ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าอิ้งค์เคยเรียนการแสดงกับครูน้องนัทมาสักพัก อิ้งค์เริ่มเรียนมาตั้งแต่ปี 2555 ตอนนั้นอิ้งค์กำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาศิลปะการแสดง และครูน้องนัทน่าจะศึกษาอยู่ปี 2(เท่าที่จำความได้ 555+)
อิงค์จำได้เลยว่าตอนนั้นอาจารย์ประจำวิชาการแสดงท่านหนึ่งได้พานักศึกษาจากอีกมหาลัยหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง และแนะนำให้นักศึกษาในห้องรู้จักกับน้องคนนั้น เค้าชื่อว่า “น้องนัท นพดล สวัสดิ์อรุณวงศ์ กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(เอแบค) ชั้นปีที่ 2(ในขณะนั้น)" อาจารย์บอกว่าเด็กคนนี้จะมาเป็นอาจารย์พิเศษในวันนี้ หนูและเพื่อนๆก็งงๆกับสิ่งที่อาจารย์พูด เพราะอยู่ดีๆก็พาเด็กจาก ม. อื่นมาแนะนำว่าเป็นอาจารย์ หนูเชื่อว่าเป็นใครก็ต้องเกิดอาการงงแตกขึ้นมาในวินาทีนั้น แต่พอน้องเค้าเริ่มพูดเริ่มสอน เค้ากลับทำให้นักศึกษาทั้งห้องต้องตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
วินาทีแรกที่อาจารย์บอกให้น้องเค้าเริ่ม น้องเค้ายกมือขึ้นไหว้พวกหนู(ที่มีอายุมากกว่า 555+) และขอให้ทุกคนแนะนำตัว โดยเริ่มจากตัวน้องเค้าเอง ไล่ไปเรื่อยๆจนมากระทั่งหนูและก็ต่อไปจนครบทุกคนในห้อง พอแนะนำเสร็จ น้องเค้าก็ขออนุญาตอาจารย์ประจำวิชา ซึ่งอาจารย์ก็บอกให้น้องเค้าเริ่มได้เลย จะทำอะไรก็ได้(คงเป็นเพราะความเขินอายและไม่กล้าในตอนแรก) น้องเค้าเลยลากเก้าอี้มานั่ง และให้ทุกคนในห้องมานั่งอยู่ใกล้ๆกัน สอบถามเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของทุกคนในห้อง ให้ทุกคนเล่าความฝัน ถามถึงเรื่องราวที่มีความสุขที่สุดและความทุกข์ที่สุดในชีวิต ตอนนั้นอิ้งค์ก็ไม่เข้าใจว่าจะให้เล่าทำไม แต่ก็เล่าไปฮาๆตามประสา เค้าบอกให้ทำอะไรก็ทำ จะได้จบๆคลาสสักที
น้องเค้าก็เล่าถึงตัวเองให้พวกเราฟัง (เดี๋ยวพวกคุณจะได้อ่านเนื้อหาเรื่องนี้ในบทสัมภาษณ์ที่อิ้งค์กับเพื่อนๆได้ทำขึ้นในกระทู้นี้ เพื่อตอบแทนสิ่งที่น้องคนนั้นได้สอนตอนที่พวกเราได้โอกาสเรียน แต่น้องเค้ายังไม่ตายนะ 5555+ พวกเราแค่อยากจะทำอะไรเพื่อเค้าบ้างอะ) โอเค ต่อนะ พอน้องเค้าเล่าเสร็จ อาจารย์จึงบอกให้น้องเค้าแสดงอะไรสักอย่างเพื่อให้พวกเราดูว่าน้องเค้ามีความสามารถ น้องเค้าเลยขอร้องเพลงๆนึง แต่เค้าจะเปลี่ยนเพลงๆนั้นให้เป็นแบบมิวสิคัล(น้องเค้าบอกว่าเป็นสิ่งที่เค้าถนัดที่สุด) เพลงที่น้องเค้าร้องคือเพลง “ชีวิตลิขิตเอง” ของพี่เบิร์ด ซึ่งในความคิดของอิ้งค์ตอนนั้นคือมันโคตรโบราณเลย 5555+ น้องเค้าดูเป็นวัยรุ่นเกินกว่าจะร้องเพลงเก่าแบบนั้นได้ แต่พอน้องเค้าร้องเสร็จ ทุกคนในห้องกลับยืนขึ้นและตบมือให้กับความสามารถในการร้องและการแสดงของน้องเค้า บางคนเดินเข้าไปจับมือ บางคนเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูป บรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่คำแรกที่น้องเค้าร้อง ตอนที่ฟังแรกๆก็ไม่ได้คิดอะไร สักพักอิ้งค์ถึงกับน้ำตาไหลเพราะน้องเค้าไม่ได้ร้องให้มันเพราะอย่างเดียว ในแววตาของน้องเค้าสื่อสารอะไรบางอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อ ความศรัทธาในตัวเอง ไม่ยอมให้ใครลิขิตจริงๆ ซึ่งตอนนั้นอิ้งค์ก็มีปัญหากับทางบ้านเรื่องที่เลือกมาเรียนการแสดง พอน้องเค้าร้องเสร็จ ทุกคนแสดงความชื่นชมเสร็จ อาจารย์จึงบอกให้น้องเค้าอธิบายถึงเรื่องราวที่เค้าสื่อสารออกมาในการร้องเพลง น้องเค้าบอกว่าจริงๆแล้วทางบ้านไม่ชอบให้เค้าเรียนการแสดง ไม่อยากให้เรียนนิเทศฯ อยากให้เรียนบริหาร อยากให้ไปเป็นเจ้าของบริษัท อยากให้ได้เงินเยอะๆ แต่น้องเค้าชอบการแสดง โดยเฉพาะละครเวที เค้าเลยต้องทะเลาะกับที่บ้าน มีปากเสียงกันใหญ่โต ด่ากันด้วยคำรุนแรง ต่อสู้จนได้เรียนนิเทศฯ ทำงานหาเงินพิเศษเพื่อไปเที่ยวโดยการแสดงละครเวที และทำงานกับทีมละครเวทีมาโดยตลอด เค้าทำให้คนที่บ้านเชื่อว่าเค้าสามารถเรียนการแสดงได้ ถึงแม้ว่าจะชอบการแสดง แต่เค้าก็ได้ทุนการศึกษาเพื่อเข้าเรียนที่เอแบค เกรดเฉลี่ยก็ค่อนข้างสูง(สูงกว่าอิ้งค์อีก -_-“) ทางบ้านเค้าจึงยอมให้เค้าเรียนนิเทศฯ พออิ้งค์ได้ยินในสิ่งที่น้องเค้าพูดมา อิ้งค์ยิ่งน้ำตาไหลหนักกว่าเดิม ทั้งสงสารน้องเค้าและก็สงสารตัวเอง ชีวิตของเราสองคนคล้ายกันมากกกกกก อาจารย์ก็เล่าถึงเรื่องราวที่ทำให้อาจารย์ได้เจอกับน้องเค้า อาจารย์บอกว่าจริงๆแล้วน้องนัทเป็นครูพิเศษสอนการแสดงกับเพื่อนของอาจารย์มาหลายปีแล้ว ก่อนที่น้องเค้าจะเข้ามาเรียนนิเทศฯ น้องเค้าก็ช่วยเพื่อนอาจารย์สอนอยู่ที่สถาบันแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แล้วตอนที่อาจารย์กับเพื่อนนัดเจอกัน เพื่อนของอาจารย์ก็พาน้องนัทมาด้วย แนะนำให้อาจารย์รู้จัก จนวันนึงอาจารย์ได้ไปหาเพื่อนที่สถาบันแล้วได้เข้าไปดูน้องเค้าสอน อาจารย์จึงขอให้น้องเค้าลองมาสอนพวกเรา ตอนแรกที่ได้เจอน้องนัท อิ้งค์ก็คิดว่าน้องเค้าก็แค่นักศึกษาธรรมดาๆจากเอแบค ไม่ได้คิดว่าจะเป็นครูสอนการแสดงอะไร ไม่คิดว่าจะเก่งจนกระทั่งทำให้คนในห้องชื่นชมได้ขนาดนั้น พอหมดเวลา อาจารย์จึงถามคนในห้องว่าอยากให้น้องเค้ามาสอนอีกไหม มีเพื่อนอิ้งค์บางคนตะโกนว่าอยาก บางคนก็บอกว่าแล้วแต่ อิ้งค์ก็เป็นคนนึงที่อยากให้น้องเค้ามาสอนอีก อาจารย์ก็บอกว่าถ้าน้องเค้ามีเวลาก็จะพามาอีก หลังจากนั้นอิ้งค์กับน้องนัทก็ได้เจอกันอีก 2-3 คลาส แล้วก็ไม่ได้เจอกับน้องเค้าแล้ว พอถึงเวลาที่ต้องทำละครจบ อิ้งค์ก็ขอให้น้องเค้าช่วย เพราะอิ้งค์คิดไม่ออกว่าจะทำยังไง จะต้องทำอะไรบ้าง จะต้องคิดถึงอะไรบ้าง อิ้งค์กับเพื่อนๆได้นัดน้องนัทให้ช่วยพวกเราคิดละครจบ น้องเค้าก็ยินดีที่จะช่วยโดยที่ไม่ได้คิดค่าตอบแทนอะไรเลย พอผ่านกระบวนการความคิดแล้ว ถึงเวลาต้องลงมือทำ เวลาอิ้งค์กับเพื่อนมีปัญหาอะไร ก็จะโทรหาน้องนัท ปรึกษาปัญหาบางอย่างกับน้องเค้า บางทีก็นัดน้องนัทออกไปเลี้ยงข้าว ไปเที่ยวกลางคืน ตอบแทนในสิ่งที่น้องเค้าได้ช่วยมาโดยตลอด แต่ยังไงน้องนัทเค้าก็ยืนยันว่าจะไม่รับเงินใดใดทั้งสิ้น เพราะเค้ารักละครเวที เค้าชอบละครเวทีมากกว่า เค้าถึงมีความสุขกับการได้ช่วยพวกเรา
หลังจากที่อิ้งค์กับเพื่อนๆจบจาก มศว. ในปี 2557 อิ้งค์ก็มีโอกาสได้ไปสมัครเรียนการแสดงต่อกับน้องนัทที่สถาบันส่วนตัวที่น้องนัทได้ทำงานอยู่เพราะว่าอิ้งค์ชอบสไตล์การสอน และวิธีการสอนที่เน้นไปในด้านปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี(ไม่ชอบตัวหนังสืออะไรเยอะๆอะนะ) ตั้งแต่ปี 2557-2558 อิ้งค์ก็ได้เรียนคลาสการแสดงกับครูน้องนัท ครูแซมมี่ และเพื่อนๆของครูทั้งสองมาโดยตลอด จนหมดคอร์สที่สมัครไป
อิ้งค์กับเพื่อนๆ มศว. ได้สัมภาษณ์ครูน้องนัทเพื่อจัดทำกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อให้พวกคุณได้อ่าน และพวกเราคิดว่าความคิดของเด็กคนนึงที่เริ่มต้นจากความชอบในเรื่องการแสดง จนทำให้ปัจจุบันเค้าได้กลายมาเป็นอาจารย์สอนการแสดงเต็มตัวอย่างน้องนัทได้เป็นตัวอย่างของเด็กๆและผู้ที่ได้อ่านกระทู้นี้นะคะ
[ประสบการณ์-บทสัมภาษณ์] “จากศิษย์ เป็นครู” - ชีวิตละคร ของ “ครูนัท นพดล สวัสดิ์อรุณวงศ์”
อิงค์จำได้เลยว่าตอนนั้นอาจารย์ประจำวิชาการแสดงท่านหนึ่งได้พานักศึกษาจากอีกมหาลัยหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง และแนะนำให้นักศึกษาในห้องรู้จักกับน้องคนนั้น เค้าชื่อว่า “น้องนัท นพดล สวัสดิ์อรุณวงศ์ กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(เอแบค) ชั้นปีที่ 2(ในขณะนั้น)" อาจารย์บอกว่าเด็กคนนี้จะมาเป็นอาจารย์พิเศษในวันนี้ หนูและเพื่อนๆก็งงๆกับสิ่งที่อาจารย์พูด เพราะอยู่ดีๆก็พาเด็กจาก ม. อื่นมาแนะนำว่าเป็นอาจารย์ หนูเชื่อว่าเป็นใครก็ต้องเกิดอาการงงแตกขึ้นมาในวินาทีนั้น แต่พอน้องเค้าเริ่มพูดเริ่มสอน เค้ากลับทำให้นักศึกษาทั้งห้องต้องตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
วินาทีแรกที่อาจารย์บอกให้น้องเค้าเริ่ม น้องเค้ายกมือขึ้นไหว้พวกหนู(ที่มีอายุมากกว่า 555+) และขอให้ทุกคนแนะนำตัว โดยเริ่มจากตัวน้องเค้าเอง ไล่ไปเรื่อยๆจนมากระทั่งหนูและก็ต่อไปจนครบทุกคนในห้อง พอแนะนำเสร็จ น้องเค้าก็ขออนุญาตอาจารย์ประจำวิชา ซึ่งอาจารย์ก็บอกให้น้องเค้าเริ่มได้เลย จะทำอะไรก็ได้(คงเป็นเพราะความเขินอายและไม่กล้าในตอนแรก) น้องเค้าเลยลากเก้าอี้มานั่ง และให้ทุกคนในห้องมานั่งอยู่ใกล้ๆกัน สอบถามเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของทุกคนในห้อง ให้ทุกคนเล่าความฝัน ถามถึงเรื่องราวที่มีความสุขที่สุดและความทุกข์ที่สุดในชีวิต ตอนนั้นอิ้งค์ก็ไม่เข้าใจว่าจะให้เล่าทำไม แต่ก็เล่าไปฮาๆตามประสา เค้าบอกให้ทำอะไรก็ทำ จะได้จบๆคลาสสักที
น้องเค้าก็เล่าถึงตัวเองให้พวกเราฟัง (เดี๋ยวพวกคุณจะได้อ่านเนื้อหาเรื่องนี้ในบทสัมภาษณ์ที่อิ้งค์กับเพื่อนๆได้ทำขึ้นในกระทู้นี้ เพื่อตอบแทนสิ่งที่น้องคนนั้นได้สอนตอนที่พวกเราได้โอกาสเรียน แต่น้องเค้ายังไม่ตายนะ 5555+ พวกเราแค่อยากจะทำอะไรเพื่อเค้าบ้างอะ) โอเค ต่อนะ พอน้องเค้าเล่าเสร็จ อาจารย์จึงบอกให้น้องเค้าแสดงอะไรสักอย่างเพื่อให้พวกเราดูว่าน้องเค้ามีความสามารถ น้องเค้าเลยขอร้องเพลงๆนึง แต่เค้าจะเปลี่ยนเพลงๆนั้นให้เป็นแบบมิวสิคัล(น้องเค้าบอกว่าเป็นสิ่งที่เค้าถนัดที่สุด) เพลงที่น้องเค้าร้องคือเพลง “ชีวิตลิขิตเอง” ของพี่เบิร์ด ซึ่งในความคิดของอิ้งค์ตอนนั้นคือมันโคตรโบราณเลย 5555+ น้องเค้าดูเป็นวัยรุ่นเกินกว่าจะร้องเพลงเก่าแบบนั้นได้ แต่พอน้องเค้าร้องเสร็จ ทุกคนในห้องกลับยืนขึ้นและตบมือให้กับความสามารถในการร้องและการแสดงของน้องเค้า บางคนเดินเข้าไปจับมือ บางคนเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูป บรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่คำแรกที่น้องเค้าร้อง ตอนที่ฟังแรกๆก็ไม่ได้คิดอะไร สักพักอิ้งค์ถึงกับน้ำตาไหลเพราะน้องเค้าไม่ได้ร้องให้มันเพราะอย่างเดียว ในแววตาของน้องเค้าสื่อสารอะไรบางอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อ ความศรัทธาในตัวเอง ไม่ยอมให้ใครลิขิตจริงๆ ซึ่งตอนนั้นอิ้งค์ก็มีปัญหากับทางบ้านเรื่องที่เลือกมาเรียนการแสดง พอน้องเค้าร้องเสร็จ ทุกคนแสดงความชื่นชมเสร็จ อาจารย์จึงบอกให้น้องเค้าอธิบายถึงเรื่องราวที่เค้าสื่อสารออกมาในการร้องเพลง น้องเค้าบอกว่าจริงๆแล้วทางบ้านไม่ชอบให้เค้าเรียนการแสดง ไม่อยากให้เรียนนิเทศฯ อยากให้เรียนบริหาร อยากให้ไปเป็นเจ้าของบริษัท อยากให้ได้เงินเยอะๆ แต่น้องเค้าชอบการแสดง โดยเฉพาะละครเวที เค้าเลยต้องทะเลาะกับที่บ้าน มีปากเสียงกันใหญ่โต ด่ากันด้วยคำรุนแรง ต่อสู้จนได้เรียนนิเทศฯ ทำงานหาเงินพิเศษเพื่อไปเที่ยวโดยการแสดงละครเวที และทำงานกับทีมละครเวทีมาโดยตลอด เค้าทำให้คนที่บ้านเชื่อว่าเค้าสามารถเรียนการแสดงได้ ถึงแม้ว่าจะชอบการแสดง แต่เค้าก็ได้ทุนการศึกษาเพื่อเข้าเรียนที่เอแบค เกรดเฉลี่ยก็ค่อนข้างสูง(สูงกว่าอิ้งค์อีก -_-“) ทางบ้านเค้าจึงยอมให้เค้าเรียนนิเทศฯ พออิ้งค์ได้ยินในสิ่งที่น้องเค้าพูดมา อิ้งค์ยิ่งน้ำตาไหลหนักกว่าเดิม ทั้งสงสารน้องเค้าและก็สงสารตัวเอง ชีวิตของเราสองคนคล้ายกันมากกกกกก อาจารย์ก็เล่าถึงเรื่องราวที่ทำให้อาจารย์ได้เจอกับน้องเค้า อาจารย์บอกว่าจริงๆแล้วน้องนัทเป็นครูพิเศษสอนการแสดงกับเพื่อนของอาจารย์มาหลายปีแล้ว ก่อนที่น้องเค้าจะเข้ามาเรียนนิเทศฯ น้องเค้าก็ช่วยเพื่อนอาจารย์สอนอยู่ที่สถาบันแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แล้วตอนที่อาจารย์กับเพื่อนนัดเจอกัน เพื่อนของอาจารย์ก็พาน้องนัทมาด้วย แนะนำให้อาจารย์รู้จัก จนวันนึงอาจารย์ได้ไปหาเพื่อนที่สถาบันแล้วได้เข้าไปดูน้องเค้าสอน อาจารย์จึงขอให้น้องเค้าลองมาสอนพวกเรา ตอนแรกที่ได้เจอน้องนัท อิ้งค์ก็คิดว่าน้องเค้าก็แค่นักศึกษาธรรมดาๆจากเอแบค ไม่ได้คิดว่าจะเป็นครูสอนการแสดงอะไร ไม่คิดว่าจะเก่งจนกระทั่งทำให้คนในห้องชื่นชมได้ขนาดนั้น พอหมดเวลา อาจารย์จึงถามคนในห้องว่าอยากให้น้องเค้ามาสอนอีกไหม มีเพื่อนอิ้งค์บางคนตะโกนว่าอยาก บางคนก็บอกว่าแล้วแต่ อิ้งค์ก็เป็นคนนึงที่อยากให้น้องเค้ามาสอนอีก อาจารย์ก็บอกว่าถ้าน้องเค้ามีเวลาก็จะพามาอีก หลังจากนั้นอิ้งค์กับน้องนัทก็ได้เจอกันอีก 2-3 คลาส แล้วก็ไม่ได้เจอกับน้องเค้าแล้ว พอถึงเวลาที่ต้องทำละครจบ อิ้งค์ก็ขอให้น้องเค้าช่วย เพราะอิ้งค์คิดไม่ออกว่าจะทำยังไง จะต้องทำอะไรบ้าง จะต้องคิดถึงอะไรบ้าง อิ้งค์กับเพื่อนๆได้นัดน้องนัทให้ช่วยพวกเราคิดละครจบ น้องเค้าก็ยินดีที่จะช่วยโดยที่ไม่ได้คิดค่าตอบแทนอะไรเลย พอผ่านกระบวนการความคิดแล้ว ถึงเวลาต้องลงมือทำ เวลาอิ้งค์กับเพื่อนมีปัญหาอะไร ก็จะโทรหาน้องนัท ปรึกษาปัญหาบางอย่างกับน้องเค้า บางทีก็นัดน้องนัทออกไปเลี้ยงข้าว ไปเที่ยวกลางคืน ตอบแทนในสิ่งที่น้องเค้าได้ช่วยมาโดยตลอด แต่ยังไงน้องนัทเค้าก็ยืนยันว่าจะไม่รับเงินใดใดทั้งสิ้น เพราะเค้ารักละครเวที เค้าชอบละครเวทีมากกว่า เค้าถึงมีความสุขกับการได้ช่วยพวกเรา
หลังจากที่อิ้งค์กับเพื่อนๆจบจาก มศว. ในปี 2557 อิ้งค์ก็มีโอกาสได้ไปสมัครเรียนการแสดงต่อกับน้องนัทที่สถาบันส่วนตัวที่น้องนัทได้ทำงานอยู่เพราะว่าอิ้งค์ชอบสไตล์การสอน และวิธีการสอนที่เน้นไปในด้านปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี(ไม่ชอบตัวหนังสืออะไรเยอะๆอะนะ) ตั้งแต่ปี 2557-2558 อิ้งค์ก็ได้เรียนคลาสการแสดงกับครูน้องนัท ครูแซมมี่ และเพื่อนๆของครูทั้งสองมาโดยตลอด จนหมดคอร์สที่สมัครไป
อิ้งค์กับเพื่อนๆ มศว. ได้สัมภาษณ์ครูน้องนัทเพื่อจัดทำกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อให้พวกคุณได้อ่าน และพวกเราคิดว่าความคิดของเด็กคนนึงที่เริ่มต้นจากความชอบในเรื่องการแสดง จนทำให้ปัจจุบันเค้าได้กลายมาเป็นอาจารย์สอนการแสดงเต็มตัวอย่างน้องนัทได้เป็นตัวอย่างของเด็กๆและผู้ที่ได้อ่านกระทู้นี้นะคะ