิดทบทวนว่าความจริงแล้วการที่เราอยากให้ลูกเข้าโรงเรียนเอกชนค่าเทอมแพงๆนั้น
เพื่อลูกหรือเพื่อตัวเราเองกันแน่ ความจริงเราเองที่ไปคิดแทนลูกว่าลูกต้องการเพื่อนที่มีฐานะ สังคมดีๆ
ทั้งที่ความจริงแล้ว ลูกเราต้องการแค่การศึกษา และ เพื่อนตามวัยของลูก เราเข้าใจว่าทุกวันนี้การเรียน
มีการแข่งขันสูงมาก พ่อแม่หลายคนอัดตารางเรียนพิเศษให้ลูกแน่น ทั้งสัปดาห์เพราะด้วยความหวังดี
และเป็นห่วงลูก มีวันนึงเราไปรับลูกมาจากที่เรียนพิเศษผ่านโรงเรียนวัดแถวๆบ้าน ลูกของเราบอกว่า
"แม่หนูขอไปเรียนโรงเรียนวัดได้ไหม หนูอยากมีเวลาเล่นบ้าง หนูเห็นในหนังสือเขาก็บอกว่าคนจบ
โรงเรียนวัดก็เป็นใหญ่เป็นโตได้นะแม่" เรานิ่งจนพูดอะไรไม่ออก ทั้งสงสารลูกและดีใจที่ลูกเราก็คิดได้
และไม่ได้ยึดติดกับสังคมเหล่านั้นที่แม่ยัดเยียดให้
มาวันนี้จะเปิดเทอมใหม่ เราตัดสินใจได้แล้วว่า เราจะย้ายลูกมาโรงเรียนใกล้ๆบ้าน ไม่ให้เค้า
หมดเวลาไปกับการเดินทาง จัดตารางเรียนพิเศษให้ลูกเรียนในวิชาที่ลูกไม่ถนัด ลดค่าเทอมแล้วเก็บออม
ไว้ให้ลูกดีกว่า บางส่วนเราจะพากันไปเที่ยวในวันหยุดยาวใช้เวลาครอบครัวร่วมกันให้มาก เพราะโตขึ้น
ลูกเองก็ต้องไปมีชีวิตครอบครัวของเขาเอง เราอยากสอนให้ลูกรู้ว่าการศึกษาเป็นใบเบิกทางสำคัญในการ
ทำงานของลูก แต่การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสำคัญกว่า แม่ขอโทษที่แม่เคยยัดเยียดความสุขของตัวเอง
ให้กับลูก ยังดีที่ลูกได้เตือนสติแม่ เราจะมาเริ่มต้นกันใหม่ด้วยกัน...