วันนี้คุณรู้จักเพื่อนร่วมงานดีแล้วหรือยัง ?

นานาสวัสดี
สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีเรื่องของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาแชร์ให้ฟังค่ะ  อยากให้เป็นข้อคิดของการใช้ชีวิตของมนุษย์เงินเดือน  ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องจริง! ที่ยังกะนิยาย  และไม่น่าเชื่อว่า…บางทีคนที่เราคิดว่าเก่ง ดี เริ่ด แท้จริงแล้วมีอะไรที่สยองซ่อนอยู่ค่ะ  เรื่องยาวหน่อยนะคะ
เรื่องก็มีอยู่ว่าเรื่องนี้   เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 57     เรากับออย (ขอใช้นามแฝงนะค่ะ)  เป็นเพื่อนร่วมงานกันค่ะ  แต่อยู่คนละแผนก  เข้าทำงานต้นปี 54   แต่เข้าทำงานห่างกันประมาณ หนึ่งอาทิตย์   และนั่งโต๊ะข้างๆ กัน  งานของเราต้องพึ่งพากันเสมอค่ะ  
ออยเป็นคนนิสัยเงียบๆ  เรียบร้อย เรียนจบโท ได้เกียรตินิยม   ออย ทำงานดี  ทำงานเก่ง ขยัน  เป็นที่ชื่มชมของหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน  เสื้อ ผ้า กระเป๋า รองเท้า  เครื่องสำอาง  นางจะใช้ของแบรนด์ทั้งหมด แต่ก็จะเป็นแบรนด์กลางๆ นะค่ะ อาทิ Bobbi Brow ,HM, CK, JasPal  เป็นต้น   เรียกว่า กิน หรู อยู่ดี  เที่ยวแพง    ชีวิตสวยๆ เริ่ดๆ  


ต่อมานางก็ได้ทุนเรียน ป.เอก    (เรื่องมันก็เริ่มมาจากตรงนี้แหละ)
นางไลน์มาขอยืมเงินเราค่ะ
โดยนางบอกว่าจะขอยืมเงินไปเข้าแบงค์  เพื่อจะโชว์ยอดกับทางมหาลัยว่าหากมีปัญหาอะไรขึ้นมา สามารถมีเงินมาซัพพอร์ทในการเรียน  แต่ด้วยความที่เราไม่มี  เราก็บอกไปค่ะว่าเราไม่มีเงินสดนะ  แต่เงินกู้พนักงานคงเหลืออยู่ (เงินกู้ของที่ทำงานเราจะผูกไว้กับบัตรATM ค่ะ) นางก็จะยืม  เราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรค่ะ  เพราะนางบอกแค่สองอาทิตย์จะคืน  เราก็ให้บัตรนางไปค่ะ ซึ่งพอกดเสร็จนางก็เอาบัตรมาคืน แต่ตอนเอามาคืนไม่ยอมบอกนะสิค่ะ ว่ากดไปเท่าไหร่
เราก็แบบว่า เอ๊ะ ! มันชักจะยังไงๆ  แต่ด้วยความที่ไม่คิดไรมาก ก็นั่งทำงานไปจนเย็นค่ะ
พอตกเย็นก็ไปกดดูค่ะ ว่านางกดไปเท่าไหร่
(T___T  )  ให้ตายเถอะ!  ขอกรี๊ดร้องเป็นภาษาสเปน    นางกดไปเต็มวงเงินเลยค่ะ  100,000.00  บาท    เกิดมายังไม่เคยให้ใครยืมเงินเงินมากขนาดนี้    ณ จุดนั้น  อยากตบหน้าตัวเองมาก  ทำไมไว้ใจคนง่ายขนาดนี้ยังเบื๊อก  ที่สำคัญโกรธมากที่นางกดไปเล่นไม่บอกไม่กล่าวกันเลย  คือเราไม่คิดว่าคนเก่งและคนฉลาดอย่างนางจะไร้ซึ่งมรรยาทในการยืมเงินเช่นนี้    แต่ก็จะไปโทษใครได้ล่ะ นอกจากตัวเอง (ยื่นบัตรให้เขาเองนี่นา)
วันเวลาผ่านไปจนถึงวันที่นางบอกว่าคืน
.........
............
สิ่งที่ได้มาคือความเงียบค่ะ  คือเงียบ จริงๆ ค่ะ  เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  จนเราแบบว่า เฮ้ย ! เงินแสนนะเว้ยยยย ไม่ใช้บาทสองบาท  เราก็เริ่มบ่นให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ฟังค่ะ ปรากฏว่านอกจากนางยืมเงินเรา นางยังเคยยืมเงินคนอื่นๆ เช่นกัน แต่เป็นยอดเงินไม่มากนัก  และก็คืนนะค่ะ  แต่ช้าหน่อย  (เราก็ค่อยโล่งอกหน่อย^^)  แต่นอกจากนี้นางยังมีพฤติกรรมแบบว่า
ฝากคนอื่นซื้อกาแฟ  ซื้อข้าว  แต่เนียนลืมจ่าย    --* คือถ้าเราไม่บ่น  คนอื่นเขาคงไม่พูด   เนื่องจากก็ไม่อยากจะเมาท์เพื่อน  
ส่วน เราก็เริ่มเอ๊ะ!  มันชักจะยังไงแระ
และเราก็รอประมาณอีกสองสามวัน
ซึ่งโบนัสออกพอดีค่ะ  เราก็ว่าเดี๋ยวนางคงเอาเงินมาคืนหลังโบนัสออกนี่แหละ
แต่..นางก็ยังเงียบบบบเหมือนเดิม  
และ  นางก็โพสน์เฟซบุ๊คแบบว่า
พาแม่ไปเที่ยว  ซื้อรองเท้าใหม่ให้แม่ ช้อปปิ้ง  ลัลล้าสบายใจ  (แต่.....ตูเครียดนะเว้ยยยย)
คราวนี้เราก็เริ่มส่งไลน์ไปทวงล่ะค่ะ  ทนไม่ไหวววว
นางก็ผัดผ่อนเรื่อยมา  เราทวงประมาณสองสามครั้ง นางก็บอกว่าจะโอนให้วันนั้น  วันนี้  แต่ก็หายไปค่ะ  
จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง
ตอนเย็นหลังเลิกงาน
ออยอยู่  หัวหน้านางอยู่  แฟนนางก็อยู่  ทวงสิค่ะ  รออะไร
“ออย เมื่อไหร่จะคืนเงินเรา ปัดมาหลายครั้งแล้วนะ บอกว่าจะคืนๆ ไม่เหงคืนซักที” ตอนนั้นทั้งเสียงและทั้งหน้า  เหมือนองค์ลงค่ะ  คือเราไม่คิดว่าคนโปรไฟล์เริ่ดแบบนางจะทำแบบนี้
เท่านั้นแหละค่ะ  แฟนนางเรียกนางไปคุยข้างนอกกันสองคน
จากนั้นประมาณสี่ทุ่มเราก็ได้เงินคืนค่ะ   แฟนนางไปกดเงินกู้ของพนักงานมาคืนเรา   ซึ่งเราไปสืบรู้มาว่า นางยิ้มแฟนนางค่ะ  นางบอกว่า อันที่จริงนางยืมเงินเพื่อนอีกคนในแผนกเรา  แต่เพื่อนคนนั้นมายืมเราต่อ  นางไม่รู้ว่าเป็นเงินเรา
ให้ตายเถอะ !  นี่มัน  “ ออย ฮอร์โมนส์ชัดๆ”   ช้านยื่นบัตรให้เทอกับมือ  ไม่รู้งั้นเหรอ  มีเพื่อนร่วมงานแบบนี้ แย่มากนะครัช
หลังจากนั้นเราก็ไม่คุยกับนางอีกเลยค่ะ  
ซึ่งนอกจากเราตกเป็นเหยื่อแล้ว  หลังๆ  เราก็ไปสืบมาว่านางก็ทำแบบนี้กับหลายคน  เป็นแบบยืมเงินคนนู้น  มาคืนคนนี้  ยืมคนนี้ มาให้คนนู้น  หลังๆ  เริ่มมีบัตรเครดิตโทรมาทวง
แต่นางก็ยังใช้ชีวิต กิน หรู อยู่แพง  
เรื่องเหมือนจะจบแล้วนะค่ะ
ยังค่ะ  ยังไม่จบ  มันมีเรื่องที่ช็อคยิ่งกว่านั้นค่ะ  
คือตอนนี้อาการนางเริ่มหนัก  มีการยืมหนี้นอกระบบด้วย  เราเหงนางใช้ชีวิต  เราก็เหนื่อยแทนนาง  มานั่งวิเคราะห์ถึงสาเหตุ  ว่าทำไมคนฉลาด  ที่ได้ทุนเรียนปริญญาเอกอย่างนาง  มาตกม้าตายแบบง่ายๆ กับเรื่องพวกนี้
คุยไป คุยไป  เพื่อนในแผนกเราก็พูดว่า   ก็นั่นสิ แล้วนางก็บอกว่า แต่มีช่วงหนึ่ง นางดร๊อปนะ “สงสัยมีปัญหาทางการเงิน”
เท่านั้นแหละค่ะ  ความคันบังเกิด เราเกิดฉุกใจขึ้นมา
คือนางกับเราทำงานพร้อมๆ กัน  ทางนางจบโท  นางก็ต้องเงินเดือนมากกว่าเราสิ!  แต่ทำไมนางเงินเดือนเท่าๆ กันกับช้าน
ซึ่งคนทั้งที่ทำงานก็รู้ว่านางจบโท  และนางบอกว่าปรับเงินเดือนเรียบร้อยแล้ว  ตั้งแต่ 2 -3  ปีที่แล้ว

เท่านั้นแหละ ต่อมเผือกทำงาน
รีบโทรหาน้องที่อยู่ในแผนกเดียวกันกับนาง
เรา  :“บอยถามไรหน่อยสิ  ออยเขาเอาวุฒิไปปรับ ป.โทแล้วใช่ไหม”
บอย: “ปรับแล้วนะ  พี่ออยจบก่อนเขาปีหนึ่ง  เงินเดือนก็ปรับขี้นตั้งนานแล้วนะ”
เราหาข้อมูลจากเว็บที่มหาลัยที่นางเรียน ป.โท  เสริ์ชชื่อนางเข้าไป
ปรากฏว่า..
ขึ้นสถานะว่า
“พ้นสภาพนิสิต  เนื่องจากไม่ชำระค่าเทอม”  อ่านดูรายละเอียด  ก็เหลือแค่วิทยานิพนธ์นะ   ถ้านางทำเสร็จ จ่ายค่าเทอมก็จบแล้วนะ
แล้วนี้นางมาบอกทุกคนว่านางได้ทุน ป.เอก  (คืออัลไล  ป.โท ยังไม่จบเลย  แถมยังบอกคนอื่นอีกว่าได้ เกียรตินิยม”
แต่นั่นแหละ  เราว่าข้อมูลอาจผิดพลาดได้  เนื่องจากว่า  อย่างที่บอกนางเป็นทำงานเก่ง และดี โปรไฟล์เริ่ด  เพื่อความชัวร์
เราก็ปลอมตัวเป็นโคนันสิ!พาพันอยากรู้
เราไปแอบหารหัสเข้าดูข้อมูลส่วนตัวนางมา (อย่าไปบอกใครนะ!   ^^  นิสัยไม่ดีเลยเนอะ    )
ปรากฏว่า  พอเข้าไปปุ๊บ!
ขุ่นพระ!
วุฒิก็ยังเป็น ป.ตรี  อยู่เลย  และเป็นไปไม่ได้ว่าถ้านางจบโทจริง  นางจะไม่เอาวุฒิมาปรับเงินเดือน  เป็นตูจบโท  จะได้รีบเอามาปรับเลยยยย
เฮ้ย !  คือเรางงมากค่ะ
คือนางป่วยรึเปล่าค่ะ  คือโกหกเพื่ออะไรเหรอ
โกหกเพื่อต้องการให้คนอื่นมองว่า  ตัวเองเรียนเก่ง ดูดี  บ้านรวย เหรอ  และที่สำคัญ  นางหลอกเพื่อนร่วมงาน  หัวหน้า  เจ้านายมาได้ยังไง  ว่านางจบโท!  เกียรตินิยม  และได้ทุน ป.เอก
มีความสุขป่ะ!  เนี่ย      คนที่ทำงานหมด  โดนหลอกมาโดยตลอด
เรารู้สึกเสียดายค่ะ  เสียดายคนทำงานเก่ง  อย่างนาง    และที่สำคัญ  แฟนนางก็ยังไม่รู้เรื่องพวกนี้ค่ะ  และไม่เคยรู้ด้วยนะคะ ว่านางมีปัญหาทางการเงิน  (แอบสงสาร..ว่านางทำได้ไงเนี่ย!)    เราไม่รู้ว่านางจะอยู่บนความหลอกลวงไปได้ไปได้นานขนาดไหน  และจะรู้สึกเหนื่อยบ้างไหม    คือพอเรารู้ความจริงอย่างนี้  บอกตามตรงว่าเพลียแทนค่ะ  แต่คงช่วยอะไรไม่ได้  เพราะขนาดชีวิตเขามีปัญหา  เขายังยอมรับความจริงและปัญหาไม่ได้เลยย
และเราก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองเป็นตัวของตัวเอง ค่ะ      คือคนที่ทำงานชอบคิดว่าบ้านเรารวยค่ะ   แบบว่าพ่อเราเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง  (แต่เราไม่ได้อยู่กับพ่อนะค่ะ)    ด้วยความที่หน้าตาเหมือนมีเงิน  ^^  แต่อันที่จริงไม่เคยรวยค่ะ  555  เพราะก็มีบางช่วงที่เรามีปัญหาทางการเงินเหมือนกัน   เนื่องจากก่อนหน้านี้สามปี เราซื้อบ้านกะแม่ค่ะ ตอนนั้นทั้งโดนแฟนทิ้ง พ่อไม่ยอมส่งน้องเรียน (เพราะคิดว่ารวยแล้วถึงมีเงินซื้อบ้าน)      น้องป่วย  ขโมยขึ้นบ้าน   มีคชจ. เพิ่มขึ้นอีก เพราะซื้อหมามาเฝ้าบ้าน  555   ทุกอย่างผิดแผนไปหมด    โชคดีที่ว่าไม่จนตรอกถึงขนาดต้องยืมเงินคนอื่น
แต่เราแก้ปัญหาโดย   เลิกช้อปปิ้ง  เสื้อผ้า  กระเป๋า  เนี่ยไม่ได้ซื้อเลยค่ะ  งดไปเลย ของกินในห้างก็แบบนานๆ กินที      ใช้เครื่องสำอางตามท้องตลาดทั่วไปที่ราคาถูก    เที่ยวน้อยลง     จนวันนี้ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้มีเงินใช้แบบสบายๆ แต่ด้วยเงินเดือนที่ปรับเพิ่มขึ้นในแต่ละปี     ก็ทำให้เราหายใจ  หายคอดีขึ้นค่ะ     และเราเชื่อว่ามันต้องดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ ^^     จุ๊บๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่