จากกระทู้ดั้งเดิม
http://pantip.com/topic/34879241
ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่านกัน
ประสบการณ์จากการฝึกงานภายใน 6 เดือนของอีชั้นเองยังมีอีกเยอะมากมายค่ะที่อยากจะเม้าให้แตกกันไป (น้ำลาย)
อยากให้เป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจให้ทุกคนรู้ว่า
ตัวเธอเองก็ไม่ใช่คนเดียวบนโลกที่มีปัญหา ไม่ใช่คนเดียวบนโลกที่ต้องทนทุกข์กับสภาวะหน้าที่การงาน อย่างริต้าเอง ริต้าเป็นที่ 1 ของคลาสปริญญาโทมาตลอด
แล้วพอมาวันนึงที่ต้องฝึกงาน ทักษะเหล่านั้นถูกดึงออกมาใช้น้อยมาก ต้าเองต้องดึงทักษะของแม่บ้านแม่เรือนที่ดีออกมาใช้ สำหรับต้า งานที่ต้าทำ มันคืองานที่ใช่ แต่ บริบทที่บริษัทให้ต้าทำ มันไม่ใช่ค่ะ.
ทักษะที่พุ่งปรี๊ดออกมาในตอนนั้นจริงๆคือไหวพริบและความอดทนต่างหากค่ะ
ดิชั้นเอง หกสูงยันเลยว่า มันเป็นปัญหาที่ตอดน่ารำคาญสำหรับวัยทำงานแทบจะ 80% ที่มีทั้งงานใช่ และสถานที่ไม่ใช่ หรือ สถานที่ใช่ สภาพแวดล้อมใช่ แต่งานไม่ใช่ ดิชั้นเองเรียนรู้สัจธรรม ข้อนี้ได้อย่างลึกซึ้งโดยเอาความถึกและอดทนของตัวเองเป็นที่ตั้ง.
อย่างที่ดิชั้นบอกว่า ตัวเองต้องทำอะไรบ้างเย็บผ้า สอยผ้า พอเข้าใจค่ะ เพราะมันเป็นงานที่ต้องฝึกและต้องใช้ทักษะการเย็บการสอดใส่พอสมควร
หรือการ ขึ้นตัวอย่างเสื้อ Copy กระดาษแพทเทิร์น ยกของบ้าง
อันนี้เข้าใจค่ะ
แต่พอกลับมาที่ทำความสะอาด ชงกาแฟ หรือวิ่งออกไปซื้อของเพื่อปรนเปรอเหล่าพนักงานในบริษัทแล้วมันก็มักจะสร้างความน่าหงุดหงิดรำคาญใจไม่ใช่น้อย อีชั้นต้องคอยห้อยพระแล้วหายใจข้าหายใจออกอย่างมีสติห้ามปรี๊ดแตกก่อนฝึกงานจบ.
อีชั้นบอกเลยว่าที่ฝึกงานที่ไทยเป็นอะไรที่สบายมาก นั่งคิดCollection นั่งวาดภาพ ออกไปพูดคุยกับProduction บ้าง หรือ คุยกับทาง Boutique บ้าง เป็นหน้าที่ที่แสนสวยและเจ้าหญิงที่สุด ผู้คนก็จะปฎิบัติกับเราอีกอย่างนึง พอเลิกงานก็เดินสยาม กินข้าว กินขนม กลับบ้านคั่วผู้ชายจบ !
ที่นี่นางใช้คุ้มจริงๆค่ะ
บางทีจะกินข้าวก็ขอให้ทำให้เสร็จก่อน แล้วก็ยิงยาวไปยันดึกโดยลืมไปว่า ดิชั้นกับ อานีน่า( เพื่อนร่วมห้องที่ฝึกงานด้วยกันอีกคน)ลืมทานข้าว
บางทีพนักงานในบริษัทก็มาขอให้ซ่อมซิปกางเกงหรือแก้ทรงให้หน่อย (อันนี้หยาบคายมาก และก็จะปฎิเสธทุกครั้งค่ะ เพราะอย่าริอาจไปขอให้นักเรียนแฟชั่นเปลี่ยนซิปแก้ทรง ถ้าไม่รู้จักมักจี่หรือเคยได้กันจริงๆนะคะขอร้อง เสียเงินไม่กี่บาทไปซ่อมดีกว่าค่ะ)
บางทีชงกาแฟลืมใส่น้ำตาลให้แขก แขกที่มาก็มีหน้ามาสั่งอีกว่าชงมาใหม่ได้ไหม? (ดีออก! บางทีก็อยากจะอมกาแฟแบ้วกลั่วคอแล้วบ้วนกลับไปใหม่ในแก้วเหลือเกินค่ะ)
หรือแม้กระทั่งแก้ชุดให้ลูกค้าหรือพวก Buyer สั่งโน้น เอานี่ ทำนั้น ยิ่งเป็นลูกค้าจากเอเชีย ทางบริษัทจะโยนให้ดิชั้นคุยงานเองหมดเลย ด้วยเหตุผลที่ว่า ลูกค้าจากเอเชีย (เกาหลี) เรื่องมากน่ารำคาญ
ก็ต้องเป็นคนทำ........ หรือแม้ในวันหยุดที่อีชั้นควรได้ใช้สิทธิ์ในการพักผ่อนนอนเปลือยอยู่บ้าน!
."I NEED YOU TO B

ON SATURDAY" จะตอบยังไงได้ล่ะคะ... ก็ฝึกงานนี่หน่า
จนกระทั่งวันหนึ่ง
ตัวอีชั้นเองถูกเชื้อเชิญให้เย็บชุดตัวอย่างเพื่อส่งฝ่าย Production ให้เสร็จก่อน 4 ทุ่ม เพราะเค้าต้องการเช็คตัวอย่างตอน 8 โมงเช้า วันนั้น อานีน่า นางแอ๊บป่วยไม่มา เราเองเลยต้องอยู่คนเดียวยัน 4 ทุ่ม เหนื่อยก็เหนื่อย หิวก็หิว แถมยังไม่ได้หยุดไปแรดเสาร์อาทิตย์อีก ช่วงแฟชั่นโชว์งานจะหนักมากๆ
ตอนนั้นพูดเลยว่าทนไม่ไหวแล้ว
อยากกลับบ้าน คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงน้อง คิดถึงหมา และแมว คิดถึงเพื่อนๆ
คิดถึงความสบายที่ไทย คิดถึงอาหารไทย คิดถึง ร้านสะดวกซื้อ คิดถึงนวด และผู้ชายไทย คิดถึงประเทศไทย อยากกลับ และออกไปจากที่นี่
คือมันท้อแท้ และ เหมือนกับว่ากำลังคิดในแง่ลบในทุกๆด้าน คือเราก็กวาดไปคิดไป
ระหว่างที่กำลังเก็บกวาดเช็ดถู ห้องเย็บผ้า คุณพ่อบ้านที่แสนจะน่ารำคาญก็เดินเข้ามาในห้องค่ะ นางเข้ามาเช็ดถูทำความสะอาดอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ ปกติอีชั้นเกลียดพ่อบ้านคนนี้มาก นางเป็นคนฟิลิปปินส์ ชื่อว่าไอแซค นางจะขี้ฟ้อง ขี้รายงาน และชอบว่าเรากับเพื่อน ว่าทำไมกินน้ำบ่อยจัง หรือบางทีมาสายนางก็รายงานแต่เช้า แต่นางก็ชอบแอบอู้ไปเล่นFacebook และสูบบุหรี่บ่อยครั้ง บางทีนางก็เดินมาตบบ่าริต้าเสมือนกับริต้าเป็นชายฉกรรจ์
ไอแซค : ลุงเห็นอนาคตเธอนะ
(อีนี่มาไม้ไหนอีกเนี้ย ริต้าก็กวาดพื้นไปไม่ได้สนใจอะไร)
ไอแซค : ลุงเชื่อว่าวันนึง หนูจะต้องยิ่งใหญ่!
(หยุดกวาดแล้วมองหน้า พ่อบ้านไอแซค)
อีชั้น : ขอบคุณค่ะ หนูก็หวังว่าอย่างนั้น
ไอแซค : จริงๆนะ ลุงเห็นอนาคตเธอ หนูจะต้องเป็นแบบ เขา (ชี้ไปยังคุณบอสซี่ดีไซน์เนอร์จอมโหดของริต้า ในขณะที่ชีกำลังวุ่นวายกับ การจัดแสงและไฟอยู่ข้างนอกกับช่างภาพ)
ณ ช่วงเวลานั้น อีชั้นเองหมุนตัวราวกับเต้นบัลเล่ย์ ความรู้สึกบางอย่างมันจุกอยู่ที่คอ และขอบตามันร้อนผ่าว
น้ำตามันไหลออกมาแบบหยุดไม่อยู่จริงๆ มันอาจจะเป็นคำพูดลอยๆจากคนที่เราแสนจะรำคาญและแทบจะเกลียดขี้หน้าด้วยซ้ำไป แต่มันกลับกลายเป็นยาชูกำลังให้ตั้งใจทำงานต่อไปได้อย่างมหัศจรรย์
สิ่งที่เหลือต่อจากนี้ไปคือ แค่ต้องเชื่อตัวเองแค่นั้นแหละ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อีชั้นอยากพักเรื่องผู้ชายไว้ก่อน (สัญญาจะมาเล่า)
แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่อ่านบทความของอีชั้นอยู่ในขณะนี้
อาจจะกำลังเย็บผ้าอย่างบ้าคลั่ง
อาจจะกำลังวาดรูปส่งอาจารย์หรือลูกค้า
อาจจะนั่งปักผ้าเพื่อให้ทันวันนัดส่งงาน
อาจจะนั่งรีเสิร์ชงานอยู่หน้าคอมอย่างไม่มีวันหยุด
อาจจะกำลังออกแบบงานที่คิดว่ามันมาถึงทางตันแล้ว
อาจจะกำลังขับรถ
อาจจะกำลังกวาดบ้าน
อาจจะกำลังล้างจาน หรือซักล้าง
หรืออาจจะกำลังท้อแท้กับงานที่ตัวเองทำ อยากให้ลองคิดใหม่อีกทีว่า
เราไม่ได้เบื่อหรือหน่ายไปคนเดียวหรอกบนโลกนี้ เพียงแต่เราต้องมองหาข้อดีในสื่งที่เราทำ
ลองมองดูว่า มันมีโอกาสอะไรที่จะเป็นไปได้ไหมที่ทำให้เราก้าวหน้าในการงานจากสิ่งที่เรากำลังเบื่อหน่าย และทำซ้ำๆอยู่อย่างนี้ การคิดวนไปวนมา มันมีแต่ทำให้เราถอยหลังค่ะ ลองพนมมือแล้วหายใจเข้า และออกดีๆสิคะ มันช่วยได้เยอะ ลองคิดไปข้างหน้าว่าหลังจากวันนี้เราจะทำอะไร
หลังจากอาทิตย์นี้ เราจะทำอะไร หลังจาก เดือนนี้เราจะทำอะไร แล้วหลังจากปีนี้เราจะทำอะไร
อีชั้น พูดได้เพราะ เราผ่านมันมาแล้ว แล้วเราก็ตั้งใจแล้วด้วยว่า เสร็จ6เดือน เราจะออก จะหยุด ต่อให้เค้าเสนอให้ทำต่อเราก็จะไม่ทำ แล้วเราก็ได้เปลี่ยนที่ทำงานใหม่
เมื่อไหร่ที่เรามีทางเลือกก็ขอให้เอาสิ่งที่เราผ่านมา ลองชั่งน้ำหนักดูดีๆแบบไม่เข้าข้างตัวเอง
แต่ถ้ายังไม่มีทางเลือกจริงๆ อีชั้นแนะนำว่า ทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้คือ "อดทน" ค่ะ
อดทน และตั้งใจสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ให้ดีที่สุด แค่นั้นเอง
เหมือนถ้าตอนนี้ไม่สวย ก็อดทนทำให้มันสวย เราจะได้ผู้ชายไงคะ
ดิชั้นมีความเชื่อว่าทุกสาขาการงานหน้าที่มีความยากลำบากหมด มีความน่าเบื่อหน่ายแฝงอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่คนที่นั่งนอนอยู่เฉยๆ
เพียงแต่ แค่อย่าทำให้มันยากหรือเหนื่อยไปกว่าเดิมโดยการซ้ำเติมตัวเอง เมื่อคุณให้กำลังใจตัวเองได้แล้ว ลองให้กำลังใจเพื่อนของคุณที่กำลังเบื่อหน่ายหรือเหนื่อยยากลำบากดูเชื่อ ดิชั้นเถอะค่ะ ว่าคำพูดของคุณไม่กี่คำพูดสามารถเปลี่ยนชีวิต แทบทั้งชีวิตของคนที่คุณเป็นห่วงได้
ยังไงก็ไปเม้ากันได้ที่Page Facebook : Margherita Mattina
ขอบคุณพันทิปค่ะ ที่แบ่งปันพื้นที่ให้ดิชั้นได้แบ่งปันอะไรดีๆ

ยังไงก็ร่วมแบ่งกันประสบการณ์การฝึกงานของแต่ละคนด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ประสบการณ์การฝึกงานวงการแฟชั่น ที่มิลาน ฉบับ เรียลๆ ภาค 2
http://pantip.com/topic/34879241
ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่านกัน
ประสบการณ์จากการฝึกงานภายใน 6 เดือนของอีชั้นเองยังมีอีกเยอะมากมายค่ะที่อยากจะเม้าให้แตกกันไป (น้ำลาย)
อยากให้เป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจให้ทุกคนรู้ว่า ตัวเธอเองก็ไม่ใช่คนเดียวบนโลกที่มีปัญหา ไม่ใช่คนเดียวบนโลกที่ต้องทนทุกข์กับสภาวะหน้าที่การงาน อย่างริต้าเอง ริต้าเป็นที่ 1 ของคลาสปริญญาโทมาตลอด
แล้วพอมาวันนึงที่ต้องฝึกงาน ทักษะเหล่านั้นถูกดึงออกมาใช้น้อยมาก ต้าเองต้องดึงทักษะของแม่บ้านแม่เรือนที่ดีออกมาใช้ สำหรับต้า งานที่ต้าทำ มันคืองานที่ใช่ แต่ บริบทที่บริษัทให้ต้าทำ มันไม่ใช่ค่ะ.
ทักษะที่พุ่งปรี๊ดออกมาในตอนนั้นจริงๆคือไหวพริบและความอดทนต่างหากค่ะ
ดิชั้นเอง หกสูงยันเลยว่า มันเป็นปัญหาที่ตอดน่ารำคาญสำหรับวัยทำงานแทบจะ 80% ที่มีทั้งงานใช่ และสถานที่ไม่ใช่ หรือ สถานที่ใช่ สภาพแวดล้อมใช่ แต่งานไม่ใช่ ดิชั้นเองเรียนรู้สัจธรรม ข้อนี้ได้อย่างลึกซึ้งโดยเอาความถึกและอดทนของตัวเองเป็นที่ตั้ง.
อย่างที่ดิชั้นบอกว่า ตัวเองต้องทำอะไรบ้างเย็บผ้า สอยผ้า พอเข้าใจค่ะ เพราะมันเป็นงานที่ต้องฝึกและต้องใช้ทักษะการเย็บการสอดใส่พอสมควร
หรือการ ขึ้นตัวอย่างเสื้อ Copy กระดาษแพทเทิร์น ยกของบ้าง
อันนี้เข้าใจค่ะ
แต่พอกลับมาที่ทำความสะอาด ชงกาแฟ หรือวิ่งออกไปซื้อของเพื่อปรนเปรอเหล่าพนักงานในบริษัทแล้วมันก็มักจะสร้างความน่าหงุดหงิดรำคาญใจไม่ใช่น้อย อีชั้นต้องคอยห้อยพระแล้วหายใจข้าหายใจออกอย่างมีสติห้ามปรี๊ดแตกก่อนฝึกงานจบ.
อีชั้นบอกเลยว่าที่ฝึกงานที่ไทยเป็นอะไรที่สบายมาก นั่งคิดCollection นั่งวาดภาพ ออกไปพูดคุยกับProduction บ้าง หรือ คุยกับทาง Boutique บ้าง เป็นหน้าที่ที่แสนสวยและเจ้าหญิงที่สุด ผู้คนก็จะปฎิบัติกับเราอีกอย่างนึง พอเลิกงานก็เดินสยาม กินข้าว กินขนม กลับบ้านคั่วผู้ชายจบ !
ที่นี่นางใช้คุ้มจริงๆค่ะ
บางทีจะกินข้าวก็ขอให้ทำให้เสร็จก่อน แล้วก็ยิงยาวไปยันดึกโดยลืมไปว่า ดิชั้นกับ อานีน่า( เพื่อนร่วมห้องที่ฝึกงานด้วยกันอีกคน)ลืมทานข้าว
บางทีพนักงานในบริษัทก็มาขอให้ซ่อมซิปกางเกงหรือแก้ทรงให้หน่อย (อันนี้หยาบคายมาก และก็จะปฎิเสธทุกครั้งค่ะ เพราะอย่าริอาจไปขอให้นักเรียนแฟชั่นเปลี่ยนซิปแก้ทรง ถ้าไม่รู้จักมักจี่หรือเคยได้กันจริงๆนะคะขอร้อง เสียเงินไม่กี่บาทไปซ่อมดีกว่าค่ะ)
บางทีชงกาแฟลืมใส่น้ำตาลให้แขก แขกที่มาก็มีหน้ามาสั่งอีกว่าชงมาใหม่ได้ไหม? (ดีออก! บางทีก็อยากจะอมกาแฟแบ้วกลั่วคอแล้วบ้วนกลับไปใหม่ในแก้วเหลือเกินค่ะ)
หรือแม้กระทั่งแก้ชุดให้ลูกค้าหรือพวก Buyer สั่งโน้น เอานี่ ทำนั้น ยิ่งเป็นลูกค้าจากเอเชีย ทางบริษัทจะโยนให้ดิชั้นคุยงานเองหมดเลย ด้วยเหตุผลที่ว่า ลูกค้าจากเอเชีย (เกาหลี) เรื่องมากน่ารำคาญ
ก็ต้องเป็นคนทำ........ หรือแม้ในวันหยุดที่อีชั้นควรได้ใช้สิทธิ์ในการพักผ่อนนอนเปลือยอยู่บ้าน!
."I NEED YOU TO B
จนกระทั่งวันหนึ่ง
ตัวอีชั้นเองถูกเชื้อเชิญให้เย็บชุดตัวอย่างเพื่อส่งฝ่าย Production ให้เสร็จก่อน 4 ทุ่ม เพราะเค้าต้องการเช็คตัวอย่างตอน 8 โมงเช้า วันนั้น อานีน่า นางแอ๊บป่วยไม่มา เราเองเลยต้องอยู่คนเดียวยัน 4 ทุ่ม เหนื่อยก็เหนื่อย หิวก็หิว แถมยังไม่ได้หยุดไปแรดเสาร์อาทิตย์อีก ช่วงแฟชั่นโชว์งานจะหนักมากๆ
ตอนนั้นพูดเลยว่าทนไม่ไหวแล้ว
อยากกลับบ้าน คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงน้อง คิดถึงหมา และแมว คิดถึงเพื่อนๆ
คิดถึงความสบายที่ไทย คิดถึงอาหารไทย คิดถึง ร้านสะดวกซื้อ คิดถึงนวด และผู้ชายไทย คิดถึงประเทศไทย อยากกลับ และออกไปจากที่นี่
คือมันท้อแท้ และ เหมือนกับว่ากำลังคิดในแง่ลบในทุกๆด้าน คือเราก็กวาดไปคิดไป
ระหว่างที่กำลังเก็บกวาดเช็ดถู ห้องเย็บผ้า คุณพ่อบ้านที่แสนจะน่ารำคาญก็เดินเข้ามาในห้องค่ะ นางเข้ามาเช็ดถูทำความสะอาดอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ ปกติอีชั้นเกลียดพ่อบ้านคนนี้มาก นางเป็นคนฟิลิปปินส์ ชื่อว่าไอแซค นางจะขี้ฟ้อง ขี้รายงาน และชอบว่าเรากับเพื่อน ว่าทำไมกินน้ำบ่อยจัง หรือบางทีมาสายนางก็รายงานแต่เช้า แต่นางก็ชอบแอบอู้ไปเล่นFacebook และสูบบุหรี่บ่อยครั้ง บางทีนางก็เดินมาตบบ่าริต้าเสมือนกับริต้าเป็นชายฉกรรจ์
ไอแซค : ลุงเห็นอนาคตเธอนะ
(อีนี่มาไม้ไหนอีกเนี้ย ริต้าก็กวาดพื้นไปไม่ได้สนใจอะไร)
ไอแซค : ลุงเชื่อว่าวันนึง หนูจะต้องยิ่งใหญ่!
(หยุดกวาดแล้วมองหน้า พ่อบ้านไอแซค)
อีชั้น : ขอบคุณค่ะ หนูก็หวังว่าอย่างนั้น
ไอแซค : จริงๆนะ ลุงเห็นอนาคตเธอ หนูจะต้องเป็นแบบ เขา (ชี้ไปยังคุณบอสซี่ดีไซน์เนอร์จอมโหดของริต้า ในขณะที่ชีกำลังวุ่นวายกับ การจัดแสงและไฟอยู่ข้างนอกกับช่างภาพ)
ณ ช่วงเวลานั้น อีชั้นเองหมุนตัวราวกับเต้นบัลเล่ย์ ความรู้สึกบางอย่างมันจุกอยู่ที่คอ และขอบตามันร้อนผ่าว
น้ำตามันไหลออกมาแบบหยุดไม่อยู่จริงๆ มันอาจจะเป็นคำพูดลอยๆจากคนที่เราแสนจะรำคาญและแทบจะเกลียดขี้หน้าด้วยซ้ำไป แต่มันกลับกลายเป็นยาชูกำลังให้ตั้งใจทำงานต่อไปได้อย่างมหัศจรรย์
สิ่งที่เหลือต่อจากนี้ไปคือ แค่ต้องเชื่อตัวเองแค่นั้นแหละ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อีชั้นอยากพักเรื่องผู้ชายไว้ก่อน (สัญญาจะมาเล่า)
แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่อ่านบทความของอีชั้นอยู่ในขณะนี้
อาจจะกำลังเย็บผ้าอย่างบ้าคลั่ง
อาจจะกำลังวาดรูปส่งอาจารย์หรือลูกค้า
อาจจะนั่งปักผ้าเพื่อให้ทันวันนัดส่งงาน
อาจจะนั่งรีเสิร์ชงานอยู่หน้าคอมอย่างไม่มีวันหยุด
อาจจะกำลังออกแบบงานที่คิดว่ามันมาถึงทางตันแล้ว
อาจจะกำลังขับรถ
อาจจะกำลังกวาดบ้าน
อาจจะกำลังล้างจาน หรือซักล้าง
หรืออาจจะกำลังท้อแท้กับงานที่ตัวเองทำ อยากให้ลองคิดใหม่อีกทีว่า
เราไม่ได้เบื่อหรือหน่ายไปคนเดียวหรอกบนโลกนี้ เพียงแต่เราต้องมองหาข้อดีในสื่งที่เราทำ
ลองมองดูว่า มันมีโอกาสอะไรที่จะเป็นไปได้ไหมที่ทำให้เราก้าวหน้าในการงานจากสิ่งที่เรากำลังเบื่อหน่าย และทำซ้ำๆอยู่อย่างนี้ การคิดวนไปวนมา มันมีแต่ทำให้เราถอยหลังค่ะ ลองพนมมือแล้วหายใจเข้า และออกดีๆสิคะ มันช่วยได้เยอะ ลองคิดไปข้างหน้าว่าหลังจากวันนี้เราจะทำอะไร
หลังจากอาทิตย์นี้ เราจะทำอะไร หลังจาก เดือนนี้เราจะทำอะไร แล้วหลังจากปีนี้เราจะทำอะไร
อีชั้น พูดได้เพราะ เราผ่านมันมาแล้ว แล้วเราก็ตั้งใจแล้วด้วยว่า เสร็จ6เดือน เราจะออก จะหยุด ต่อให้เค้าเสนอให้ทำต่อเราก็จะไม่ทำ แล้วเราก็ได้เปลี่ยนที่ทำงานใหม่
เมื่อไหร่ที่เรามีทางเลือกก็ขอให้เอาสิ่งที่เราผ่านมา ลองชั่งน้ำหนักดูดีๆแบบไม่เข้าข้างตัวเอง
แต่ถ้ายังไม่มีทางเลือกจริงๆ อีชั้นแนะนำว่า ทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้คือ "อดทน" ค่ะ
อดทน และตั้งใจสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ให้ดีที่สุด แค่นั้นเอง
เหมือนถ้าตอนนี้ไม่สวย ก็อดทนทำให้มันสวย เราจะได้ผู้ชายไงคะ
ดิชั้นมีความเชื่อว่าทุกสาขาการงานหน้าที่มีความยากลำบากหมด มีความน่าเบื่อหน่ายแฝงอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่คนที่นั่งนอนอยู่เฉยๆ
เพียงแต่ แค่อย่าทำให้มันยากหรือเหนื่อยไปกว่าเดิมโดยการซ้ำเติมตัวเอง เมื่อคุณให้กำลังใจตัวเองได้แล้ว ลองให้กำลังใจเพื่อนของคุณที่กำลังเบื่อหน่ายหรือเหนื่อยยากลำบากดูเชื่อ ดิชั้นเถอะค่ะ ว่าคำพูดของคุณไม่กี่คำพูดสามารถเปลี่ยนชีวิต แทบทั้งชีวิตของคนที่คุณเป็นห่วงได้
ยังไงก็ไปเม้ากันได้ที่Page Facebook : Margherita Mattina
ขอบคุณพันทิปค่ะ ที่แบ่งปันพื้นที่ให้ดิชั้นได้แบ่งปันอะไรดีๆ
ยังไงก็ร่วมแบ่งกันประสบการณ์การฝึกงานของแต่ละคนด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ