เขาคิชฌกูฏ : พิสูจน์กลิ่นไอของใจศรัทธา

กระทู้นี้ไม่ได้เป็นกระทู้ชวนศรัทธา แต่เป็นสารคดีท่องเที่ยวบันทึกการเดินทางกระทู้แรกของเจ้าของกระทู้ค่ะ


    รถสองแถวกลางเก่ากลางใหม่หรือที่คนในพื้นที่เรียกตามยี่ห้อว่า “มาสด้า” พาวัยรุ่นชายหญิงกว่าสิบชีวิตมาหยุดที่ปากทางเข้าวัดแห่งหนึ่ง
    ทันทีที่ก้าวลงจากรถ เสียงเครื่องขยายเสียงจากเสียงโฆษกวัด เสียงพูดคุยของผู้คน ที่อื้ออึงไปทั่วก็ลอยมากระทบกับโสตประสาท
    ทั่วทั้งบริเวณลานวัดแทบจะไม่มีที่ว่างให้มองเห็นพื้นดิน ด้วยที่แห่งนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน คะเนด้วยสายตาคงไม่น้อยกว่า 2 พันคน  ในจำนวนผู้คนมากมายนั้นมักมากันเป็นครอบครัว มีตั้งแต่เด็กวัยหัดพูด หัดเดิน หญิงชายวัยกลางคน ไปจนถึงวัยไม้ใกล้ฝั่ง น้อยนักที่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นอย่างพวกเรา
    มองลึกเข้าไปในฝูงคนที่หนาแน่นนั้น บ้างนอน บ้างนั่งเรียงรายกันอยู่เต็มเสื่อที่ทางวัดปูลาดไว้บริการ คนที่เพิ่งมาถึงใหม่ๆ ก็พากันไปทำบุญตามจุดต่างๆ และบ้างก็เดินสวนกันไปมาเพื่อจับจ่ายเลือกซื้อของ บ้างกำลังต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วรถขึ้นเขา บ้างซื้อดอกไม้ธูปเทียนจากปรัมพิธีงานประจำปีของวัดที่มีจุดทำบุญต่างๆ และขายเครื่องสักการะอันประกอบไปด้วยดอกไม้ธูปเทียนทองคล้ายงานวัดทั่วไป
    เหนือหัวขึ้นไประโยงระยางไปด้วยเชือกที่ติดธงตราธรรมจักรสลับกับธงชาติ บริเวณรายรอบวัดแห่งนี้ประดับประดาด้วยหลอดไฟหลากสี แม้จะเป็นเวลาค่อนคืนแล้วแต่พื้นที่แห่งนี้ก็ยังสว่างไสวราวกับกลางวัน
    กลิ่นควันธูป และดอกไม้ที่โชยมาแตะจมูก ยิ่งขับบรรยากาศให้เข้มขลังและดูทรงพลัง ชวนให้คล้อยตามไปกับคำพูดที่ใครๆ มักพูดกันว่า...ที่แห่งนี้เป็นดินแดนพุทธภูมิ

23.53 น.
    ภาพ เสียง และกลิ่นที่กระทบประสาทสัมผัส ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า ทำไมผู้คนนับพัน นับหมื่น ต่างที่มา ต่างเพศ ต่างวัย ต่างเชื้อชาติจึงมารวมกันอยู่มากมาย ณ ที่แห่งนี้
    ไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ความคิดหลายๆอย่างผุดขึ้นในห้วงสำนึก...สิบคนก็สิบความคิด
    เพื่อนที่เป็นเจ้าถิ่นเล่าให้ฟังว่า วัดที่เรามาหยุดอยู่นี้มีชื่อว่า วัดกะทิง เป็นจุดที่เราจะต่อรถขึ้นไปบนเขาคิชฌกูฏ ทางเขาคิชฌกูฏไม่อนุญาตให้ขับรถส่วนตัวขึ้นไปเอง เพราะทางขึ้นเขาเป็นเส้นทางที่ลาดชันและค่อนข้างอันตราย คนขับรถแต่ละคนต้องฝึกขับให้ชำนาญก่อนที่จะมาให้บริการ ว่ากันว่าฝึกขับกันเป็นปีๆ และรถที่ใช้ต้องเป็นรถโฟร์วิลเท่านั้น  กรรมการจัดงานจึงได้จัดให้มีจุดขึ้นรถสองจุดคือที่นี่และที่วัดพลวง
    การขึ้นรถที่วัดพลวงจะต้องนั่งรถสองต่อ ต่อแรกจากวัดขึ้นไปยังกลางเขา ค่ารถราคาเที่ยวละ 50 บาท และต่อที่สองจากกลางเขาขึ้นไปอีก 50 บาท ก็จะถึงจุดที่ต้องเดินเท้าต่อไป แต่ที่วัดกะทิงเราจะนั่งรถจากวัดต่อเดียวไปจนถึงจุดเดินเท้าด้วยราคา 100 บาท สรุปได้ว่า ค่ารถเท่ากัน แต่ข้อดีข้อเสียแตกต่างกันคือ วัดพลวงจะมีจำนวนรถมากกว่าทำให้ไม่ต้องรอคิวนาน ส่วนวัดกะทิงนั้นไม่ต้องต่อรถแต่อาจจะต้องรอคิวนานกว่าเล็กน้อย
    เจ้าหน้าที่ขายตั๋วรถแบ่งตั๋วเป็นสีตามลำดับชุดของการซื้อ ในตั๋วแต่ละสีระบุหมายเลขคิว และในแต่ละคิวมีตั๋วประมาณ 10 ใบ นั่นทำให้เรามั่นใจได้ว่าคนที่มาก่อนจะไม่โดนแซงคิวอย่างแน่นอน
    ตั๋วรถของพวกเราเป็นตั๋วสีฟ้า ลำดับที่ 242 แต่ช่วงเวลาที่เราไปถึงเพิ่งเรียกถึงคิวที่ 114 เท่านั้น แสดงว่าเราต้องรอคิวอีกร้อยกว่าคิว แต่เราไม่รู้ว่าต้องรอเป็นเวลานานเท่าไร
    ที่นี่ เราได้พบกับกลุ่มผู้หญิงวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งที่แวะเข้ามาทักทาย คุณป้าเล่าให้พวกเราฟังว่า เดินทางมาจากกรุงเทพฯ และมาที่นี่ทุกปี วันนี้มาถึงหลังพวกเราไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่คิวที่ได้เป็นคนละสีกับพวกเรา นั่นหมายความว่าคุณป้าอาจต้องรอถึงพรุ่งนี้เช้ากว่าจะได้ขึ้นไปบนเขา ทั้งที่มาทุกปีแต่พวกท่านไม่เคยคิดมาก่อนว่าปีนี้จะพบคนมากมายขนาดนี้

    “มาทุกปีเพราะความศรัทธา หลวงพ่อเขียนท่านศักดิ์สิทธิ์ ป้าเคยมาตั้งแต่ท่านยังไม่มรณภาพ”
    หลวงพ่อเขียน (เขียน ขันธสโร) หรือ พระครูธรรมสรคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดกะทิง เป็นผู้ค้นพบหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นผู้เปิดตำนานเขาคิชฌกูฏ เนื่องจากหลวงพ่อเขียนเป็นผู้บุกเบิกทางขึ้น พร้อมทั้งนำรถยนต์ขึ้นไปบนเขาครั้งแรก และหลังจากนั้นก็ค่อยพัฒนาทางขึ้นเขาให้ดีและปลอดภัยมากขึ้นเรื่อยๆ มาจนถึงปัจจุบัน
    ว่ากันว่าหลวงพ่อเขียนมีอิทธิฤทธิ์ และมีอาคมแก่กล้า ท่านสามารถสะกดสัตว์ป่าไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านบริเวณทางเดินในตอนที่เปิดเขาคิชฌกูฏ เพื่อให้ผู้คนขึ้นมาสักการะรอยพระพุทธบาทได้อย่างปลอดภัย
    ช่วงเวลารอรถแต่ละคิวใช้เวลาประมาณ 15 นาที บ้างก็มีคิวติดกันสองสามคิว แล้วเว้นไปนานถึงครึ่งชั่วโมงก็มี  คำนวณตัวเลขคร่าวๆ เราต้องรอรถอีกไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง เมื่อต้องรออย่างไม่มีทางเลือก เราจึงชวนกันไปนอนเอาแรง เราเดินไปยังเสื่อที่ตอนแรกเห็นผู้คนนั่ง นอน กันอยู่เรียงราย บางกลุ่มเริ่มหมุนเวียนกันไปขึ้นรถ แต่คนก็ยังอยู่กันมากจนเราต้องขอแทรกตัวลงไปนอนบ้าง แต่พื้นที่ก็ยังไม่พอ จะมีเหลือก็เพียงพื้นที่ข้างโลงสีขาวเก่าๆ ที่ตั้งรับบริจาคเพื่อศพยากไร้ ยังดีที่ในโลงไม่มีศพ
    เสื่อที่เรานอนปูอยู่กลางแจ้ง มีหลังคาเป็นหมอกจางๆ ปกคลุม ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาว ยิ่งจำนวนชั่วโมงรอเพิ่มมากขึ้น ยิ่งรู้สึกถึงความลำบาก เสียงเด็กเล็กเริ่มร้องกระจองอแงเสียดหู ด้วยอุณหภูมิที่เริ่มต่ำลง คนที่นอนโดยไม่มีเสื้อแขนยาวคลุมก็เริ่มขอความอบอุ่นจากเพื่อน แต่ก็ช่วยคลายความหนาวได้ไม่มากนัก  จนเริ่มรู้สึกเหมือนเสื้อคลุมจะหดตัวเล็กลงไปทุกทีๆ บางคนที่ไม่มีเสื้อคลุม มีเพียงกระเป๋าใบเล็กๆ จากตอนแรกที่ใช้หนุนนอนก็เริ่มเปลี่ยนมากอดด้วยหวังจะช่วยคลายหนาวลงไปได้บ้าง

2.00 น.
    ผ่านไป 3 ชั่วโมง ความหนาวรุกคืบจนแทบทนไม่ไหว บนพื้นแข็งๆ ที่มีเพียงเสื่อบางๆ กั้นระหว่างดินลูกรังเม็ดเล็กแหลมกับผิวกาย ความแหลมของหินแทงทุละผ่านเสื่อขึ้นมาจนรู้สึกเจ็บ ทั้งหนาวทั้งเมื่อยและยังขยับตัวลำบาก ด้วยจะพลิกตัวแต่ละครั้งก็เกรงจะไปชนคนข้างๆ ที่นอนเบียดกันจนชิดราวกับปลากระป๋อง
    บริเวณลานวัดยังครึกครื้นเหมือนตอนแรกที่เรามาถึง เหล่าแม่ค้าดูจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในพื้นที่แห่งนี้ ทั้งมาม่า โอวัลติน กาแฟ กลายเป็นสินค้ายอดนิยม สำหรับคนที่อยากผ่อนคลาย กลุ่มแม่บ้านวัดกะทิงก็ได้จัดบริการนวดแผนไทยไว้บริการถึงที่ ด้วยราคาชั่วโมงละ 150 บาท แล้วเพื่อนคนหนึ่งของเราก็ไปทดลองใช้บริการ
    “คงไม่นานหรอกมั้ง เดี๋ยวคงได้ขึ้นรถ” เมื่อคิดได้ดังนั้น เราจึงชวนกันไปซื้อดอกไม้ เพราะเห็นว่าใครๆ ที่ขึ้นรถไปก่อนหน้ามักจะมีถุงดอกดาวเรืองติดมือไปด้วย
    ดอกดาวเรืองหนึ่งถุง ราคา 100 บาท นอกจากดาวเรืองแล้ว ในถุงประกอบด้วย เทียน ธูปที่มีสีและจำนวนแตกต่างกันตามวันเกิด ผ้าแดง ผ้าสามสี พลอยตามวันเกิดปีเกิด พระประจำวันเกิดหนึ่งองค์ และกระดาษบทสวดมนต์
    “แพงจัง !” ใครคนหนึ่งท้วง

5.00 น.
    “กลับกันไหม ?” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น อาจจะด้วยการรอคอยที่ยาวนานบวกกับความเหนื่อยล้าที่ต้องมานอนกลางดินกินน้ำค้าง และอาจจะด้วยความเป็นห่วงเพื่อนคนหนึ่งที่เริ่มปวดหัวและหน้าซีดลง
    หลังจากได้ยินเสียงนั้น มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ บางคนมองถุงดอกไม้ข้างตัว บางคนก็หันไปมองผู้คนที่ยังเดินกันอยู่ขวักไขว่
    แล้วทุกคนก็หันมองหน้ากันด้วยสีหน้าและแววตาที่ยากจะคาดเดา
    นานหลายนาทีกว่าคนต่อมาจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและสีหน้าลำบากใจแต่กลับได้ยินชัดเจนในความรู้สึกว่า “เรามากันถึงนี่แล้วนะ จะกลับกันจริงเหรอวะ”
ทุกคนตกอยู่ในภวังค์คล้ายกับว่ากำลังหาคำตอบให้กับตัวเอง...พวกเรามาทำอะไรกันที่นี่ ?

มีต่อค่ะ (ลุ้นกันว่าเราจะกลับหรือเปล่า)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่