หลังจากจบ ปริญญาตรีแล้ว จะทำยังไงกับชีวิตต่อไปดี

หลังจบ ปริญญาตรีแล้ว จะทำยังไงต่อไปดี

หลังจากที่เข้าศึกษาในหลักสูตร ปริญญาตรี จนครบกระบวนวิชา (เก็บได้ทุกหน่อยกิจแล้ว) ก็จะต้องทำเรื่อง "แจ้งจบ" และ ชำระค่าธรรมต่างๆในการแจ้งจบ กับมหาลัย เพื่อที่จะได้ ให้ สภามหาวิทยาลัย อนุมบัติว่า นักศักษาคนนี้ ได้จบหลักสูตร และ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นบัณฑิตแล้ว  ซึ่งก็ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์เหมือนกัน กว่าจะได้เอกสารการรับรองการเป็นบัณฑิต จากสภามหาวิทยาลัย

จากนั้นก็ให้ไปติดตาม กำหนดการ รับพระะราชทานปริญญาบัตร ว่ามหาลัยจะจัดขึ้นวันไหน แล้วก่อนถึงกำหนด ประมาณ 2 เดือน ก็ให้ไปจองชุดครุย และ จองกรอบภาพต่างๆไว้ให้เรียบร้อย ซึ่งก็เสียค่าใช้จ่ายหลายพันอยู่เหมือนกัน แล้วก็ต้องไปซ้อมรับปริญญาบัตรด้วย แล้วก็ห้ามไปสาย ส่วนวันรับจริง ก็ต้องไปก่อนกำหนด ถ้ารับรอบเช้า จะลำบากหน่อย เพราะต้องไปตั้งแต่ตีสาม ตีสี่กันเลย แล้วถ้าที่รับไกลมาก ก็อาจจะต้องไปจองห้องพักไว้ล่วงหน้า จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องเดินทาง

ทีนี้ เมื่อรู้ว่ากำลังจะจบแน่ๆ แล้ว ก็ควรจะเตรียมพร้อม ในการใช้ชีวิตหลังเรียนจบ ซึ่งโดยทั่วไปนั้น หลังจากจบจากมหาลัย มันจะมีทางให้เลือกอยู่ ประมาณ 3 ทางหลักๆ คือ

1.สมัครเป็นพนักงานตามบริษัทต่างๆ :: ซึ่งก็ควรจะหาก่อนจบ อย่างน้อยๆ 2-3 เดือน เพื่อที่จะได้ไปสมัครทิ้งไว้ แล้วพอจบ ได้วุฒิการศึกษาแล้ว ก็ค่อยไปยืนทีหลัง เหตุผลที่ควรจะทำแบบนี้ ก็เพราะว่า กว่าจะสมัครได้แต่ละที่ มันก็ต้องใช้เวลาในการหา แล้วหากได้ไปทำ ก็อาจจะไม่ชอบ อาจจะด้วยปัญหาคน หรือ อะไรก็ตามแต่ ก็จะได้เปลี่ยนไปดูที่อื่น ได้เลย ซึ่งถ้าหากไม่เตรียมตัวหาก่อน่จบ รอให้จบแล้ว เวลาก็จะต้องเสียเวลาหลังเรียนจบ ไปอีก 2-3เดือนนั่นเอง

แล้วในช่วงแรกที่เรียนจบใหม่ๆนั้น ถ้าได้อะไรทำก็ควรจะทำไปก่อน เพื่อให้มีรายได้ แต่หลังจากนั้น สมัครอะไรต่อก็ต้องดุด้วยว่า เราได้เรียนรู้อะไรจากที่นั้นๆได้มากน้อยแค่ไหน อย่าไปมองที่ตัวเงินเพียงอย่างเดียว แล้วสิ่งที่สำคัญก็คือ จะต้องอดทนให้มากๆ เพราะเงื่อนไขต่างๆ ที่บริษัทกำหนด คนเป็นพนักงานมักจะเสียเปรียบ เช่น ต้องอยู่ดึก ได้ค่าจ้างเพิ่ม แต่ก็ไม่คุ้มกับ เวลาและชีวิตที่เสียไป และที่สำคัญอย่าลืมว่า อายุขัยของลูกจ้าง มันมีเวลาจำกัด ต่อให้เก่ง ทำดีให้ตาย สุดท้ายก็ไม่ได้ใหญ่โต หรือ รวยกว่าเจ้าของ

2.สมัครสอบราชการ :: ซึ่งถ้าจะให้ดี ควรจะติดตาม่ข่าวตั้งแต่ตอนเรียน ปี 3 เพราะกว่าแต่ละที่จะเปิดรับสมัครนั้น ก็ปาไปหลายปี หลายเดือน แถมก็มักจะรับจำนวนน้อยมากๆด้วย แล้วสอบราชการ มันก็ต้องสอบกันหลายภาค คือ ภาค ก ภาค ข ภาค ค แล้วคนก็สอบกันเยอะ ซึ่งราชการ นั้น ตอนแรกเงินเดือนอาจจะน้อยมากๆ แต่ระยะยาว หากทำได้ถึง 25 ปี ก็จะได้เงินบำนาญหลังจากเกษียณอายุไปแล้ว ต่ำๆก็ได้หมื่น สูงๆก็หลายหมื่น ซึ่งระหว่างที่เป็นราชการอยู่นั้น ก็จะได้สิทธิ์ในการักษาพบาบาลด้วย (รพ รัฐนะ) แต่ชีวิตจริงอาจจะไม่ได้ง่ายดายนัก เพราะหลายคน กว่าจะสอบได้ก็ใช้เวลา กันหลายปี แล้วก้มีหลายคน ที่ยังสอบไม่ได้ก็เยอะเหมือนกัน

3.กลับไปทำธุรกิจส่วนตัว (ส่วนมากจะเป็นลูกเจ้าของมากกว่า)::ในส่วนนี้นั้น คนทีจะทำได้ เลย หลังเรียนจบ ใหม่ๆ ก็คงจะไม่พ้น พวกที่มีกิจการที่บ้านอยู่แล้ว แน่นอนว่า มันก็เลยง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะไม่ต้องเสียเวลาสะสมเงินทุน ทดลองผิดถูก ศึกษาความรู้ ซึ่งไอทีว่ามาหมดนี่ ก็ต้องใช้เวลา 30-40 ปีกันเลย ถ้ามาจากตัวเปล่าๆ ซึ่งก็ไม่สามารถจะทำสำเร็จได้ทุกคนด้วย เพราะแบบนี้ คนถึงได้เป็นพนักงาน ลูกจ้างกันตลอดชีวิตไง ซึ่งถ้าหากถูกบีบออก รายได้ก็ไม่มี ชีวิตก็พังเลย แล้วคนที่จะทำธุรกิจได้ ก็ต้อง รู้กระบวนการทุกอย่าง ซึ่งตรงนี้แระ ที่มันไม่ได้รู้ง่ายๆ โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน

ซึ่งความรู้ทางธุรกิจต่างๆนั้น ควรเน้นไปที่การศึกษา อ่านจากหนังสือ หรือ สื่อตางๆไว้เยอะๆ เพื่อที่จะได้มีข้อมูลสะสมไว้มากๆ แต่ก็ควรจะไตร่ตรอง และ นำสิ่งเหล่านั้น มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับตัวเอง (เท่าที่จะทำได้นะ) เพราะส่วนมากรายการต่างๆ เขาก็ไม่ได้บอกกระบวนการวิธีอะไรทั้งหมดหรอก เพราะถ้าไม่งั้น ป่านนี้ คงจะมีแต่เจ้าของธุรกิจ แต่ไม่มีใครจะเป็นพนักงานแล้วสิ แล้วก็อย่าลืมด้วยนะว่า การทำธุรกิจมันไม่ได้ทำกันง่ายๆ (คนเจ๊งกันเยอะมาก กำไรไม่มีขาดทุน แถมต้องหาเงินมาจ่ายค่าจ้างพนักงานอีก) แล้วก็อาจจะไม่ได้มีเวลาอิสระอย่างที่หลายคนเข้าใจ

สิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลย แม้จะเรียนจบ แล้ว ก็ควรจะเป็นคนหมั่นขยันหาความรู้ หมั่นอ่าน หมั่นเขียนสรุปสิ่งต่างๆ เผื่อว่า วันนึง จะได้นำสิ่งที่ศึกษามา เอาไปปรับใช้ และ เพื่อให้มีชีวิต ที่เหลือต่อไป บนโลกที่วุ่นวายนี้ได้ดีขึ้น แล้วก็อย่าลืมที่จะศึกษาธรรมะ เพื่อให้เข้าใจความเป็นไปของโลกตามจริงว่า ทุกอย่างไม่มีอะไรน่ายึดถือ มีได้มีเสีย มีพบมีจาก สุดท้ายวันนึงเราก็ต้องจากโลกไป แต่ไม่รู้ว่าจะจากไปตอนไหน แล้วก็ควรจะอ่านจิตวิทยา เพื่อจะได้ทำความเข้าใจตนเอง จัดการความคิด ความรู้สึก เวลาสับสน หรือ ท้อแท้กับสิ่งต่างๆได้ โดยไม่ต้องอาศัย หรือ พึ่งพาสิ่งภายนอก เพราะกำลังใจที่ดีที่สุด ย่อมมาจากตัวเองทั้งสิ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่