Facebook:
https://www.facebook.com/4lchemistist
การเดินทางของผมในครั้งนี้เป็นการเดินทางไปเที่ยวกับแฟนเก่า ที่เกิดเป็นรักครั้งใหม่ ก่อนอื่นต้องขอท้าวความก่อนนะครับว่าก่อนหน้านี้ผมกับแฟนเคยเลิกกันไปแล้ว เนื่องจากเหตุผลหลายอย่าง โดยหลักๆเป็นปัญหาครอบครัวของเค้าที่ไม่ค่อยจะยอมรับในตัวผมสักเท่าไหร่ และการงานของผมซึ่งไม่ค่อยมีเวลาให้ ด้วยวิถีชีวิตของคนเมืองกรุงเราๆทั้งหลายจึงตกอยู่ในสังคมก้มหน้าที่ว่างเมื่อไหร่จึงต้องหยิบจับมือถือขึ้นมาดูจนทำให้เราลืมความสำคัญของคนข้างๆไป สุดท้ายเราทั้งคู่ก็ตัดสินใจว่าเราคงมาได้สุดทางกันเท่านี้และ “เลิกกัน” ในที่สุด ช่วงที่เราเลิกกันเป็นช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมและเค้าต่างก็มีคนเข้ามาคุยด้วย แต่สุดท้ายเราทั้งคู่กลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่และได้ลองกลับมาปรับความเข้าใจกันดู เราจึงอยากจะหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ไปพักผ่อนในที่แสนไกล เพื่อปรับความเข้าใจและใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากขึ้น ก่อนหน้าที่เราจะเลิกกันเราเคยไปเที่ยวทะเลแต่กลับรู้สึกว่ามันไม่ได้พักผ่อนเลย รถติดและวุ่นวายไม่ต่างจากเมืองกรุง จนได้ไปเจอกระทู้2กระทู้นี้
http://pantip.com/topic/34807539
http://pantip.com/topic/34775590
เราจึงตัดสินใจตามรอย และขอตั้งชื่อการเดินทางของครั้งนี้ว่า The forgotten city (คนรักเก่ากับรักครั้งใหม่ ณ พิจิตรเมืองที่ถูกลืม)
ขอเชิญทุกท่านเสพเรื่องราวครั้งแรกของพวกเรา...
นี่คืออุปกรณ์ถ่ายภาพทั้งหมดที่ผมได้เตรียมไปสำหรับการเดินทางในครั้งนี้(เห็นอุปกรณ์เต็มอย่าพึ่งคาดหวังเพราะผมยืมน้องที่ออฟฟิศมาฮะ) ผมเป็นแค่นักการตลาดตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ถ่ายภาพพอดูได้มั้ง 555+

ซึ่งก็ประกอบไปด้วย Gopro, กล้อง DSLRเลนส์18-55 และโทรศัพมือถือของผมเองกับรีโมทบลูทูธ เพื่อใช้ถ่ายภาพเราทั้งคู่ เป็นหลัก
ผมเลือกที่จะลางานวันศุกร์และออกเดินทางช่วงเย็นของวันพฤหัสเพื่อหนีความวุ่นวายในการเดินทาง ดูสิแถวออฟฟิศผมมันน่าวุ่นวายขนาดไหน (ในภาพนี่เบาะๆมากนะครับ ผมเคยรถติดอยู่เป็น ชม.)

และแล้วการเดินทางของผมก็เริ่มขึ้นเมื่อหลุดจากย่านออฟฟิศ ขับมาได้สักพักก็ถึงถนนวิภาวดีผมเลยแวะปั้มเพื่อเติมน้ำมันให้พร้อมสำหรับการเดินทางไกลกับรถคู่ใจและคนคู่กาย ^^

หนทางยังอีกยาวไกลในการเดินทางครั้งนี้เอาหน่ะอีกนิดจะได้พักผ่อนกันแล้วววววววววววว
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เมื่อผมขับรถมาได้ประมาณ 3ชม.ครึ่ง ก็ถึงนครสววรค์ ผมซึ่งไม่ค่อยได้ขับรถผ่านมาทางนี้เท่าไหร่ทำเอาผมแปลกใจสักนิดเพราะที่นครสวรรค์เจริญขึ้นมาก ไม่ต่างจากกรุงเทพเลยมี The walk ด้วยหล่ะ(ผมไม่ค่อยได้ถ่ายรูปขณะเดินทางนะครับเพราะมืดแล้ว และผมก็ขับรถด้วย)
จากนครสวรรค์มาอีกสักประมาณ1 ชม. ในที่สุดผมก็ถึงจุดหมายจนได้ หลังจากที่เรามาถึงรีสอร์ทพวกเราก็เก็บสัมภาระให้เรียบร้อย และจากนั้นก็ได้ออกไปหาของกินกันทันที เราขับรถออกไปหาอะไรกินรอบดึกบริเวณเส้นหน้าโรงพยาบาลพิจิตรก็เจอร้านข้าวต้มปลาเปิดอยู่ ไม่รอช้าครับ จอดและสั่งอาหารทันที! ขอบอกว่ามันอร่อยมากราคาย่อมเยาแบบที่ในเมืองหาไม่ได้แน่นอน

หลังจากทานอาหารเสร็จพวกเรากลับเข้าที่พักเผื่อพักผ่อนหลังจากการเดินทางอันแสนเหนื่อยที่ยาวนานกว่า 4 ชม. และแล้วก็เช้าจนได้ เอ๊ะ! หรือจะเรียกสายดีเพราะเราตื่นกันมาประมาณ 10โมงกว่าๆ มาม๊ะผมจะพาชมรีสอร์ทที่เรามาพักกันรีสอร์ทนี้มีชื่อว่า “ระเบียงน้ำรีสอร์ท” อยู่ใน อ.เมือง บรรยากาศดูดี สวยงามตามท้องเรื่อง
แต่ก่อนอื่นจะไปชมกันผมขออวดอาหารเช้าชองเรากันก่อน อาหารเช้าเป็นแบบ self service ปิ้งเองทาเองชงเอง กินเอง ชิคอย่าบอกใคร

เอาหล่ะถึงเวลาชมที่พักของพวกเรากัน

เข้ามาก็เจอฝูงนกมากมาย ต้นไม้เย๊อะเยอะดูร่มรื่นมากๆ มีบ่อปลาคราฟด้วย ส่วนบริเวณเค้าเตอร์ตกแต่งสไตล์วินเทจ

พอเดินมาด้านหลังของรีสอร์ทก็จะเจอกับห้องฟิตเนส อั้ยย๊ะ!

มาดูหน้าห้องของเรากันบ้างนะครัช

ส่วนด้านหลังบ้านก็มีสวนหย่อมไว้นั่งชิลตากลมเล่น ด้านหลังมีแม่น้ำน่านไหลผ่าน ข้างบ้านพักจะมีบันไดเล็กๆสามารถเดินขึ้นไปชั้น2 ได้มีเปลให้นอนเล่นสบายๆให้ slowlife กันเต็มที่

หลังจากใช้เวลาอยู่ในที่พักเผื่อเก็บภาพบรรยากาศได้สักพักพวกเราก็ออกเดินทางเพื่อไปเที่ยวที่ต่างๆในเมืองพิจิตรประมาน 11.30 และที่แรกที่เราจะไปนั่นก็คือวัดเขารูปช้าง ใครๆก็ว่าสวย พวกเราใช้เวลาเดินทางอยู่สักประมาณครึ่ง ชม. ก็มาถึงจุดหมาย แท่นแท๊นนนนนน

มาถึงก็เห็นหลวงพี่หลายรูปกำลังเก็บกวาดของอยู่พูดคุยอยู่สักพักก็ได้รู้ว่าที่วัดเขารูปช้างมีงานประจำปีวันเพ็ญเดือน3 ซึ่งผมมาช้าไปไม่กี่วัน เสียดายยยยยย (ใครได้ไปมาเอารูปมาให้ผมดูบ้างนะครับ)
หลังจากพูดคุยได้สักพักเราไม่รอช้าที่จะเดินขึ้นไปชมด้านบนและกราบสักการะ หึหึ บันไดแค่นี้ชิลๆ เดินสบายๆผมมั่นใจ(คิดในใจ)

และก็เป็นอย่างที่ผมคิดเดินสบายไม่เหมื่อยเท่าไหร่ถึงแม้จะดูสูงก็ตาม
กราบสักการะพระสักนิด...

เป็นวัดที่สวยมาก ผมใช้เวลาถ่ายรูปอยู่สักพัก (อันที่จริงน่าจะเรียกว่าทำใจอยู่สักพักมากกว่า)
เพราะอะไรหน่ะหรอ? ผ่างงงงงงงงงงงงงงง!!

นี่บันไดไงจะใครหล่ะ!? คือโคตรสูงจะสูงไปไหนชันสุดๆ แค่เห็นก็เหนื่อยแล้ว 55555555+
และแล้วเราก็พยายามลากตัวเองขึ้นไปด้านบนกัน

เหนื่อยก็หยุดพัก เหมือนจะถึงเหมือนจะถึง แต่ไม่ถึงสักกะที แต่แล้วในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงจนได้

สวยงามสมกับที่เหนื่อยลากตัวเองขึ้นมา

และเราก็ใช้เวลาถ่ายรูปกันอยู่ที่ชั้นนี้สักไปก่อนจะพอเรื่องเซอร์ไฟรส์อีก 1ช็อต
และแล้วก็ถึงเวลาของเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ว่า....แท่นแท๊นนนนนนนนนน!
อะไรกันนนน คือคิดว่าเราขึ้นมาชั้นสูงสุดแล้วที่ไหนได้เดินมาหลังโบสเจออีก1ชุด ซึ่งชันไม่ธรรมดาเช่นกัน ไม่รอช้าเอาวะขึ้นไปปปปปปปปปปปปป

เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนลมแรงมากๆแล้วก็เหนื่อยมากเช่นกันกว่าจะขึ้นมาถึงชั้นบนสุดได้ แต่ก็รู้สึกคุ้มค่ามากที่ได้ขึ้นมาสวยมากๆถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองนี่มีเสียดายแน่นอน

เราใช้เวลาถ่ายรูปเล่นและเสพบรรยากาศด้านบนอยู่สักพักก็ลงมาข้างล่าง ด้วยความที่เราใช้พลังงานไปค่อนข้างมาก ท้องของเราเริ่มจะไม่ไหว ดั่งคำกล่าวโบราณที่ว่า “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง”
เราจึงตัดสินใจกลับที่พักและออกมาหาของกินในเมือง ซึ่งได้พบกับบรรยากาศน่ารักๆของคนเมืองพิจิตร
เด็กนักเรียนกำลังกลับจากโรงเรียน...
ผมหันกล้องไปทางไหนก็มีแต่คนเล่นด้วย เป็นอีกสิ่งนึงที่ทำให้ผมรู้สึกชอบเมืองเล็กๆเมืองนี้มาก เพราะว่าผู้คนที่นี่มีอัธยาศัยที่ดีมากครับเดินไปทางไหนก็มีแต่คนคุยด้วย ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ทำให้ผมรู้สึกว่าผู้ที่นี่น่ารักน่ารัก และเป็นเมืองที่น่าอยู่เลยทีเดียว
พี่ๆขับรถส่งของก็ยังไม่เว้น 55555+
เอาหล่ะกินข้าวกันดีกว่า
นี่ก็คือร้านที่เรากินข้าวกันในวันนี้ครับ เป็นร้านอาหารอิสลามที่ตั้งอยู่ตรงแยกบึงสีไฟ ไม่ไกลจากรีสอร์ทของเรามาก

และแล้วเราก็ได้ข้าวกระเพราเนื้อมา ในราคาแค่จานละ 40บาท เรียกได้ว่าอร่อยลืม คือของกินที่นี่เรียกได้ว่าความงานละเอียด เข้าร้านไหนก็อร่อยไปหมดอร่อยทุกอย่างจริงๆที่สำคัญราคาถูกทุกอย่าง มีความดีงาม
เรียนร้อยโรงเรียนจีน ซัดเรียบไม่มีเหลือ!
หลังจากกินเสร็จได้สักพัก พวกเราก็เข้าที่พักไปพักผ่อนรอเวลาพระอาทิตย์ตก เพื่อที่จะออกไปบึงสีไฟตอน 5โมงครึ่ง นอนเล่นกลิ้งไปกลิงมา รอได้ไม่นานเวลาผ่านไปเหมือนโกหก ในที่สุดก็ 5โมงครึ่งจนได้ไม่รอช้าไปบึงสีไฟกันดีกว่า...

และแล้วก็ถึงจนได้ ใช้เวลาเดินทางจากที่พักไม่นาน ประมาณ10นาที เท่านั้น
เรามาดูแสงตกยามเย็นกันดีกว่าว่าจะสวยขนาดไหน...
อย่าหาว่างั้นงี้เลยนะครับ ขอซักนิด ^^ ฮิ๊ววววววววววววววววววววววววววววววววว
บรรยากาศยามเย็นของบึงสีไฟนั้นเงียบสงบมากครับ
เป็นเหมือนกับสวนลุมของกทม.ที่มีคนมาปั่นจักรยาน มีคนมาวิ่งออกกกำลังกาย มีสวนสาธารณะให้เด็กๆมาวิ่งเล่น มีคนพาน้องหมามาวิ่งเล่นออกกำลังกายกันเต็มไปหมด ผมใช้เวลาถ่ายภาพอยู่ตรงนี้สักพักนึง แล้วเราทั้งคู่ก็กลับห้องเพื่อพักผ่อนกัน
ณ เวลา 23.00 น.
แฟน:เธออออ เค้าอยากกินกุ้งอ่ะ อยากกินกุ้งเผามากอ่ะ
ผม: เอิ่ม....นี่มัน5ทุ่มแล้วปะ จะไปหากุ้งจากไหน
แฟน: ไม่รุ้อะก็มันอยากกิน
เอาหล่ะงานเข้าผมหล่ะสิ คำสั่งจากเบื้องบน ห้าทุ่มกว่าขับรถจ้าขับรถออกไปหาร้านอาหารที่มันมีกุ้งเผาขาย และแล้วในที่สุดก็...

ห่างจากที่พักไม่ไกลมานักก็เจอร้านอาหารชื่อว่า อันดามัน เป็นร้านอาหารทะเลในที่สุดก็ได้กุ้งเผามาในปริมาณ 1กิโล เอาให้มันหายอยากไปข้าง
ในที่สุดภารกิจของผมวันนี้ก็เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ได้นอนสักที ราตรีสวัสดิ์...
ยังไม่จบเดียวมาต่อนะครัชชชชชชชชชช
[CR] คนรักเก่ากับรักครั้งใหม่ ณ พิจิตรเมืองที่ถูกลืม
การเดินทางของผมในครั้งนี้เป็นการเดินทางไปเที่ยวกับแฟนเก่า ที่เกิดเป็นรักครั้งใหม่ ก่อนอื่นต้องขอท้าวความก่อนนะครับว่าก่อนหน้านี้ผมกับแฟนเคยเลิกกันไปแล้ว เนื่องจากเหตุผลหลายอย่าง โดยหลักๆเป็นปัญหาครอบครัวของเค้าที่ไม่ค่อยจะยอมรับในตัวผมสักเท่าไหร่ และการงานของผมซึ่งไม่ค่อยมีเวลาให้ ด้วยวิถีชีวิตของคนเมืองกรุงเราๆทั้งหลายจึงตกอยู่ในสังคมก้มหน้าที่ว่างเมื่อไหร่จึงต้องหยิบจับมือถือขึ้นมาดูจนทำให้เราลืมความสำคัญของคนข้างๆไป สุดท้ายเราทั้งคู่ก็ตัดสินใจว่าเราคงมาได้สุดทางกันเท่านี้และ “เลิกกัน” ในที่สุด ช่วงที่เราเลิกกันเป็นช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมและเค้าต่างก็มีคนเข้ามาคุยด้วย แต่สุดท้ายเราทั้งคู่กลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่และได้ลองกลับมาปรับความเข้าใจกันดู เราจึงอยากจะหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ไปพักผ่อนในที่แสนไกล เพื่อปรับความเข้าใจและใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากขึ้น ก่อนหน้าที่เราจะเลิกกันเราเคยไปเที่ยวทะเลแต่กลับรู้สึกว่ามันไม่ได้พักผ่อนเลย รถติดและวุ่นวายไม่ต่างจากเมืองกรุง จนได้ไปเจอกระทู้2กระทู้นี้
http://pantip.com/topic/34807539
http://pantip.com/topic/34775590
เราจึงตัดสินใจตามรอย และขอตั้งชื่อการเดินทางของครั้งนี้ว่า The forgotten city (คนรักเก่ากับรักครั้งใหม่ ณ พิจิตรเมืองที่ถูกลืม)
ขอเชิญทุกท่านเสพเรื่องราวครั้งแรกของพวกเรา...
นี่คืออุปกรณ์ถ่ายภาพทั้งหมดที่ผมได้เตรียมไปสำหรับการเดินทางในครั้งนี้(เห็นอุปกรณ์เต็มอย่าพึ่งคาดหวังเพราะผมยืมน้องที่ออฟฟิศมาฮะ) ผมเป็นแค่นักการตลาดตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ถ่ายภาพพอดูได้มั้ง 555+
ซึ่งก็ประกอบไปด้วย Gopro, กล้อง DSLRเลนส์18-55 และโทรศัพมือถือของผมเองกับรีโมทบลูทูธ เพื่อใช้ถ่ายภาพเราทั้งคู่ เป็นหลัก
ผมเลือกที่จะลางานวันศุกร์และออกเดินทางช่วงเย็นของวันพฤหัสเพื่อหนีความวุ่นวายในการเดินทาง ดูสิแถวออฟฟิศผมมันน่าวุ่นวายขนาดไหน (ในภาพนี่เบาะๆมากนะครับ ผมเคยรถติดอยู่เป็น ชม.)
และแล้วการเดินทางของผมก็เริ่มขึ้นเมื่อหลุดจากย่านออฟฟิศ ขับมาได้สักพักก็ถึงถนนวิภาวดีผมเลยแวะปั้มเพื่อเติมน้ำมันให้พร้อมสำหรับการเดินทางไกลกับรถคู่ใจและคนคู่กาย ^^
หนทางยังอีกยาวไกลในการเดินทางครั้งนี้เอาหน่ะอีกนิดจะได้พักผ่อนกันแล้วววววววววววว
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เมื่อผมขับรถมาได้ประมาณ 3ชม.ครึ่ง ก็ถึงนครสววรค์ ผมซึ่งไม่ค่อยได้ขับรถผ่านมาทางนี้เท่าไหร่ทำเอาผมแปลกใจสักนิดเพราะที่นครสวรรค์เจริญขึ้นมาก ไม่ต่างจากกรุงเทพเลยมี The walk ด้วยหล่ะ(ผมไม่ค่อยได้ถ่ายรูปขณะเดินทางนะครับเพราะมืดแล้ว และผมก็ขับรถด้วย)
จากนครสวรรค์มาอีกสักประมาณ1 ชม. ในที่สุดผมก็ถึงจุดหมายจนได้ หลังจากที่เรามาถึงรีสอร์ทพวกเราก็เก็บสัมภาระให้เรียบร้อย และจากนั้นก็ได้ออกไปหาของกินกันทันที เราขับรถออกไปหาอะไรกินรอบดึกบริเวณเส้นหน้าโรงพยาบาลพิจิตรก็เจอร้านข้าวต้มปลาเปิดอยู่ ไม่รอช้าครับ จอดและสั่งอาหารทันที! ขอบอกว่ามันอร่อยมากราคาย่อมเยาแบบที่ในเมืองหาไม่ได้แน่นอน
หลังจากทานอาหารเสร็จพวกเรากลับเข้าที่พักเผื่อพักผ่อนหลังจากการเดินทางอันแสนเหนื่อยที่ยาวนานกว่า 4 ชม. และแล้วก็เช้าจนได้ เอ๊ะ! หรือจะเรียกสายดีเพราะเราตื่นกันมาประมาณ 10โมงกว่าๆ มาม๊ะผมจะพาชมรีสอร์ทที่เรามาพักกันรีสอร์ทนี้มีชื่อว่า “ระเบียงน้ำรีสอร์ท” อยู่ใน อ.เมือง บรรยากาศดูดี สวยงามตามท้องเรื่อง
แต่ก่อนอื่นจะไปชมกันผมขออวดอาหารเช้าชองเรากันก่อน อาหารเช้าเป็นแบบ self service ปิ้งเองทาเองชงเอง กินเอง ชิคอย่าบอกใคร
เอาหล่ะถึงเวลาชมที่พักของพวกเรากัน
เข้ามาก็เจอฝูงนกมากมาย ต้นไม้เย๊อะเยอะดูร่มรื่นมากๆ มีบ่อปลาคราฟด้วย ส่วนบริเวณเค้าเตอร์ตกแต่งสไตล์วินเทจ
พอเดินมาด้านหลังของรีสอร์ทก็จะเจอกับห้องฟิตเนส อั้ยย๊ะ!
มาดูหน้าห้องของเรากันบ้างนะครัช
ส่วนด้านหลังบ้านก็มีสวนหย่อมไว้นั่งชิลตากลมเล่น ด้านหลังมีแม่น้ำน่านไหลผ่าน ข้างบ้านพักจะมีบันไดเล็กๆสามารถเดินขึ้นไปชั้น2 ได้มีเปลให้นอนเล่นสบายๆให้ slowlife กันเต็มที่
หลังจากใช้เวลาอยู่ในที่พักเผื่อเก็บภาพบรรยากาศได้สักพักพวกเราก็ออกเดินทางเพื่อไปเที่ยวที่ต่างๆในเมืองพิจิตรประมาน 11.30 และที่แรกที่เราจะไปนั่นก็คือวัดเขารูปช้าง ใครๆก็ว่าสวย พวกเราใช้เวลาเดินทางอยู่สักประมาณครึ่ง ชม. ก็มาถึงจุดหมาย แท่นแท๊นนนนนน
มาถึงก็เห็นหลวงพี่หลายรูปกำลังเก็บกวาดของอยู่พูดคุยอยู่สักพักก็ได้รู้ว่าที่วัดเขารูปช้างมีงานประจำปีวันเพ็ญเดือน3 ซึ่งผมมาช้าไปไม่กี่วัน เสียดายยยยยย (ใครได้ไปมาเอารูปมาให้ผมดูบ้างนะครับ)
หลังจากพูดคุยได้สักพักเราไม่รอช้าที่จะเดินขึ้นไปชมด้านบนและกราบสักการะ หึหึ บันไดแค่นี้ชิลๆ เดินสบายๆผมมั่นใจ(คิดในใจ)
และก็เป็นอย่างที่ผมคิดเดินสบายไม่เหมื่อยเท่าไหร่ถึงแม้จะดูสูงก็ตาม
กราบสักการะพระสักนิด...
เป็นวัดที่สวยมาก ผมใช้เวลาถ่ายรูปอยู่สักพัก (อันที่จริงน่าจะเรียกว่าทำใจอยู่สักพักมากกว่า)
เพราะอะไรหน่ะหรอ? ผ่างงงงงงงงงงงงงงง!!
นี่บันไดไงจะใครหล่ะ!? คือโคตรสูงจะสูงไปไหนชันสุดๆ แค่เห็นก็เหนื่อยแล้ว 55555555+
และแล้วเราก็พยายามลากตัวเองขึ้นไปด้านบนกัน
เหนื่อยก็หยุดพัก เหมือนจะถึงเหมือนจะถึง แต่ไม่ถึงสักกะที แต่แล้วในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงจนได้
สวยงามสมกับที่เหนื่อยลากตัวเองขึ้นมา
และเราก็ใช้เวลาถ่ายรูปกันอยู่ที่ชั้นนี้สักไปก่อนจะพอเรื่องเซอร์ไฟรส์อีก 1ช็อต
และแล้วก็ถึงเวลาของเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ว่า....แท่นแท๊นนนนนนนนนน!
อะไรกันนนน คือคิดว่าเราขึ้นมาชั้นสูงสุดแล้วที่ไหนได้เดินมาหลังโบสเจออีก1ชุด ซึ่งชันไม่ธรรมดาเช่นกัน ไม่รอช้าเอาวะขึ้นไปปปปปปปปปปปปป
เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนลมแรงมากๆแล้วก็เหนื่อยมากเช่นกันกว่าจะขึ้นมาถึงชั้นบนสุดได้ แต่ก็รู้สึกคุ้มค่ามากที่ได้ขึ้นมาสวยมากๆถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองนี่มีเสียดายแน่นอน
เราใช้เวลาถ่ายรูปเล่นและเสพบรรยากาศด้านบนอยู่สักพักก็ลงมาข้างล่าง ด้วยความที่เราใช้พลังงานไปค่อนข้างมาก ท้องของเราเริ่มจะไม่ไหว ดั่งคำกล่าวโบราณที่ว่า “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง”
เราจึงตัดสินใจกลับที่พักและออกมาหาของกินในเมือง ซึ่งได้พบกับบรรยากาศน่ารักๆของคนเมืองพิจิตร
เด็กนักเรียนกำลังกลับจากโรงเรียน...
ผมหันกล้องไปทางไหนก็มีแต่คนเล่นด้วย เป็นอีกสิ่งนึงที่ทำให้ผมรู้สึกชอบเมืองเล็กๆเมืองนี้มาก เพราะว่าผู้คนที่นี่มีอัธยาศัยที่ดีมากครับเดินไปทางไหนก็มีแต่คนคุยด้วย ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ทำให้ผมรู้สึกว่าผู้ที่นี่น่ารักน่ารัก และเป็นเมืองที่น่าอยู่เลยทีเดียว
พี่ๆขับรถส่งของก็ยังไม่เว้น 55555+
เอาหล่ะกินข้าวกันดีกว่า
นี่ก็คือร้านที่เรากินข้าวกันในวันนี้ครับ เป็นร้านอาหารอิสลามที่ตั้งอยู่ตรงแยกบึงสีไฟ ไม่ไกลจากรีสอร์ทของเรามาก
และแล้วเราก็ได้ข้าวกระเพราเนื้อมา ในราคาแค่จานละ 40บาท เรียกได้ว่าอร่อยลืม คือของกินที่นี่เรียกได้ว่าความงานละเอียด เข้าร้านไหนก็อร่อยไปหมดอร่อยทุกอย่างจริงๆที่สำคัญราคาถูกทุกอย่าง มีความดีงาม
เรียนร้อยโรงเรียนจีน ซัดเรียบไม่มีเหลือ!
หลังจากกินเสร็จได้สักพัก พวกเราก็เข้าที่พักไปพักผ่อนรอเวลาพระอาทิตย์ตก เพื่อที่จะออกไปบึงสีไฟตอน 5โมงครึ่ง นอนเล่นกลิ้งไปกลิงมา รอได้ไม่นานเวลาผ่านไปเหมือนโกหก ในที่สุดก็ 5โมงครึ่งจนได้ไม่รอช้าไปบึงสีไฟกันดีกว่า...
และแล้วก็ถึงจนได้ ใช้เวลาเดินทางจากที่พักไม่นาน ประมาณ10นาที เท่านั้น
เรามาดูแสงตกยามเย็นกันดีกว่าว่าจะสวยขนาดไหน...
อย่าหาว่างั้นงี้เลยนะครับ ขอซักนิด ^^ ฮิ๊ววววววววววววววววววววววววววววววววว
บรรยากาศยามเย็นของบึงสีไฟนั้นเงียบสงบมากครับ
เป็นเหมือนกับสวนลุมของกทม.ที่มีคนมาปั่นจักรยาน มีคนมาวิ่งออกกกำลังกาย มีสวนสาธารณะให้เด็กๆมาวิ่งเล่น มีคนพาน้องหมามาวิ่งเล่นออกกำลังกายกันเต็มไปหมด ผมใช้เวลาถ่ายภาพอยู่ตรงนี้สักพักนึง แล้วเราทั้งคู่ก็กลับห้องเพื่อพักผ่อนกัน
ณ เวลา 23.00 น.
แฟน:เธออออ เค้าอยากกินกุ้งอ่ะ อยากกินกุ้งเผามากอ่ะ
ผม: เอิ่ม....นี่มัน5ทุ่มแล้วปะ จะไปหากุ้งจากไหน
แฟน: ไม่รุ้อะก็มันอยากกิน
เอาหล่ะงานเข้าผมหล่ะสิ คำสั่งจากเบื้องบน ห้าทุ่มกว่าขับรถจ้าขับรถออกไปหาร้านอาหารที่มันมีกุ้งเผาขาย และแล้วในที่สุดก็...
ห่างจากที่พักไม่ไกลมานักก็เจอร้านอาหารชื่อว่า อันดามัน เป็นร้านอาหารทะเลในที่สุดก็ได้กุ้งเผามาในปริมาณ 1กิโล เอาให้มันหายอยากไปข้าง
ในที่สุดภารกิจของผมวันนี้ก็เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ได้นอนสักที ราตรีสวัสดิ์...
ยังไม่จบเดียวมาต่อนะครัชชชชชชชชชช
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น