
หลังการสำรวจครั้งล่าสุดพบว่า กรุงเทพมหานครมีพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปีนี้ถึง 5 ปัญหาใหญ่ กระจายตัวเป็นรัศมีวงกว้างรวมทั้งสิ้น 22 เขต
ผลกระทบแรกที่ภัยแล้งก่อปัญหาให้ คือ กรณีขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ มีเขตที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหานี้ทั้งสิ้น 4 เขต 54 ชุมชน ได้แก่ คลองสามวา สวนหลวง หนองจอก และมีนบุรี
ถัดมา ปัญหาขาดน้ำทำการเกษตร มีเขตที่ได้รับผลกระทบ 7 เขต รวม 645 ครัวเรือน ได้แก่ คลองสามวา คันนายาว บางบอน มีนบุรี ราษฎร์บูรณะ หนองจอก และหนองแขม
ปัญหาที่สาม พื้นที่การเกษตร และ ปศุสัตว์ถูกน้ำเค็มหนุน มีอยู่ 5 เขต คือ คลองเตย ตลิ่งชัน บางกอกใหญ่ บางพลัด และราษฎร์บูรณะ
ปัญหาที่สี่ ถนนทรุด หรือ แตกร้าว ใน 2 เขต คือ คลองสามวา กับหนองจอก
อีกปัญหา คือ ไฟไหม้หญ้า เกิดขึ้นในพื้นที่ 16 เขต 196 จุด ประกอบด้วย คลองสามวา คันนายาว ดอนเมือง ตลิ่งชัน บางแค บางบอน ประเวศ มีนบุรี ลาดกระบัง ลาดพร้าว สะพานสูง สวนหลวง หนองจอก หนองแขม หลักสี่ และห้วยขวาง
ทั้ง 5 ปัญหาอันเป็นผลพวงมาจากภัยแล้งปีนี้ น่าเห็นใจ เขตหนองจอก โดนหางเลขไปเต็มๆถึง 4 ปัญหา
กรณีขาดแคลนน้ำทำการเกษตร โดยเฉพาะน้ำที่ใช้ทำนา หลายคนอาจงงว่าทุกวันนี้เมืองหลวงที่มีตึกสูงระฟ้ามากเป็นอันดับที่ 12 ของโลก อย่างกรุงเทพฯ ยังมีการทำนาอยู่อีกหรือ...ไม่ต้องงงอีกต่อไป เพราะทุกวันนี้ กทม.ชั้นนอก ยังมีพื้นที่เกษตรกรรมอยู่อีกถึง 180,000 ไร่
นารี นุนารี เจ้าของที่นา 15 ไร่ ที่หมู่ 5 แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก ครวญให้ฟังถึงปัญหา
“เมื่อก่อนเวลาจะทำนา เราใช้วิธีขุดลอกคลองดึงน้ำมาจากคลองแสนแสบเข้ามายังผืนนาในพื้นที่ แต่เมื่อสัก 3-4 ปีมานี้ หลังจากที่เกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 54 เริ่มมีการสร้างเป็นคันทดน้ำกั้นไว้ที่ตรงหัวบึง ซอยถนนอยู่วิทยา ลำสลิดทอง และบริเวณสะพานใหญ่ ตลาดหนองจอก ทำให้หน้าแล้งแทบไม่เหลือน้ำให้ทำนา”
นารีบอกว่า ก่อนหน้านี้ที่นา ซึ่งเธอปล่อยให้เกษตรกรบางรายเช่าทำนา เคยใช้ทำนากันได้ปีละถึง 3 ครั้ง แต่ถ้าปีใดน้ำน้อย รวมทั้งปีนี้ด้วย สามารถทำนาได้อย่างมากแค่ครั้งเดียว
“ทั้งปี 58 กับปีนี้ ถือว่าแล้งต่อเนื่องกันมา 2 ปีซ้อน ทำนาต้องใช้น้ำเยอะ ขืนเกิดภัยแล้งติดต่ออย่างนี้บ่อยๆ ยังคิดอยู่ว่าถ้าไม่สามารถให้เช่าทำนาได้ต่อไป อีกหน่อยอาจต้องเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแทน เช่น ถ้าไม่ดัดแปลงไปเป็นสวนมะม่วง ก็อาจจะทำเป็นที่อยู่อาศัยขายหรือปล่อยให้เช่า ต้องดูสถานการณ์ก่อนอีกที”
ภิรมย์ เข็มทอง ชาวนาจาก อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งย้ายภูมิลำเนาชั่วคราว ติดสอยห้อยตามลูกซึ่งไปทำงานอยู่ในพื้นที่หนองจอก ใช้เวลาว่างและความถนัดที่มีเช่าพื้นที่ 20 ไร่ทำนาแก้เหงา อยู่แถวหมู่ 6 คลองลำสลิดทอง แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก
เธอบอกว่า เมื่อ 3-4 ปีก่อน ช่วงที่น้ำยังดี ทั้งเธอและสามีช่วยกันทำนา 20 ไร่ ได้ผลผลิตข้าวราวๆ 18-19 เกวียน ถ้าเทียบกับราคาข้าวตอนนี้ เฉลี่ยอยู่ที่เกวียนละ 7,000 บาท ขายข้าวครั้งหนึ่งต่อ 1 รอบทำนา ก็จะได้เงินก้อนถึงเกือบ 140,000 บาท
ถ้าปีหนึ่งสามารถทำนาได้ 3 หน จะได้เงินก้อนเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งหลังจากเมื่อหักหนี้สิน และต้นทุนค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าเช่า ค่าน้ำมันและค่าแรงแล้ว ถือว่าพออยู่ได้ ไม่ลำบาก
“แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้อย่างนั้นน่ะสิ โชคไม่เข้าข้างเลย ตั้งแต่หลังน้ำท่วมใหญ่ปี 54 เรื่อยมา ผืนนาละแวกนี้โดนทั้งเพลี้ยลง และหนูกัดกินข้าว จากที่ก่อนหน้านี้ที่เคยทำนาได้ข้าวไร่ละเกือบ 80-90 ถัง แต่พอโดนทั้งหนูและเพลี้ยกวนหนักเข้า เหลือแค่ไร่ละ 40-50 ถังเท่านั้น”
“เมื่อเดือนก่อน เพิ่งไปจ้างเขามาตีดินให้ หมดไปสามพันกว่าบาท กะว่าตีดินแล้วจะทำนาเลย ดันมาเจอปัญหาน้ำแล้งเข้าอีก ทั้งที่แต่ก่อนแถวนี้ไม่เคยแล้งถึงขนาดนี้ เลยต้องเปลี่ยนแผนมาปลูกถั่วฝักยาว แตงกวา บวบ กับผักกระเฉดแทน สรุปว่าตอนนี้ขาดทุนต่อเนื่อง จากเพลี้ย หนู และน้ำแล้งมาแล้วถึง 3 ฤดูทำนา”
ภิรมย์บอกว่า เทียบรายได้ระหว่างทำนากับปลูกผักขาย (ซึ่งใช้น้ำน้อยกว่า) ผลลัพธ์ที่ออกมาผิดกันไกลลิบ
“ทำนาเหนื่อยก็จริง แต่พอขายข้าวได้จะเห็นเงินก้อนใหญ่ยังพอมีเหลือเอาไปใช้หนี้สิน เทียบกับปลูกผัก ถึงจะงานไม่หนักเท่า ตกเย็นขนผักใส่มอเตอร์ไซค์ไปเร่ขายตามหมู่บ้านหรือตลาดนัด ถ้าน้ำดีๆยังพอมีรายได้วันละ 500-600 บาท แต่ช่วงนี้น้ำแล้งจัด ผักไม่งาม บางวันขายได้ตังค์ยังไม่ถึงร้อย”
ปัญหาที่เกิดขึ้น ฝ่ายปกครองเจ้าของพื้นที่อย่าง สุวิทย์ รัศมิแพทย์ ผู้อำนวยการเขตหนองจอก นอกจากรับทราบปัญหาดี ยังได้เร่งหาทางให้ความช่วยเหลือ
“ปีนี้เขตหนองจอกได้รับผลกระทบจากภัยแล้งอยู่ 4 เรื่องหลักๆ คือ ขาดน้ำกินน้ำใช้ในบางพื้นที่ ขาดน้ำใช้ในการเกษตร ถนนทรุดและไฟไหม้หญ้า ลามไปไหม้บ้านเรือนประชาชน”
ผอ.สุวิทย์บอกว่า สภาพทางกายภาพของเขตหนองจอก มีคูคลอง ที่แยกออกมาจากคลองหลัก เช่น คลองหลวงแพ่ง คลองแสนแสบและคลอง 9-13 จากรังสิต เชื่อมต่อไปยังพื้นที่นับร้อยคลองย่อยในหนองจอก และแต่ละคลองย่อยยังมีถนนเลียบชายคลอง
“พอแล้งจัด ระดับน้ำในคลองลดลงมาก ทำให้ตลิ่งพัง ดินเริ่มไหลลงคลอง ถนนสายรองที่เลียบชายคลองหลายแห่งจึงเริ่มทรุด บางแห่งเริ่มเกิดรอยร้าวบนผิวทาง ยวดยานไม่สามารถสัญจรได้ ปัญหานี้ทางเขตได้เฝ้าระวัง และพยายามเร่งซ่อมแซมให้แล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง”
ส่วนปัญหาน้ำใช้ในการเกษตร ผอ.สุวิทย์บอกว่า ในพื้นที่หนองจอกยังมีการทำนาข้าวอยู่ประมาณ 70% ปลูกแตงโมราว 5-10% ปลูกผักและผลไม้ต่างๆ 10-15% และทำนาหญ้าอีกราวๆ 5%
“พอรู้ว่าปีนี้จะแล้งจัดอีก เรารีบเตือนเกษตรกรในพื้นที่ให้หันไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทนทำนา เช่น แตงโม หรือพืชผักสวนครัว ตัวผมเองพยายามติดต่อหาตลาดในพื้นที่ให้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งเปิดสำนักงานเขต ให้เป็นที่ขายผลผลิตของเกษตรกร ซึ่งประสบภัยแล้งด้วยอีกส่วนหนึ่ง ช่วยทุเลาปัญหาไปได้ระดับหนึ่ง”
อีก 2 ปัญหาที่รุมเร้าชาวหนองจอก คือ กรณีขาดแคลนน้ำดื่ม และปัญหาไฟไหม้หญ้า
ผอ.สุวิทย์บอกว่า ในหนองจอกยังมีบ้านเรือนประชาชนอีกประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่ท่อประปายังไปไม่ถึง ชาวบ้านต้องพึ่งพาน้ำคลอง และน้ำฝนเป็นหลัก ทางเขตแก้ปัญหาขาดน้ำดื่มด้วยการระดมแท็งก์น้ำใส่รถบรรทุก นำน้ำประปาขนไปเติมให้ในโอ่งตามบ้านประชาชน
ส่วนไฟไหม้หญ้าข้างถนน หรือตามที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งมี ต้นปรือ แห้งขึ้นเป็นจำนวนมาก ช่วงฤดูแล้งเมื่อมีการโยนก้นบุหรี่จะทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ทางเขตต้องระดมคนงานไปถางต้นปรือ และทำแนวกันไฟไว้แทบทุกสัปดาห์ พร้อมกับเตรียมรถดับเพลิง และรถที่ใช้รดน้ำต้นไม้สำรองเตรียมพร้อมไว้ 24 ชั่วโมง
“หลังจากที่ทางเขตได้ออกช่วยเหลือเยียวยา แก้ปัญหาให้ประชาชนไปแล้วระดับหนึ่ง รวมทั้งช่วงนี้ตามคลองบางแห่งยังพอมีน้ำเหลือติดก้นคลองอยู่บ้าง เชื่อว่าน่าจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ แต่ถ้าพ้นจากเดือนนี้ไปแล้ว ฝนยังไม่ตก นั่นแหละครับถึงจะน่าเป็นห่วง” ผอ.เขตหนองจอก ทิ้งท้าย
***** กรุงเทพ !!!! คลองสามวา สวนหลวง หนองจอก และมีนบุรี - มีปัญหาภัยขาดนำ้เเล้ว ***** ( by : Robinhood )
หลังการสำรวจครั้งล่าสุดพบว่า กรุงเทพมหานครมีพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปีนี้ถึง 5 ปัญหาใหญ่ กระจายตัวเป็นรัศมีวงกว้างรวมทั้งสิ้น 22 เขต
ผลกระทบแรกที่ภัยแล้งก่อปัญหาให้ คือ กรณีขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ มีเขตที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหานี้ทั้งสิ้น 4 เขต 54 ชุมชน ได้แก่ คลองสามวา สวนหลวง หนองจอก และมีนบุรี
ถัดมา ปัญหาขาดน้ำทำการเกษตร มีเขตที่ได้รับผลกระทบ 7 เขต รวม 645 ครัวเรือน ได้แก่ คลองสามวา คันนายาว บางบอน มีนบุรี ราษฎร์บูรณะ หนองจอก และหนองแขม
ปัญหาที่สาม พื้นที่การเกษตร และ ปศุสัตว์ถูกน้ำเค็มหนุน มีอยู่ 5 เขต คือ คลองเตย ตลิ่งชัน บางกอกใหญ่ บางพลัด และราษฎร์บูรณะ
ปัญหาที่สี่ ถนนทรุด หรือ แตกร้าว ใน 2 เขต คือ คลองสามวา กับหนองจอก
อีกปัญหา คือ ไฟไหม้หญ้า เกิดขึ้นในพื้นที่ 16 เขต 196 จุด ประกอบด้วย คลองสามวา คันนายาว ดอนเมือง ตลิ่งชัน บางแค บางบอน ประเวศ มีนบุรี ลาดกระบัง ลาดพร้าว สะพานสูง สวนหลวง หนองจอก หนองแขม หลักสี่ และห้วยขวาง
ทั้ง 5 ปัญหาอันเป็นผลพวงมาจากภัยแล้งปีนี้ น่าเห็นใจ เขตหนองจอก โดนหางเลขไปเต็มๆถึง 4 ปัญหา
กรณีขาดแคลนน้ำทำการเกษตร โดยเฉพาะน้ำที่ใช้ทำนา หลายคนอาจงงว่าทุกวันนี้เมืองหลวงที่มีตึกสูงระฟ้ามากเป็นอันดับที่ 12 ของโลก อย่างกรุงเทพฯ ยังมีการทำนาอยู่อีกหรือ...ไม่ต้องงงอีกต่อไป เพราะทุกวันนี้ กทม.ชั้นนอก ยังมีพื้นที่เกษตรกรรมอยู่อีกถึง 180,000 ไร่
นารี นุนารี เจ้าของที่นา 15 ไร่ ที่หมู่ 5 แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก ครวญให้ฟังถึงปัญหา
“เมื่อก่อนเวลาจะทำนา เราใช้วิธีขุดลอกคลองดึงน้ำมาจากคลองแสนแสบเข้ามายังผืนนาในพื้นที่ แต่เมื่อสัก 3-4 ปีมานี้ หลังจากที่เกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 54 เริ่มมีการสร้างเป็นคันทดน้ำกั้นไว้ที่ตรงหัวบึง ซอยถนนอยู่วิทยา ลำสลิดทอง และบริเวณสะพานใหญ่ ตลาดหนองจอก ทำให้หน้าแล้งแทบไม่เหลือน้ำให้ทำนา”
นารีบอกว่า ก่อนหน้านี้ที่นา ซึ่งเธอปล่อยให้เกษตรกรบางรายเช่าทำนา เคยใช้ทำนากันได้ปีละถึง 3 ครั้ง แต่ถ้าปีใดน้ำน้อย รวมทั้งปีนี้ด้วย สามารถทำนาได้อย่างมากแค่ครั้งเดียว
“ทั้งปี 58 กับปีนี้ ถือว่าแล้งต่อเนื่องกันมา 2 ปีซ้อน ทำนาต้องใช้น้ำเยอะ ขืนเกิดภัยแล้งติดต่ออย่างนี้บ่อยๆ ยังคิดอยู่ว่าถ้าไม่สามารถให้เช่าทำนาได้ต่อไป อีกหน่อยอาจต้องเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแทน เช่น ถ้าไม่ดัดแปลงไปเป็นสวนมะม่วง ก็อาจจะทำเป็นที่อยู่อาศัยขายหรือปล่อยให้เช่า ต้องดูสถานการณ์ก่อนอีกที”
ภิรมย์ เข็มทอง ชาวนาจาก อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งย้ายภูมิลำเนาชั่วคราว ติดสอยห้อยตามลูกซึ่งไปทำงานอยู่ในพื้นที่หนองจอก ใช้เวลาว่างและความถนัดที่มีเช่าพื้นที่ 20 ไร่ทำนาแก้เหงา อยู่แถวหมู่ 6 คลองลำสลิดทอง แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก
เธอบอกว่า เมื่อ 3-4 ปีก่อน ช่วงที่น้ำยังดี ทั้งเธอและสามีช่วยกันทำนา 20 ไร่ ได้ผลผลิตข้าวราวๆ 18-19 เกวียน ถ้าเทียบกับราคาข้าวตอนนี้ เฉลี่ยอยู่ที่เกวียนละ 7,000 บาท ขายข้าวครั้งหนึ่งต่อ 1 รอบทำนา ก็จะได้เงินก้อนถึงเกือบ 140,000 บาท
ถ้าปีหนึ่งสามารถทำนาได้ 3 หน จะได้เงินก้อนเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งหลังจากเมื่อหักหนี้สิน และต้นทุนค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าเช่า ค่าน้ำมันและค่าแรงแล้ว ถือว่าพออยู่ได้ ไม่ลำบาก
“แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้อย่างนั้นน่ะสิ โชคไม่เข้าข้างเลย ตั้งแต่หลังน้ำท่วมใหญ่ปี 54 เรื่อยมา ผืนนาละแวกนี้โดนทั้งเพลี้ยลง และหนูกัดกินข้าว จากที่ก่อนหน้านี้ที่เคยทำนาได้ข้าวไร่ละเกือบ 80-90 ถัง แต่พอโดนทั้งหนูและเพลี้ยกวนหนักเข้า เหลือแค่ไร่ละ 40-50 ถังเท่านั้น”
“เมื่อเดือนก่อน เพิ่งไปจ้างเขามาตีดินให้ หมดไปสามพันกว่าบาท กะว่าตีดินแล้วจะทำนาเลย ดันมาเจอปัญหาน้ำแล้งเข้าอีก ทั้งที่แต่ก่อนแถวนี้ไม่เคยแล้งถึงขนาดนี้ เลยต้องเปลี่ยนแผนมาปลูกถั่วฝักยาว แตงกวา บวบ กับผักกระเฉดแทน สรุปว่าตอนนี้ขาดทุนต่อเนื่อง จากเพลี้ย หนู และน้ำแล้งมาแล้วถึง 3 ฤดูทำนา”
ภิรมย์บอกว่า เทียบรายได้ระหว่างทำนากับปลูกผักขาย (ซึ่งใช้น้ำน้อยกว่า) ผลลัพธ์ที่ออกมาผิดกันไกลลิบ
“ทำนาเหนื่อยก็จริง แต่พอขายข้าวได้จะเห็นเงินก้อนใหญ่ยังพอมีเหลือเอาไปใช้หนี้สิน เทียบกับปลูกผัก ถึงจะงานไม่หนักเท่า ตกเย็นขนผักใส่มอเตอร์ไซค์ไปเร่ขายตามหมู่บ้านหรือตลาดนัด ถ้าน้ำดีๆยังพอมีรายได้วันละ 500-600 บาท แต่ช่วงนี้น้ำแล้งจัด ผักไม่งาม บางวันขายได้ตังค์ยังไม่ถึงร้อย”
ปัญหาที่เกิดขึ้น ฝ่ายปกครองเจ้าของพื้นที่อย่าง สุวิทย์ รัศมิแพทย์ ผู้อำนวยการเขตหนองจอก นอกจากรับทราบปัญหาดี ยังได้เร่งหาทางให้ความช่วยเหลือ
“ปีนี้เขตหนองจอกได้รับผลกระทบจากภัยแล้งอยู่ 4 เรื่องหลักๆ คือ ขาดน้ำกินน้ำใช้ในบางพื้นที่ ขาดน้ำใช้ในการเกษตร ถนนทรุดและไฟไหม้หญ้า ลามไปไหม้บ้านเรือนประชาชน”
ผอ.สุวิทย์บอกว่า สภาพทางกายภาพของเขตหนองจอก มีคูคลอง ที่แยกออกมาจากคลองหลัก เช่น คลองหลวงแพ่ง คลองแสนแสบและคลอง 9-13 จากรังสิต เชื่อมต่อไปยังพื้นที่นับร้อยคลองย่อยในหนองจอก และแต่ละคลองย่อยยังมีถนนเลียบชายคลอง
“พอแล้งจัด ระดับน้ำในคลองลดลงมาก ทำให้ตลิ่งพัง ดินเริ่มไหลลงคลอง ถนนสายรองที่เลียบชายคลองหลายแห่งจึงเริ่มทรุด บางแห่งเริ่มเกิดรอยร้าวบนผิวทาง ยวดยานไม่สามารถสัญจรได้ ปัญหานี้ทางเขตได้เฝ้าระวัง และพยายามเร่งซ่อมแซมให้แล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง”
ส่วนปัญหาน้ำใช้ในการเกษตร ผอ.สุวิทย์บอกว่า ในพื้นที่หนองจอกยังมีการทำนาข้าวอยู่ประมาณ 70% ปลูกแตงโมราว 5-10% ปลูกผักและผลไม้ต่างๆ 10-15% และทำนาหญ้าอีกราวๆ 5%
“พอรู้ว่าปีนี้จะแล้งจัดอีก เรารีบเตือนเกษตรกรในพื้นที่ให้หันไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทนทำนา เช่น แตงโม หรือพืชผักสวนครัว ตัวผมเองพยายามติดต่อหาตลาดในพื้นที่ให้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งเปิดสำนักงานเขต ให้เป็นที่ขายผลผลิตของเกษตรกร ซึ่งประสบภัยแล้งด้วยอีกส่วนหนึ่ง ช่วยทุเลาปัญหาไปได้ระดับหนึ่ง”
อีก 2 ปัญหาที่รุมเร้าชาวหนองจอก คือ กรณีขาดแคลนน้ำดื่ม และปัญหาไฟไหม้หญ้า
ผอ.สุวิทย์บอกว่า ในหนองจอกยังมีบ้านเรือนประชาชนอีกประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่ท่อประปายังไปไม่ถึง ชาวบ้านต้องพึ่งพาน้ำคลอง และน้ำฝนเป็นหลัก ทางเขตแก้ปัญหาขาดน้ำดื่มด้วยการระดมแท็งก์น้ำใส่รถบรรทุก นำน้ำประปาขนไปเติมให้ในโอ่งตามบ้านประชาชน
ส่วนไฟไหม้หญ้าข้างถนน หรือตามที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งมี ต้นปรือ แห้งขึ้นเป็นจำนวนมาก ช่วงฤดูแล้งเมื่อมีการโยนก้นบุหรี่จะทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ทางเขตต้องระดมคนงานไปถางต้นปรือ และทำแนวกันไฟไว้แทบทุกสัปดาห์ พร้อมกับเตรียมรถดับเพลิง และรถที่ใช้รดน้ำต้นไม้สำรองเตรียมพร้อมไว้ 24 ชั่วโมง
“หลังจากที่ทางเขตได้ออกช่วยเหลือเยียวยา แก้ปัญหาให้ประชาชนไปแล้วระดับหนึ่ง รวมทั้งช่วงนี้ตามคลองบางแห่งยังพอมีน้ำเหลือติดก้นคลองอยู่บ้าง เชื่อว่าน่าจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ แต่ถ้าพ้นจากเดือนนี้ไปแล้ว ฝนยังไม่ตก นั่นแหละครับถึงจะน่าเป็นห่วง” ผอ.เขตหนองจอก ทิ้งท้าย