เห็นด้วยหรือไม่ ? จะขี่บิ๊กไบค์ได้ ต้องมีใบอนุญาตเฉพาะต่างหาก ?!?!

เมื่อวันที่ 6 มี.ค. กรมการขนส่งทางบก ได้มีการออกมาเปิดเผยว่า
ยอดการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ที่มีขนาดกระบอกสูบมากกว่า 150 ซีซี หรือ บิ๊กไบค์ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2557 มียอดจดทะเบียน 48,716 คัน, ปี 2558 มียอดจดทะเบียน 54,475 คัน
และมีสูงขึ้นในช่วงต้นปี 2559 รวมทั้งสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนร้อยละ 90 เกิดจากรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์

ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์มีอายุตั้งแต่ 14-50 ปี และพบว่าอุบัติเหตุช่วงหลังจะเกิดกับรถบิ๊กไบค์ที่ผู้ขับขี่ขาดทักษะ
ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ปัจจุบันสามารถเข้าถึงรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่มีราคาค่อนข้างแพงได้มากขึ้น
เนื่องจากมีระบบเงินผ่อน มีวงเงินดาวน์ไม่มากและส่วนหนึ่งมาจากบริษัทผู้ผลิตมาตั้งฐานการผลิตในไทย ทำให้มีราคาถูกลง
โดยสามารถแบ่งผู้ขับขี่ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มผู้ใหญ่อายุมากจะขี่รถจักรยานยนต์แพง ๆ คันเป็นล้าน
2. กลุ่มวัยทำงานที่มีความจำเป็นต้องใช้รถขนาดใหญ่ ขนาดกลาง
3. กลุ่มวัยรุ่น คือเด็กมัธยมถึงระดับอุดมศึกษา ซึ่งกลุ่มนี้น่าห่วงเพราะวุฒิภาวะยังน้อย ขาดทักษะในการขับขี่
เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และบ่อยครั้งสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ด้วยการแต่งท่อไอเสียที่เสียงดังเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

ในปี 2559 คงจะเห็นการบังคับการทำใบขับขี่ประเภทรถขนาดใหญ่ออกมาอย่างเห็นเป็นรูปธรรมแล้ว
จากการทำงานร่วมกันของกองบังคับการตำรวจจราจร กรมการขนส่งทางบก และผู้เชี่ยวชาญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
โดยมีมติให้รถที่มีความจุกระบอกสูบ 400 ซีซี ขึ้นไป และต้องอายุ 18 ปีขึ้นไป ถึงจะสอบทำใบขับขี่รถประเภทขนาดใหญ่
ปัจจุบันผู้ที่จะทำใบขับขี่รถจักรยานยนต์แบบไม่กำหนดซีซี ต้องอายุ 18 ปี
การนำกฎหมายนี้มาใช้โดยมีการศึกษาจากทางประเทศยุโรปที่สามารถควบคุมการใช้รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงนำมาปรับใช้ในประเทศไทย และในอนาคตอาจต้องมีสถาบันการฝึกอบรมการขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ
เปิดจัดอบรมและจัดสอบทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ โดยให้ครูฝึกประเมินว่าผ่านหรือไม่

“คนไทยส่วนใหญ่อีโก้สูง คิดว่าขับได้ไม่ต้องเรียน เลยเกิดอุบัติเหตุบ่อย ทุกครั้งซื้อรถเขาแถมคอร์สเรียนให้อยู่แล้ว
แต่ร้อยละ 80 ไม่เรียน เพราะคิดว่าเรียนทำไมขี่ได้แล้ว ขี่ได้กับขี่เป็นต่างกันครับ อุปกรณ์ป้องกันไม่มี บางคนใส่รองเท้าแตะ
กางเกงขาสั้น เสื้อยืด ใส่หมวกผ้า อุปกรณ์ป้องกันไม่มี จริงๆ ต้องมีอุปกรณ์หุ้มไหล่ หุ้มเข่า ใส่ถุงมือ ใส่หมวกกันน็อก
พอล้มมันจะช่วยป้องกันการเจ็บตัว นี่คือสิ่งที่ถูกต้องก่อนเราจะขี่ คนส่วนใหญ่จะควบคุมเครื่องไม่ได้ เจอทางแปลกๆ
ก็จะชอลอความเร็วกะทันหัน เบรกไม่อยู่ ไปโทษถนนลื่นบ้าง” ครูฝึกขี่บิ๊กไบค์ กล่าว

“กฎหมายกำหนดอายุ 18 ปี สามารถขอใบขับขี่ ขอใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ได้ทุกประเภท พอกฎหมายเป็นลักษณะนี้
นั่นหมายความว่า รถจักรยานยนต์ขนาด 150 ซีซี 1,000 ซีซี อยู่ในข้อบังคับเดียวกัน ทั้งที่ความจริงแล้วการขี่รถบิ๊กไบค์ต้องมีทักษะที่สูงกว่า
จึงมีการเสนอให้กรมการขนส่งทางบกแยกใบขับขี่รถจักรยานยนต์เป็น 2 รูปแบบ โดยเสนอให้แบ่ง
รถจักรยานยนต์ที่มีขนาดกระบอกสูบ 400 ซีซีขึ้นไป ถือว่าเป็นรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ ต้องมีใบอนุญาตขับขี่เฉพาะ
ผู้ที่ขอใบอนุญาตได้ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ต้องมีใบรับรองจากสถานประกอบการฝึกอบรมขับขี่บิ๊กไบค์ ผ่านการทดสอบที่เข้มงวด
ในการสอบปฏิบัติต้องนำรถขนาดใหญ่มาทดสอบ ซึ่งมาตรการนี้คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2559 นี้
เพราะทุกวันนี้เจอปัญหาคือ ตอนสอบใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ เอารถขนาดเล็กมาสอบ พอได้ใบอนุญาตไปขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่
ทักษะไม่เพียงพอ วุฒิภาวะก็ยังไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้เราพบอุบัติเหตุค่อนข้างเยอะ
วันนี้กฎหมายเลยทำอะไรไม่ได้ แต่พยายามปรับปรุง คุยกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง กำหนดขั้นตอนเพื่อให้เกิดความปลอดภัยบนท้องถนน”
พ.ต.อ.เอกรักษ์ กล่าว

ที่มา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่