ผมคิดว่า ตอนนี้เป็น ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่เราจะหันมามอง ถกเถียง วงการนี้กันครับ
ทำไม "ถึงใกล้ที่จะตาย "
อันนี้เป็น การวิเคราะห์ส่วนตัวและกลั่นกรองมาจากการที่เคยตั้งวงสนทนาแลกเปลี่ยน
กับผู้ที่เสพและผลิต สื่อเหล่านี้มานะครับ
วงการภาพยนตร์ไทย ณ เวลานี้ ผมมองว่ามีส่วนคล้ายๆ "วงการฟุตบอลไทย เมื่อก่อนราว3-5ปีที่แล้ว ที่ถูกหมดศรัทธาจากแฟนบอล"
จากข่าวคราวความตกตำ่ ตอนนี้จึงมีคำถามที่แสนเสียดแทงมากๆคือ
"คนไทยไม่ดูหนังไทย กันแล้วเหรอ" หมดศรัทธาในฝีมือคนไทยแล้วเหรอ
คำตอบเดียวที่คิดได้คือ "ยังหรอกครับ"
แค่กำลังก้าวไปอีก ขั้นนึง มันกำลังใช้ เวลา อารมณ์ และ ความตกตำ่ถึงที่สุด ในการตกผลึก และจะฟื้น
ท่านผู้ผลิต นายทุน ผู้สร้าง มารับฟังกันหน่อยนะครับ
จากการที่ผมได้รวบรวมเหตุผลหรือใครหลายๆคนวิเคราะห์ ออกมาถึงปัญหาที่วงการนี้กำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานี้
คงมีมากมายหลายปัญหา สำหรับ ผมขอสรุปประเด็น ปัญหาหลักๆ เลยนะครับ ในมุมมองกลุ่ม คนดู คนจ่ายตังค์ซื้อต๋ัว
ถึงมันจะฟังดูกระดากหู หรือเสียดแทงใจผู้ผลิตหรือนายทุนบ้าง
ขอให้ลองเปิดใจ รับฟังกันหน่อยนะครับ จะได้ไม่ต้องทำแบบสำรวจให้เสียเวลา
อาจจะเป็นลมแผ่วๆ เสียงกระซิบเบาๆ ที่ช่วยเป็นหนึ่งแรงกระตุ้น ให้ปฏิวัติวงการภาพยนตร์ไทย
เพื่อการกลับมายืนอย่างสง่างามของวงการนี้
ผมขออธิบายด้วยคำจำกัดความสั้นๆนะครับ
1 "หัวโบราณ" กี่ปีแล้วครับ ที่ วงการนี้ยำ่อยู่กับที่ ทั้งผู้ผลิต นายทุน การตลาด ที่แสนล้าสมัย
ผมรู้นะครับว่าทุกคนพยายามพัฒนาอย่างสุดความสามารถ เพื่อไล่ตามตลาด
แต่ความคิดความอ่านที่จะทำหนังแต่ละเรื่องตอนนี้ ต้องยอมรับว่า ตามไม่ทัน ความต้องการของตลาด ตามไม่ทันกระแสหนังชนโรงด้วยกันจริงๆ
สมมติ ง่ายๆ เลย หนังที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ รีเมคอยู่เรื่อยๆ จากบทประพันธ์ซ้ำซากกก ซึ่งใครๆก็รู้ว่าทิศทางหนังเป็นอย่างไร
บางเรื่องเคยเป็นหนังโรง 3-4เวอร์ชั่น ถึงแม้จะใช้ดาราซุปตาร์ มาเป็นแม่เหล็ก ถ้าติดกระแสร้อยล้านไม่ได้ ก็ดับอนาจ
มีหนังประวัติศาสตร์ ชีวประวัติบุคคล บทประพันธ์อมตะ หรือวรรณคดี กี่เรื่องครับ ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ในปีสองปีที่ผ่านมา
แล้วมาคร่ำครวญว่า "หนังดีๆ ทำมา ทำไมคนไทยไม่ดู" มาเรียกร้องจากผู้บริโภค มันใช่หรือ?
นี่สนามรบที่ร้อยละ80 ของตลาดคือคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่ "ละครไทย"ที่กลุ่มตลาดอีกแบบนึง(ละไว้ฐานที่เข้าใจ) จะมารีเมคเรื่อยๆหากินยากครับ
2 "ไร้กึ๋น" ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว ยุคนี้ คือ สงครามแห่งกึ๋น
ในตลาดตอนนี้ ผมคิดว่า สู้กันด้วย กึ๋น ซึ่งคั้นแล้ว คั้นอีก กรองด้วยผ้าขาวสิบชั้นเลยทีเดียว
โดยเมื่อมี ทุนสิบๆล้านเป็นเดิมพัน
อย่างที่บอกครับ ผมไม่ได้แอนตี้หนังประวัติศาสตร์ นะครับ แต่ ผมไม่เห็นด้วยกับหนังที่ยังใช้หัวคิดโบราณ
อันจะเห็น ได้จาก หนังโบราณบางเรื่อง ที่"มีกึ๋น" มีความเป็นสมัยใหม่ เข้าใจง่าย เป็น"กระแส" ก็กวาดกันไปเป็น พันล้านก็มี
หนังไทยบางเรื่อง ยุคปัจจุบัน นำเสนอ เรื่องพื้นๆ การใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อมี คอนฟริคที่ใช่ ไดอาล็อกที่โดน นักแสดงที่คนรัก อะไรๆก็ดูดีไปหมด
ไม่ใช่อะไรที่ซ้ำซากจำเจ สร้างสนองนี้ดคนสร้าง และนายทุน พอเจ้ง ก็มาบอกว่า"คนไทยไม่ดูหนังไทย"
ขอย้ำ ถ้าคอนฟริคใช่ ไดอาล็อกโดน ตามด้วยนักแสดงที่มหาชนรักนิดหน่อย ไม่ต้องมีงบร้อยล้านพันล้าน ไอโฟนเครื่องเดียวก็เอาอยู่
3 "ความสดใหม่" คุณยังจำความรู้สึกเมื่อได้ดู หนังพวกนี้ได้ไหม (ขอยกตัวอย่างบางเรื่อง)
ในเวลานั้น ขณะนั้น คือความแปลกใหม่ สดใหม่ ประสบการณ์ใหม่ ที่ผู้ชมในโรงภาพยนตร์ประทับใจ จนเกิดเป็น"กระแส"
จะเห็นได้ว่ากระแส เป็นสิ่งสำคัญ ผมจะคุยท้ายสุดนะครับ
หนังที่ยกตัวอย่างมานี้ ขอบเขตงานหรือทุนสร้างไม่เยอะเลย แต่มัน สอดคล้องตามหลักการ และเรียกความสนใจมหาชนได้
ซึ่ง ในปัจจุบันนี้ ที่เค้าบอกกัน คือ หนังทุกเรื่องคือหนังดี มีสาระ กันหมด อันนี้ไม่เถียง แต่ทำไมไม่มีที่ยืนในตารางโชว์ไทม์ล่ะ
เพราะ คนดูไม่รู้ไงว่าเขาเอาสาระไปทำอะไร ไม่มีความแปลกใหม่ ไม่มีประสบการณ์ที่น่าทดลอง หรือกระแสที่ชวนติดตาม
พอยอดรายได้ วันเข้าฉายไม่ถึงก็โดนเรื่องอื่นเบือดรัศมีอย่างรวดเร็วเป็นธรรมดา
หนังบางเรื่อง แค่ตัวอย่างหนัง ก็สปอยล์เนื้อเรื่องจนเกือบหมด หรือแค่ดูชื่อเรื่อง ก็เดาทิศทางตัวหนังได้แล้ว โดยเฉพาะ หนังดราม่า หนังตลก
ซึ่งสุดท้ายแล้ว คนดูก็ไม่คิดที่จะลงทุนเข้าไปดู ในสิ่งที่รอดูออนไลน์ฟรีได้ หากต้องแลกกับเงิน200บาทกับเสียเวลา2ชม
ในวงการคนดูและคนสร้าง มีศัพท์คำนึงคือ Cliche มาจากภาษาฝรั่งเศส หมายถึง"สิ่งที่เดาได้ง่าย สิ่งที่ใช้กันจนเกร่อ โหล หรือ บางทีก็หมายถึงว่ามันไม่ค่อยสร้างสรรค์ เพราะไม่ได้คิดอะไรใหม่ ใช้แบบที่เขาทำๆกัน" ซึ่งเกิดขึ้นกับวงการหนังไทยในตอนนี้
การมีคลิเช่ นั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะครูบาอาจารย์กล่าวไว้ว่า การสร้างหนังมันมีทุกรูปแบบแล้ว มีทุกเหตุการณ์ ทุกเรื่องราวไปหมดแล้ว
ในสมัยนี้ผู้สร้างจึงต้อง คิดให้มากหน่อย ใส่กึ๋นที่กรองมาอย่างดี เล่นกับคลิเช่ เล่นกับการคาดเดาของคนดู ก็จะเกิดได้ไม่ยากครับ
4 "ยุคที่หนังไทย ทำลายศรัทธาคนดู" นี่คือเหตุการณ์สำคัญและร้ายแรง ที่เคยเกิดขึ้นจริงครับ เมื่อไม่กี่ปีมานี้
ซึ่งมีอยู่ช่วงนึง ที่ ผลประโยชน์ ครอบงำเหนือ สิ่งที่ควรจะเป็น
ช่วงยุคนั้น คนดูต้องการความบันเทิงรูปแบบนี้มาก เป็นช่วงบูมก็ว่าได้
แต่ผู้สร้างบางท่าน เน้นบางท่าน เริ่มมีแนวทางที่ค่อนข้างเอารัดเอาเปรียบ ไม่คำนึง จรรยาบรรณ การตลาดนำไว้ก่อน
มันเกิดขึ้น ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
ดูถูกสติปัญญาคนดูหนัง ทำให้ความศรัทธาค่อยๆเสื่อม และหมดไป
ทำให้วงการภาพยนตร์ไทยมาถึงจุดซบเซาแบบทุกวันนี้
ผมไม่ขอลงรายละเอียดนะครับ กลัวจะเกิดดราม่า หวังว่าหลายๆคนที่อ่านพอจะนึกภาพช่วงเวลานั้นกันออก
5 "ข้ออ้างที่ก้าวไม่พ้น" ขอร้องนะครับ อย่าเอาคำว่า "สู้ระดับฮอลลีวู้ดไม่ได้" "สู้ระดับเกาหลีไม่ได้" มาใช้ ถ้ายังติดอยู่กับคำพวกนี้
เราจะไปต่อไม่ได้ครับ
ผลงานคนไทยรุ่นใหม่ ทีมงานฝีมือ ทักษะดี มีมากมายครับ เห็นได้จากผลงานที่ทำให้ต่างประเทศ
แต่พวกเขาแค่ยังไม่มีโอกาส ที่เหมาะสม จากผู้ใหญ่ หรือเป็นไปได้ว่า แทบไม่มีช่องทางให้กลุ่มคนหน้าใหม่กันเลย
สิบปี ยี่สิบปี ดูหนัง ผกก คนเดิมยังไง ตอนนี้ ก็ยังดู ผกก คนเดิมยังงั้น เอาเด็กมัธยม เอาตลก เอาคำหยาบคาย มุกหยาบๆ มาใช้
น้อยมากที่จะได้เห็น ผกก หน้าใหม่ อำนวยการสร้างโดย ผกก รุ่นใหญ่ที่สนับสนุน
(และผมคิดว่าอีกไม่นานเอฟเฟคนี้จะเกิดกับวงการดนตรีบ้านเรา)
และที่สำคัญกลัวการเปรียบเทียบ
"หนังฮอลลีวู้ด งบเยอะกว่า สตูดิโอใหญ่กว่า เทคโนโลยีดีกว่า เราสู้ไม่ได้หรอก ทำแบบเดิมๆ คอมฟอร์ทโซนก็ดีอยู่แล้ว"
ผมคิดว่า คำนี้เหมือนกับ "บอลไทย ไปบอลโลก"นะ
ถึงมันอยู่ไกลแต่ เป็นฝันที่สามารถเป็นไปได้ ถูกไหมครับ ไม่ต้องขนาด ฮอลลีวู้ดก็ได้ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ก็ได้ครับ
ผมเคยมีอาจารย์เกาหลีอาวุโสท่านนึง ท่านเคยบอกว่า ยี่สิบ สามสิบ ปีที่แล้ว เกาหลีใต้มองเรา เหมือนเรามองเขาในวันนี้ เขายังจำ พี่เบิร์ด ที่เป็นต้นแบบพวก โอปป้าตอนนี้ได้เลย กรี๊ดดดดกันสลบ
ถ้าจุดนี้ยัง แก้เกมส์ หรือ พัฒนาไม่ได้ ก็สู้บน"สังเวียนโรงหนังลำบาก"ครับ เพราะราคาตั๋ว เท่ากันทุกเรื่อง จะเลือกหนังไทย หรือ หนังตปท.ดีล่ะ?
หรือเราจะปล่อยให้ ต่างประเทศมาโกยเงินๆเอา อย่างนั้นหรือ
6 "หนังไทยสร้างมาให้ แค่คนไทยดู???" พูดได้เลยว่า 9ใน10 กระบวนการนำเสนอของหนังส่วนใหญ่ เจาะจงเพียงแค่คนไทยครับ ไม่มองต่อไป ไม่คิดที่จะตีเมืองชาวบ้านบ้าง ผมไม่แน่ใจว่า ทำไมเป็นแบบนี้ ไม่มีการสนับสนุน หรือริเร่มให้จริงจังกันเลย
ยอมให้เขาเอาความคิด เอาวัฒนธรรม ต่างบ้านต่างเมือง
มาตีเราฝ่ายเดียวเลย นี่ก็เป็นส่วนนึง ของค่านิยมหนังนอกครับ
7 "นักแสดงแบบไทยๆ ขอนไม้ ก้อนหิน ผี ตลก ตุ้ด วัยรุ่น" อันนี้ต้องยอมรับนะครับว่า หากจะพัฒนาวงการนี้ การแสดงและบทบาทในภาพยนตร์
ต้องเคี่ยวกรำนักแสดงภาพยนตร์ ให้มากกว่านี้ 10เท่า แคสติ้งต้องทำงานหนักกว่านี้ให้มาก ใช้เวลาบ่ม เวิร์คชอปต้องเข้มข้น
ไม่ใช่ตีกินเรื่อยๆ
ลองศึกษา จากเมืองนอกก็ได้ กว่าจะเป็นพระเอกหนังแอ๊คชั่นเรื่องนึงต้องทุ่มเทกันขนาดไหน
กว่าจะเข้าถึงบทบาท แต่ละเรื่อง เช่น ต้องลดน้ำหนักเพิ่มน้ำหนัก ไปอยู่โรงพยาบาลบ้า เดินป่า อยู่ในค่ายทหาร ลงไปคลุกคลีกับโจรจริงๆ เป็นต้น ของเราไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้นะ จะได้รับงานซ้อนหากินต่อ
แต่ต้องทุ่มเทให้ในเรื่องจิตวิญญาณอีกเยอะ คนดูจะได้เชื่อในบทบาทได้ เพราะเราอยู่ในยุคที่เล่นกับอารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่ ยุคหล่อเนี้ยบ สวยปิ้ง อีกต่อไปแล้ว
นักแสดงวัย40-50ก็เป็นพระเอกนางเอกได้นะครับ คิดสิคิด
อย่างว่า บ้านเราการตลาดนำ เอาความสวยหล่อใส เป็นจุดขาย จนไม่ลืมหูลืมตา
ถ้าไม่เห็นด้วย จะเอาสวยเอาหล่อเข้าว่าก็ได้ครับ ผมไม่ว่า เป็นทหารรบฆ่าฟัน ก็หล่อเนี้ยบ ป่วยจะตายก็เมคอัพหนาเต็มๆเข้าไว้ พอไม่เกิดความเชื่อในตัวนักแสดงเอง การแสดง แอคติ้งต่างๆ ก็ไม่มีทางพัฒนาครับ
ที่บอกกันว่า "ฝากด้วยนะ เรื่องนี้ผม/หนู พยายามเต็มที่ครับ/ค่ะ" ไม่ต้องบอกครับ คนดูตัดสินเอง
และอีกนิดครับ พอเถอะครับ กับ วัยรุ่น ผี ตลก รัก มุกหยาบ ตุ้ด เอา ขอนไม้ ก้อนหิน มาเล่น พอๆๆๆๆๆ
จะไปให้ถึงจุดสูงสุดมันต้องแลกครับ
8 "เนื้อเรื่อง บท ไม่มีมิติ ไม่มีสเน่ห์ ไม่น่าสนใจ ไม่น่าลงทุน.....ไม่น่ารอด" ตามนั้นครับ บทที่ดี ไม่ต้องหนาเท่าสมุดหน้าเหลือง บทที่ดี แค่กระดาษA4แผ่นเดียวก็พอแล้ว "Less is More" ฝรั่งชอบพูดว่าคิดให้มากๆ ลงมือน้อย
ยังย้ำคำเดิม พลอตน้อยแต่มาก ไดอาล็อกแหล่มๆ คอนฟลิกโดนๆ กินขาดดด นายทุนเห็นก็เทให้ไม่อั้น
ผมขอยกตัวอย่างพลอตหนังดังๆ ที่น้อย แต่มากเป็นคำนิยามนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เช่น MadMax Fury Road พลอตจริงๆมีแค่การขโมยเมีย หนีการไล่ล่า แล้วยูเทิร์นกลับ แค่นั้น
หรือ IT's FOLLOW แค่ผีเดินช้าๆ ตามไปทุกที่ แต่คนทำมีกึ๋น มาก อัดความน่ากลัวเต็มคราบ
ในขณะที่หนังไทย บทนักแสดงต้องมากๆ ต้องมีพระ มีนาง มีตัวร้าย มีลูกน้อง พ่อ แม่ เพื่อน แฟนเก่า ตลก และผี แล้วต้องมีบทเยอะไปหมดแจกๆๆกัน
บางเรื่องเยอะ ไปหมด เยอะจริงๆ เยอะมากๆๆ ถ่าย18โลเคชั่น พร๊อพ100ชิ้น ใช้วนไปมา งงไม่รู้บ้านใครเป็นบ้านใคร
ไม่มีสเน่ห์ ขาดมิติ ดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรงเรียบๆแบนๆ ไม่น่าสนใจ ไม่มีไดอาล็อกโดนๆ
"ไม่เกิดภาพจำ"
9 "ไม่มีการต่อยอด"
หนังเข้าคือเข้า หนังจบคือจบ
ไม่ได้แรงบันดาลใจ หรือไอเดียอะไร ที่จะนำพาให้เกิดมูลค่าในตัวหนังเพิ่มขึ้นเลย
ประเทศที่ต่อยอดมูลค่าสื่อภาพยนตร์ได้ดีที่สุดคือ ญี่ปุ่น เขาทำได้มากมายหลากหลายมากๆๆๆ
หากเริ่มในจุดนี้ได้ ก็จะทำการตลาด และสร้างการบริโภคแบบชาตินิยมกลายๆ ได้อีกเยอะ
10 "ตายไม่ตาย ขึ้นอยู่กับกระแส" ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ครับ "กระแส"
เหมือนกับชีวิตของหนังก็ว่าได้ เราอยู่ในยุคโซเชียล มันรวดเร็ว ฉับไว ปุบปับ
ถ้าทีมผู้สร้างไม่วางแผนหรือจัดการเรื่องนี้ดีๆนะ ระยะเวลาการยืนโรงฉาย หนังไทยโดนเบียด ระเนระนาดเเน่
เพราะหนังฟอร์มใหญ่จ่อคิวทุกสัปดาห์ ค่าตั๋วเท่ากัน กลุ่มตลาดกลุ่มเดิม วันพุธ วันพฤหัส วันศุกร์ เสาร์ ตัวตัดสิน
ถ้าไม่มีการแก้เกมส์ช่วงนี้ จบ ครับ
แต่หากกระแสดี หนังดีจริง คนดูแล้วช่วยกันกระพรือ ปากต่อปาก ดูซ้ำ2-3รอบ เอาไปเลยครับ ร้อยล้าน พันล้าน
และเราก็มายังจุดเดิมครับ
จุดที่คนดูหนังหมดศรัทธาในวงการภาพยนตร์ไทย ภาพยนตร์ไทยกำลังจะแดดิ้นแล้วเหรอ
ผมคิดว่าต้องดูกันต่อไปครับ
หากผู้ส้ราง นายทุน ทุกคนที่เกี่ยวข้อง เข้าใจบทบาทหน้าที่ และเปิดใจ รับฟังข้อเสนอ หรือเสียงสะท้อน จากคนดู
และนำไปใช้ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข ลดอคติ วางกระบวนทัศน์ใหม่
นำความสร้างสรรค์ ความถูกต้อง อยู่เหนือการตลาด
ไม่แน่ วันนึง ภาพยนตร์ไทยอาจฟื้นกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ มีเทศกาลหนังของตัว มีฮอลลีวู้ดของตัวเอง
มีเสรีภาพ อิสระทางความคิด
โหวตกันหน่อยนะครับ ถือว่าช่วยกันเข็นครกใบนี้ให้สูงขึ้น
วงการภาพยนตร์ไทยใกล้จะตาย มาฟังมุมมองคนดู คนเสพ คนจ่ายตังค์ซื้อตั๋วหน่อยไหม มาถกกันครับ
ทำไม "ถึงใกล้ที่จะตาย "
อันนี้เป็น การวิเคราะห์ส่วนตัวและกลั่นกรองมาจากการที่เคยตั้งวงสนทนาแลกเปลี่ยน
กับผู้ที่เสพและผลิต สื่อเหล่านี้มานะครับ
วงการภาพยนตร์ไทย ณ เวลานี้ ผมมองว่ามีส่วนคล้ายๆ "วงการฟุตบอลไทย เมื่อก่อนราว3-5ปีที่แล้ว ที่ถูกหมดศรัทธาจากแฟนบอล"
จากข่าวคราวความตกตำ่ ตอนนี้จึงมีคำถามที่แสนเสียดแทงมากๆคือ
"คนไทยไม่ดูหนังไทย กันแล้วเหรอ" หมดศรัทธาในฝีมือคนไทยแล้วเหรอ
คำตอบเดียวที่คิดได้คือ "ยังหรอกครับ"
แค่กำลังก้าวไปอีก ขั้นนึง มันกำลังใช้ เวลา อารมณ์ และ ความตกตำ่ถึงที่สุด ในการตกผลึก และจะฟื้น
ท่านผู้ผลิต นายทุน ผู้สร้าง มารับฟังกันหน่อยนะครับ
จากการที่ผมได้รวบรวมเหตุผลหรือใครหลายๆคนวิเคราะห์ ออกมาถึงปัญหาที่วงการนี้กำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานี้
คงมีมากมายหลายปัญหา สำหรับ ผมขอสรุปประเด็น ปัญหาหลักๆ เลยนะครับ ในมุมมองกลุ่ม คนดู คนจ่ายตังค์ซื้อต๋ัว
ถึงมันจะฟังดูกระดากหู หรือเสียดแทงใจผู้ผลิตหรือนายทุนบ้าง
ขอให้ลองเปิดใจ รับฟังกันหน่อยนะครับ จะได้ไม่ต้องทำแบบสำรวจให้เสียเวลา
อาจจะเป็นลมแผ่วๆ เสียงกระซิบเบาๆ ที่ช่วยเป็นหนึ่งแรงกระตุ้น ให้ปฏิวัติวงการภาพยนตร์ไทย
เพื่อการกลับมายืนอย่างสง่างามของวงการนี้
ผมขออธิบายด้วยคำจำกัดความสั้นๆนะครับ
1 "หัวโบราณ" กี่ปีแล้วครับ ที่ วงการนี้ยำ่อยู่กับที่ ทั้งผู้ผลิต นายทุน การตลาด ที่แสนล้าสมัย
ผมรู้นะครับว่าทุกคนพยายามพัฒนาอย่างสุดความสามารถ เพื่อไล่ตามตลาด
แต่ความคิดความอ่านที่จะทำหนังแต่ละเรื่องตอนนี้ ต้องยอมรับว่า ตามไม่ทัน ความต้องการของตลาด ตามไม่ทันกระแสหนังชนโรงด้วยกันจริงๆ
สมมติ ง่ายๆ เลย หนังที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ รีเมคอยู่เรื่อยๆ จากบทประพันธ์ซ้ำซากกก ซึ่งใครๆก็รู้ว่าทิศทางหนังเป็นอย่างไร
บางเรื่องเคยเป็นหนังโรง 3-4เวอร์ชั่น ถึงแม้จะใช้ดาราซุปตาร์ มาเป็นแม่เหล็ก ถ้าติดกระแสร้อยล้านไม่ได้ ก็ดับอนาจ
มีหนังประวัติศาสตร์ ชีวประวัติบุคคล บทประพันธ์อมตะ หรือวรรณคดี กี่เรื่องครับ ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ในปีสองปีที่ผ่านมา
แล้วมาคร่ำครวญว่า "หนังดีๆ ทำมา ทำไมคนไทยไม่ดู" มาเรียกร้องจากผู้บริโภค มันใช่หรือ?
นี่สนามรบที่ร้อยละ80 ของตลาดคือคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่ "ละครไทย"ที่กลุ่มตลาดอีกแบบนึง(ละไว้ฐานที่เข้าใจ) จะมารีเมคเรื่อยๆหากินยากครับ
2 "ไร้กึ๋น" ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว ยุคนี้ คือ สงครามแห่งกึ๋น
ในตลาดตอนนี้ ผมคิดว่า สู้กันด้วย กึ๋น ซึ่งคั้นแล้ว คั้นอีก กรองด้วยผ้าขาวสิบชั้นเลยทีเดียว
โดยเมื่อมี ทุนสิบๆล้านเป็นเดิมพัน
อย่างที่บอกครับ ผมไม่ได้แอนตี้หนังประวัติศาสตร์ นะครับ แต่ ผมไม่เห็นด้วยกับหนังที่ยังใช้หัวคิดโบราณ
อันจะเห็น ได้จาก หนังโบราณบางเรื่อง ที่"มีกึ๋น" มีความเป็นสมัยใหม่ เข้าใจง่าย เป็น"กระแส" ก็กวาดกันไปเป็น พันล้านก็มี
หนังไทยบางเรื่อง ยุคปัจจุบัน นำเสนอ เรื่องพื้นๆ การใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อมี คอนฟริคที่ใช่ ไดอาล็อกที่โดน นักแสดงที่คนรัก อะไรๆก็ดูดีไปหมด
ไม่ใช่อะไรที่ซ้ำซากจำเจ สร้างสนองนี้ดคนสร้าง และนายทุน พอเจ้ง ก็มาบอกว่า"คนไทยไม่ดูหนังไทย"
ขอย้ำ ถ้าคอนฟริคใช่ ไดอาล็อกโดน ตามด้วยนักแสดงที่มหาชนรักนิดหน่อย ไม่ต้องมีงบร้อยล้านพันล้าน ไอโฟนเครื่องเดียวก็เอาอยู่
3 "ความสดใหม่" คุณยังจำความรู้สึกเมื่อได้ดู หนังพวกนี้ได้ไหม (ขอยกตัวอย่างบางเรื่อง)
ในเวลานั้น ขณะนั้น คือความแปลกใหม่ สดใหม่ ประสบการณ์ใหม่ ที่ผู้ชมในโรงภาพยนตร์ประทับใจ จนเกิดเป็น"กระแส"
จะเห็นได้ว่ากระแส เป็นสิ่งสำคัญ ผมจะคุยท้ายสุดนะครับ
หนังที่ยกตัวอย่างมานี้ ขอบเขตงานหรือทุนสร้างไม่เยอะเลย แต่มัน สอดคล้องตามหลักการ และเรียกความสนใจมหาชนได้
ซึ่ง ในปัจจุบันนี้ ที่เค้าบอกกัน คือ หนังทุกเรื่องคือหนังดี มีสาระ กันหมด อันนี้ไม่เถียง แต่ทำไมไม่มีที่ยืนในตารางโชว์ไทม์ล่ะ
เพราะ คนดูไม่รู้ไงว่าเขาเอาสาระไปทำอะไร ไม่มีความแปลกใหม่ ไม่มีประสบการณ์ที่น่าทดลอง หรือกระแสที่ชวนติดตาม
พอยอดรายได้ วันเข้าฉายไม่ถึงก็โดนเรื่องอื่นเบือดรัศมีอย่างรวดเร็วเป็นธรรมดา
หนังบางเรื่อง แค่ตัวอย่างหนัง ก็สปอยล์เนื้อเรื่องจนเกือบหมด หรือแค่ดูชื่อเรื่อง ก็เดาทิศทางตัวหนังได้แล้ว โดยเฉพาะ หนังดราม่า หนังตลก
ซึ่งสุดท้ายแล้ว คนดูก็ไม่คิดที่จะลงทุนเข้าไปดู ในสิ่งที่รอดูออนไลน์ฟรีได้ หากต้องแลกกับเงิน200บาทกับเสียเวลา2ชม
ในวงการคนดูและคนสร้าง มีศัพท์คำนึงคือ Cliche มาจากภาษาฝรั่งเศส หมายถึง"สิ่งที่เดาได้ง่าย สิ่งที่ใช้กันจนเกร่อ โหล หรือ บางทีก็หมายถึงว่ามันไม่ค่อยสร้างสรรค์ เพราะไม่ได้คิดอะไรใหม่ ใช้แบบที่เขาทำๆกัน" ซึ่งเกิดขึ้นกับวงการหนังไทยในตอนนี้
การมีคลิเช่ นั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะครูบาอาจารย์กล่าวไว้ว่า การสร้างหนังมันมีทุกรูปแบบแล้ว มีทุกเหตุการณ์ ทุกเรื่องราวไปหมดแล้ว
ในสมัยนี้ผู้สร้างจึงต้อง คิดให้มากหน่อย ใส่กึ๋นที่กรองมาอย่างดี เล่นกับคลิเช่ เล่นกับการคาดเดาของคนดู ก็จะเกิดได้ไม่ยากครับ
4 "ยุคที่หนังไทย ทำลายศรัทธาคนดู" นี่คือเหตุการณ์สำคัญและร้ายแรง ที่เคยเกิดขึ้นจริงครับ เมื่อไม่กี่ปีมานี้
ซึ่งมีอยู่ช่วงนึง ที่ ผลประโยชน์ ครอบงำเหนือ สิ่งที่ควรจะเป็น
ช่วงยุคนั้น คนดูต้องการความบันเทิงรูปแบบนี้มาก เป็นช่วงบูมก็ว่าได้
แต่ผู้สร้างบางท่าน เน้นบางท่าน เริ่มมีแนวทางที่ค่อนข้างเอารัดเอาเปรียบ ไม่คำนึง จรรยาบรรณ การตลาดนำไว้ก่อน
มันเกิดขึ้น ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
ดูถูกสติปัญญาคนดูหนัง ทำให้ความศรัทธาค่อยๆเสื่อม และหมดไป
ทำให้วงการภาพยนตร์ไทยมาถึงจุดซบเซาแบบทุกวันนี้
ผมไม่ขอลงรายละเอียดนะครับ กลัวจะเกิดดราม่า หวังว่าหลายๆคนที่อ่านพอจะนึกภาพช่วงเวลานั้นกันออก
5 "ข้ออ้างที่ก้าวไม่พ้น" ขอร้องนะครับ อย่าเอาคำว่า "สู้ระดับฮอลลีวู้ดไม่ได้" "สู้ระดับเกาหลีไม่ได้" มาใช้ ถ้ายังติดอยู่กับคำพวกนี้
เราจะไปต่อไม่ได้ครับ
ผลงานคนไทยรุ่นใหม่ ทีมงานฝีมือ ทักษะดี มีมากมายครับ เห็นได้จากผลงานที่ทำให้ต่างประเทศ
แต่พวกเขาแค่ยังไม่มีโอกาส ที่เหมาะสม จากผู้ใหญ่ หรือเป็นไปได้ว่า แทบไม่มีช่องทางให้กลุ่มคนหน้าใหม่กันเลย
สิบปี ยี่สิบปี ดูหนัง ผกก คนเดิมยังไง ตอนนี้ ก็ยังดู ผกก คนเดิมยังงั้น เอาเด็กมัธยม เอาตลก เอาคำหยาบคาย มุกหยาบๆ มาใช้
น้อยมากที่จะได้เห็น ผกก หน้าใหม่ อำนวยการสร้างโดย ผกก รุ่นใหญ่ที่สนับสนุน
(และผมคิดว่าอีกไม่นานเอฟเฟคนี้จะเกิดกับวงการดนตรีบ้านเรา)
และที่สำคัญกลัวการเปรียบเทียบ
"หนังฮอลลีวู้ด งบเยอะกว่า สตูดิโอใหญ่กว่า เทคโนโลยีดีกว่า เราสู้ไม่ได้หรอก ทำแบบเดิมๆ คอมฟอร์ทโซนก็ดีอยู่แล้ว"
ผมคิดว่า คำนี้เหมือนกับ "บอลไทย ไปบอลโลก"นะ
ถึงมันอยู่ไกลแต่ เป็นฝันที่สามารถเป็นไปได้ ถูกไหมครับ ไม่ต้องขนาด ฮอลลีวู้ดก็ได้ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ก็ได้ครับ
ผมเคยมีอาจารย์เกาหลีอาวุโสท่านนึง ท่านเคยบอกว่า ยี่สิบ สามสิบ ปีที่แล้ว เกาหลีใต้มองเรา เหมือนเรามองเขาในวันนี้ เขายังจำ พี่เบิร์ด ที่เป็นต้นแบบพวก โอปป้าตอนนี้ได้เลย กรี๊ดดดดกันสลบ
ถ้าจุดนี้ยัง แก้เกมส์ หรือ พัฒนาไม่ได้ ก็สู้บน"สังเวียนโรงหนังลำบาก"ครับ เพราะราคาตั๋ว เท่ากันทุกเรื่อง จะเลือกหนังไทย หรือ หนังตปท.ดีล่ะ?
หรือเราจะปล่อยให้ ต่างประเทศมาโกยเงินๆเอา อย่างนั้นหรือ
6 "หนังไทยสร้างมาให้ แค่คนไทยดู???" พูดได้เลยว่า 9ใน10 กระบวนการนำเสนอของหนังส่วนใหญ่ เจาะจงเพียงแค่คนไทยครับ ไม่มองต่อไป ไม่คิดที่จะตีเมืองชาวบ้านบ้าง ผมไม่แน่ใจว่า ทำไมเป็นแบบนี้ ไม่มีการสนับสนุน หรือริเร่มให้จริงจังกันเลย
ยอมให้เขาเอาความคิด เอาวัฒนธรรม ต่างบ้านต่างเมือง
มาตีเราฝ่ายเดียวเลย นี่ก็เป็นส่วนนึง ของค่านิยมหนังนอกครับ
7 "นักแสดงแบบไทยๆ ขอนไม้ ก้อนหิน ผี ตลก ตุ้ด วัยรุ่น" อันนี้ต้องยอมรับนะครับว่า หากจะพัฒนาวงการนี้ การแสดงและบทบาทในภาพยนตร์
ต้องเคี่ยวกรำนักแสดงภาพยนตร์ ให้มากกว่านี้ 10เท่า แคสติ้งต้องทำงานหนักกว่านี้ให้มาก ใช้เวลาบ่ม เวิร์คชอปต้องเข้มข้น
ไม่ใช่ตีกินเรื่อยๆ
ลองศึกษา จากเมืองนอกก็ได้ กว่าจะเป็นพระเอกหนังแอ๊คชั่นเรื่องนึงต้องทุ่มเทกันขนาดไหน
กว่าจะเข้าถึงบทบาท แต่ละเรื่อง เช่น ต้องลดน้ำหนักเพิ่มน้ำหนัก ไปอยู่โรงพยาบาลบ้า เดินป่า อยู่ในค่ายทหาร ลงไปคลุกคลีกับโจรจริงๆ เป็นต้น ของเราไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้นะ จะได้รับงานซ้อนหากินต่อ
แต่ต้องทุ่มเทให้ในเรื่องจิตวิญญาณอีกเยอะ คนดูจะได้เชื่อในบทบาทได้ เพราะเราอยู่ในยุคที่เล่นกับอารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่ ยุคหล่อเนี้ยบ สวยปิ้ง อีกต่อไปแล้ว
นักแสดงวัย40-50ก็เป็นพระเอกนางเอกได้นะครับ คิดสิคิด
อย่างว่า บ้านเราการตลาดนำ เอาความสวยหล่อใส เป็นจุดขาย จนไม่ลืมหูลืมตา
ถ้าไม่เห็นด้วย จะเอาสวยเอาหล่อเข้าว่าก็ได้ครับ ผมไม่ว่า เป็นทหารรบฆ่าฟัน ก็หล่อเนี้ยบ ป่วยจะตายก็เมคอัพหนาเต็มๆเข้าไว้ พอไม่เกิดความเชื่อในตัวนักแสดงเอง การแสดง แอคติ้งต่างๆ ก็ไม่มีทางพัฒนาครับ
ที่บอกกันว่า "ฝากด้วยนะ เรื่องนี้ผม/หนู พยายามเต็มที่ครับ/ค่ะ" ไม่ต้องบอกครับ คนดูตัดสินเอง
และอีกนิดครับ พอเถอะครับ กับ วัยรุ่น ผี ตลก รัก มุกหยาบ ตุ้ด เอา ขอนไม้ ก้อนหิน มาเล่น พอๆๆๆๆๆ
จะไปให้ถึงจุดสูงสุดมันต้องแลกครับ
8 "เนื้อเรื่อง บท ไม่มีมิติ ไม่มีสเน่ห์ ไม่น่าสนใจ ไม่น่าลงทุน.....ไม่น่ารอด" ตามนั้นครับ บทที่ดี ไม่ต้องหนาเท่าสมุดหน้าเหลือง บทที่ดี แค่กระดาษA4แผ่นเดียวก็พอแล้ว "Less is More" ฝรั่งชอบพูดว่าคิดให้มากๆ ลงมือน้อย
ยังย้ำคำเดิม พลอตน้อยแต่มาก ไดอาล็อกแหล่มๆ คอนฟลิกโดนๆ กินขาดดด นายทุนเห็นก็เทให้ไม่อั้น
ผมขอยกตัวอย่างพลอตหนังดังๆ ที่น้อย แต่มากเป็นคำนิยามนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในขณะที่หนังไทย บทนักแสดงต้องมากๆ ต้องมีพระ มีนาง มีตัวร้าย มีลูกน้อง พ่อ แม่ เพื่อน แฟนเก่า ตลก และผี แล้วต้องมีบทเยอะไปหมดแจกๆๆกัน
บางเรื่องเยอะ ไปหมด เยอะจริงๆ เยอะมากๆๆ ถ่าย18โลเคชั่น พร๊อพ100ชิ้น ใช้วนไปมา งงไม่รู้บ้านใครเป็นบ้านใคร
ไม่มีสเน่ห์ ขาดมิติ ดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรงเรียบๆแบนๆ ไม่น่าสนใจ ไม่มีไดอาล็อกโดนๆ
"ไม่เกิดภาพจำ"
9 "ไม่มีการต่อยอด"
หนังเข้าคือเข้า หนังจบคือจบ
ไม่ได้แรงบันดาลใจ หรือไอเดียอะไร ที่จะนำพาให้เกิดมูลค่าในตัวหนังเพิ่มขึ้นเลย
ประเทศที่ต่อยอดมูลค่าสื่อภาพยนตร์ได้ดีที่สุดคือ ญี่ปุ่น เขาทำได้มากมายหลากหลายมากๆๆๆ
หากเริ่มในจุดนี้ได้ ก็จะทำการตลาด และสร้างการบริโภคแบบชาตินิยมกลายๆ ได้อีกเยอะ
10 "ตายไม่ตาย ขึ้นอยู่กับกระแส" ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ครับ "กระแส"
เหมือนกับชีวิตของหนังก็ว่าได้ เราอยู่ในยุคโซเชียล มันรวดเร็ว ฉับไว ปุบปับ
ถ้าทีมผู้สร้างไม่วางแผนหรือจัดการเรื่องนี้ดีๆนะ ระยะเวลาการยืนโรงฉาย หนังไทยโดนเบียด ระเนระนาดเเน่
เพราะหนังฟอร์มใหญ่จ่อคิวทุกสัปดาห์ ค่าตั๋วเท่ากัน กลุ่มตลาดกลุ่มเดิม วันพุธ วันพฤหัส วันศุกร์ เสาร์ ตัวตัดสิน
ถ้าไม่มีการแก้เกมส์ช่วงนี้ จบ ครับ
แต่หากกระแสดี หนังดีจริง คนดูแล้วช่วยกันกระพรือ ปากต่อปาก ดูซ้ำ2-3รอบ เอาไปเลยครับ ร้อยล้าน พันล้าน
และเราก็มายังจุดเดิมครับ
จุดที่คนดูหนังหมดศรัทธาในวงการภาพยนตร์ไทย ภาพยนตร์ไทยกำลังจะแดดิ้นแล้วเหรอ
ผมคิดว่าต้องดูกันต่อไปครับ
หากผู้ส้ราง นายทุน ทุกคนที่เกี่ยวข้อง เข้าใจบทบาทหน้าที่ และเปิดใจ รับฟังข้อเสนอ หรือเสียงสะท้อน จากคนดู
และนำไปใช้ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข ลดอคติ วางกระบวนทัศน์ใหม่
นำความสร้างสรรค์ ความถูกต้อง อยู่เหนือการตลาด
ไม่แน่ วันนึง ภาพยนตร์ไทยอาจฟื้นกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ มีเทศกาลหนังของตัว มีฮอลลีวู้ดของตัวเอง
มีเสรีภาพ อิสระทางความคิด
โหวตกันหน่อยนะครับ ถือว่าช่วยกันเข็นครกใบนี้ให้สูงขึ้น