เห็นเพื่อนๆพี่ๆสมาชิกหลายๆท่านมีความกระตือรือร้นในการแสดงออกทางความคิดถึงมาตรการทางสังคมแล้ว
อดเป็นห่วงในเรื่องของความเป็นธรรมในแต่ละฝ่ายไม่ได้น่ะครับเลยเชิญชวนมาแสดงแง่คิดต่อสิ่งเหล่านี้กัน
คิดเห็นกันอย่างไรก็แสดงความเห็นเพิ่มเติมเข้ามาได้ครับ ส่งเสริมการแสดงความคิดเห็นเพื่อให้เกิดการตกผลึกทางความคิด
ของทุกๆท่านต่อสังคมเราครับ สำหรับเรื่องนี้แล้วเจ้าของกระทู้เห็นด้วยกับคุณChol Bunnagครับ ที่อธิบายถึงแง่มุมคำๆนี้ได้อย่างเห็นข้อเท็จจริง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Social Sanction: ข้อดี ข้อเสีย และข้อเสนอแนะ
ขอบคุณวิธีใส่ลิงค์จากคุณศุภชัย(หาดใหญ่)ประเสริฐเวชทนต์ครับที่ทำให้รุ้วิธีใส่ลิงค์สักที
เผื่อหาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ https://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:Bfzd6MHk37kJ:https://cholbunnag.wordpress.com/2011/01/03/social-sanction/+&cd=2&hl=th&ct=clnk&gl=th
Social Sanction เป็นกระแสในสังคมไทยในปัจจุบัน ทุกครั้งที่เกิดเรื่องสะเทือนใจอะไรก็แล้วแต่ จะเริ่มมีการสร้าง page ใน facebook ประเภท Social Sanction เอาไว้ประนาม ประจาน ล่าแม่มด คอยติดตามไปก่นด่าทุกที่ไป ทำให้อับอายกันทั่วทั้งโคตรเหง้า และตอนนี้กระแสนี้ก็กระจายไปตาม social network ต่างๆ เช่น ในเครือข่ายของ BlackBerry เป็นต้น
Social Sanction เป็นปรากฎการณ์ที่ผมคิดว่าเกิดขึ้นจากสภาวะทางสังคม ที่คนในสังคมเชื่อว่า บ้านเมืองไม่มีความยุติธรรม กลไกของรัฐของบ้านเมืองไม่ทำงาน คนทำผิดจะสามารถหลุดจากความผิดไปได้ โดยใช้ตำแหน่ง อำนาจ นามสกุล และสถานะทางการเงินและสังคมอื่นๆ คนจึงคิดจะใช้กลไกทางสังคมในการบังคับใช้ให้เกิดความยุติธรรมแทน
แต่ทำไมเราถึงคิดว่า กลไก Social sanction มีประสิทธิภาพมากกว่า ?
ในแง่ของประสิทธิภาพในการลงโทษ ผมคิดว่ามันมีประสิทธิภาพมาก เพราะว่า บทลงโทษมันกระจายตัวลงไปสู่ระดับรากหญ้า และถูกทำให้เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง และผลกระทบไม่ได้ตกแก่ตัวคนนั้นเท่านั้น ครอบครัวโคตรเหง้าอะไรโดนหมด หากมีไก่โดนเชือดด้วยกระบวนการนี้ให้ดูแล้ว ย่อมจะทำให้คนที่จะทำอะไรก็ตามที่จะเสี่ยงกับการถูก social sanction ต้องคิดให้มากๆเลยทีเดียว
แต่ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นข้อดีประการเดียว และไม่พอที่จะถ่วงน้ำหนักกับข้อเสียของมันได้
ข้อเสียของกลไก social sanction ในความคิดของผมมีดังนี้
1. กลไก Social sanction ไม่มีกระบวนการพิสูจน์ความจริงที่เป็นที่ยอมรับ ส่วนใหญ่อยู่บนฐานของข่าวลือ และความเชื่อ และกระบวนการตัดสินของ Social Sanction เริ่มตั้งแต่ข่าวลือออกมาแล้ว โดยไม่ได้มีการพิสูจน์ใดๆ หรือถ้ามีก็จะเป็นเพียงการอนุมานเอาจากหลักฐานที่กระจัดกระจาย
ประเด็นตรงนี้คือ เราจะรู้ได้ยังไงว่า คนที่ถูก Social sanction น้ันผิดจริง ??!!?? และในเมื่อความเสียหายอันเกิดจากการ Social Sanction เกิดตั้งแต่ข่าวลือเริ่มออกแล้ว ใครจะเป็นคนชดเชยความเสียหายจากกระบวนการ Social Sanction ???
นี่คือความยุติธรรมงั้นหรือ ? … ในแง่นี้ Social sanction เป็นเพียงชื่อหรูๆของอีกคำ คือ “ศาลเตี้ย” ที่ใช้ “กฎหมู่” เท่านั้น
2. เมื่อกลไก Social sanction เกิดขึ้นโดยไม่มีกระบวนการพิสูจน์ที่ชัดเจน และอยู่บนฐานของข่าวลือและความเชื่อแล้ว มันก็สามารถกลายเป็นเครื่องมือในการทำลายใครก็ได้ทั้งนั้น ที่คนมาฆ่านักศึกษาตอน 6 ตุลา 2519 ก็เพราะข่าวลือและความคล่ังชาติมิใช่หรือ ? กระบวนการ Social sanction ก็แทบจะไม่ต่างกัน เพียงแต่ “ยัง” ไม่รุ่นแรงและมีโอกาสพัฒนาไปได้อีก โอกาสที่คนบริสุทธิ์จะตกเป็นเหยื่อจากกระบวนการนี้ก็มีอีกมาก
3. กระบวนการ Social Sanction แบบนี้จะยับย้ังการพัฒนาประเทศ – ทั้งนี้เพราะ Social Sanction มีโอกาสที่จะหยุดการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างได้มาก เพราะจะทำให้คนต้องคิดแล้วคิดอีก ก่อนที่จะแสดงความเห็น เพราะหนึ่ง ความเห็นอาจจะต่างจากคนหมู่มาก และอาจเสี่ยงต่อการถูก Social sanction ได้หากความเห็นนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สอง อาจถูกผู้เสียประโยชน์ หรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ใส่ข่าวลือสร้างกระแสทำลายล้างให้เสียชื่อเสียงและส่งผลกระทบต่อคนใกล้ตัวได้ และ สาม ไม่มีกฎหมายคุ้มครองตรงจุดน้ี หรือถ้ามีก็มีต้นทุนที่สูงเกินไป …สุดท้ายเลือกที่จะเงียบไม่พูดอะไรดีกว่า
4. กระบวนการ Social Sanction แบบนี้ ทำให้คนผิด หมดโอกาสกลับตัวกลับใจ กลายเป็นตราบาปทางสังคมไปโดยปริยาย ไม่ว่าเขาจะผิดจริงหรือไม่ ถ้าคนหมดโอกาสกลับตัวแล้วเขาจะไปทางไหน
ข้อเสียของกระบวนการ Social Sanction แบบที่เป็นอยู่อาจจะมีมากกว่านี้ แต่ผมคิดว่า 4 ประการนี้เป็นสิ่งสำคัญ
ผมคิดว่า ถ้าจะมีกระบวนการทางสังคม ที่จะทำหน้าที่บังคับให้กระบวนการยุติธรรมเป็นไปตามที่ควรจะเป็นนั้น มันควรจะเป็นขบวนการประชาชนที่คอยตรวจสอบและกดดัน ระบบการบังคับใช้กฎหมาย มากกว่าที่จะเป็นการตัดสินและลงโทษคน(ที่คิดว่า)ผิดด้วยตัวเอง
ขบวนการลักษณะนี้ควรจะมีผู้ที่มีความรู้ทางกฎหมายมาให้ความรู้ว่า ตามกฎหมายแล้วเป็นอย่างนี้ ถ้าเหตุเกิดลักษณะนี้ กรณีที่เคยเกิดๆมา น่าจะมีโทษลักษณะอย่างนี้ๆ เป็นต้น และก็ทำหน้าที่เรียกร้องให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเคร่งครัด และเสมอหน้ากันมากกว่า ขบวนการควรจะผลักดันให้มีการสอบสวนสืบสวนที่ถูกต้องตามกระบวนการพิสูจน์พยานหลักฐานตามหลักกฎหมาย มากกว่าที่จะแพร่กระจายข่าวลือ และจริงๆควรจะทำการระงับข่าวลือมากกว่า และสนับสนุน/กดดันให้สื่อ
กรณีแพรวา(อุบัติเหตุรถตู้ 8 ศพ) เป็นภาพสะท้อนของปรากฎการณ์ทั้งสอง ทั้งกรณีแรกคือ แพรวาโดนกระแสต่อต้านอย่างมาก มี page แสดงความไม่พอใจ ในอีกทางนึงกระบวนการกดดันสื่อและตำรวจก็เกิดขึ้นเช่นกัน ทำให้สื่อและกระบวนการยุติธรรมดูจะดำเนินไปในทางที่ควรจะเป็นมากขึ้น ผมคิดว่าหากมีแค่กระบวนการอันหลังอย่างเดียว น่าจะส่งผลดีต่อสังคมโดยรวมและผู้ต้องหามากกว่า ให้ทุกคนถูกคุ้มครองโดยกฎหมายอย่างเสมอหน้ากัน ไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาก็ตาม
ขอลงความเห็นของคุณVachiravan bunnagด้วยแล้วกันนะครับเพื่อเป็นแง่คิด
"เห็นด้วยว่า การลงโทษควรเสมอภาค และควรให้ความสำคัญกับหลักฐานชั้นต้น. แต่คนในสังคมหลายคนไปตามกระแส..คนเขาว่า…เรื่องเขาเล่ามา
ตื่นเต้นตามแล้วสนุกดี บางเรื่องสังคมตัดสินโดยใช้ข้อมูลเดิม เป็นเรื่องเกิดก่อน แต่คนละเรื่องแล้วโยงเข้าหากันตามอารมณ์คนฟัง
เรื่องที่ควรจะเป็นคือ เมตตาเข้าไว้ ทำใจเป็นกลาง. ถามตัวเองก่อนว่าอะไรคือหลักฐานตัดสินคนๆนั้น
บางครั้งถ้าเราสืบเสาะดีๆ เรื่องที่สังคมตัดสินแล้ว อาจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นบาปของผู้รวมหัวกันตัดสินอย่างผิดๆ"
ความเห็นของเจ้าของกระทู้สรุปจากบทความข้างต้นเราจะเห็นได้ว่ากระบวนการของSocial Sanctionนั้นแม้จะให้ผลดีแต่ก็มีผลเสียอยู่มากเช่นกัน ซึ่งเราคงไม่อาจจะปฏิเสธความจริงนี้ไปได้ถ้าเรามีเหตุผลในการกระทำสิ่งต่างๆด้วยความมีสติยั้งคิดพิจารณาอย่างรอบๆด้าน ไม่ทำไปตามเพียงอารมณ์ความรู้สึกและเหตุผลเราเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ทั้งนี้กระบวนการยุติธรรมนั้นต้องมีความเป็นธรรมต่อทุกๆฝ่าย ตัดสินอย่างเที่ยงธรรมโดยไม่สร้างข้อกังขาต่อสังคมโดยรวมมากกว่าการเห็นแก่พวกพ้องอันจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นต่อฝ่ายศาลที่จะได้รับความศรัทธาเชื่อมั่นของประชาชน และการแสดงความคิดเห็นต่างๆต้องเป็นไปด้วยความบริสุทธ์ใจปราศจากอคติต่อกันโดยไม่มองข้ามสิทธิและเสรีภาพความเป็นมนุษย์ของมนุษย์ทุกๆคน
หากเรามีความเห็นต่างทางการเมืองก็ควรจะพูดคุยกันดีๆดีกว่านะครับ ใจเขาใจเราคำพูดแรงๆอาจจะตรงและเข้าประเด็นได้ก็จริงแต่ก็สร้างความเจ็บปวดใจให้กับอีกฝ่ายเช่นกัน อาจจะใช้เวลานานแต่ก็ก่อให้เกิดมิตรภาพที่ดีต่อกันได้แม้จะเห็นต่างทางการเมือง
ประชาธิปไตยไม่ใช่การต้องเห็นพ้องไปเสียทุกเรื่องหรือถูกชี้นำ แต่คือการทำตามเสียงส่วนใหญ่ที่ผ่านการตัดสินทางความคิดเห็นที่มีการตกผลึกทางความคิดจากหลากหลายความคิดเห็นของทุกๆเสียงที่มีสิทธิ์และเสรีภาพความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งก็เป็นเพียงความเห็นโดยส่วนตัวของเจ้าของกระทู้เองอาจจะไม่ได้ถูกต้องหรือผิดไปทั้งหมดแต่ก็เป็นนิยามที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดของตัวเองแล้ว
ถ้าศรัทธาและเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตยก็ลงมือทำกันได้แล้วนะครับไม่ต้องจากไหนไกลเลยทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มได้ที่ตัวคุณครับ
คนเดินดินธรรมดาที่ไม่ได้วิเศษมาจากไหน
คิดยังไงกันกับคำว่า "Social Sanction" ครับ
อดเป็นห่วงในเรื่องของความเป็นธรรมในแต่ละฝ่ายไม่ได้น่ะครับเลยเชิญชวนมาแสดงแง่คิดต่อสิ่งเหล่านี้กัน
คิดเห็นกันอย่างไรก็แสดงความเห็นเพิ่มเติมเข้ามาได้ครับ ส่งเสริมการแสดงความคิดเห็นเพื่อให้เกิดการตกผลึกทางความคิด
ของทุกๆท่านต่อสังคมเราครับ สำหรับเรื่องนี้แล้วเจ้าของกระทู้เห็นด้วยกับคุณChol Bunnagครับ ที่อธิบายถึงแง่มุมคำๆนี้ได้อย่างเห็นข้อเท็จจริง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Social Sanction เป็นกระแสในสังคมไทยในปัจจุบัน ทุกครั้งที่เกิดเรื่องสะเทือนใจอะไรก็แล้วแต่ จะเริ่มมีการสร้าง page ใน facebook ประเภท Social Sanction เอาไว้ประนาม ประจาน ล่าแม่มด คอยติดตามไปก่นด่าทุกที่ไป ทำให้อับอายกันทั่วทั้งโคตรเหง้า และตอนนี้กระแสนี้ก็กระจายไปตาม social network ต่างๆ เช่น ในเครือข่ายของ BlackBerry เป็นต้น
Social Sanction เป็นปรากฎการณ์ที่ผมคิดว่าเกิดขึ้นจากสภาวะทางสังคม ที่คนในสังคมเชื่อว่า บ้านเมืองไม่มีความยุติธรรม กลไกของรัฐของบ้านเมืองไม่ทำงาน คนทำผิดจะสามารถหลุดจากความผิดไปได้ โดยใช้ตำแหน่ง อำนาจ นามสกุล และสถานะทางการเงินและสังคมอื่นๆ คนจึงคิดจะใช้กลไกทางสังคมในการบังคับใช้ให้เกิดความยุติธรรมแทน
แต่ทำไมเราถึงคิดว่า กลไก Social sanction มีประสิทธิภาพมากกว่า ?
ในแง่ของประสิทธิภาพในการลงโทษ ผมคิดว่ามันมีประสิทธิภาพมาก เพราะว่า บทลงโทษมันกระจายตัวลงไปสู่ระดับรากหญ้า และถูกทำให้เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง และผลกระทบไม่ได้ตกแก่ตัวคนนั้นเท่านั้น ครอบครัวโคตรเหง้าอะไรโดนหมด หากมีไก่โดนเชือดด้วยกระบวนการนี้ให้ดูแล้ว ย่อมจะทำให้คนที่จะทำอะไรก็ตามที่จะเสี่ยงกับการถูก social sanction ต้องคิดให้มากๆเลยทีเดียว
แต่ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นข้อดีประการเดียว และไม่พอที่จะถ่วงน้ำหนักกับข้อเสียของมันได้
ข้อเสียของกลไก social sanction ในความคิดของผมมีดังนี้
1. กลไก Social sanction ไม่มีกระบวนการพิสูจน์ความจริงที่เป็นที่ยอมรับ ส่วนใหญ่อยู่บนฐานของข่าวลือ และความเชื่อ และกระบวนการตัดสินของ Social Sanction เริ่มตั้งแต่ข่าวลือออกมาแล้ว โดยไม่ได้มีการพิสูจน์ใดๆ หรือถ้ามีก็จะเป็นเพียงการอนุมานเอาจากหลักฐานที่กระจัดกระจาย
ประเด็นตรงนี้คือ เราจะรู้ได้ยังไงว่า คนที่ถูก Social sanction น้ันผิดจริง ??!!?? และในเมื่อความเสียหายอันเกิดจากการ Social Sanction เกิดตั้งแต่ข่าวลือเริ่มออกแล้ว ใครจะเป็นคนชดเชยความเสียหายจากกระบวนการ Social Sanction ???
นี่คือความยุติธรรมงั้นหรือ ? … ในแง่นี้ Social sanction เป็นเพียงชื่อหรูๆของอีกคำ คือ “ศาลเตี้ย” ที่ใช้ “กฎหมู่” เท่านั้น
2. เมื่อกลไก Social sanction เกิดขึ้นโดยไม่มีกระบวนการพิสูจน์ที่ชัดเจน และอยู่บนฐานของข่าวลือและความเชื่อแล้ว มันก็สามารถกลายเป็นเครื่องมือในการทำลายใครก็ได้ทั้งนั้น ที่คนมาฆ่านักศึกษาตอน 6 ตุลา 2519 ก็เพราะข่าวลือและความคล่ังชาติมิใช่หรือ ? กระบวนการ Social sanction ก็แทบจะไม่ต่างกัน เพียงแต่ “ยัง” ไม่รุ่นแรงและมีโอกาสพัฒนาไปได้อีก โอกาสที่คนบริสุทธิ์จะตกเป็นเหยื่อจากกระบวนการนี้ก็มีอีกมาก
3. กระบวนการ Social Sanction แบบนี้จะยับย้ังการพัฒนาประเทศ – ทั้งนี้เพราะ Social Sanction มีโอกาสที่จะหยุดการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างได้มาก เพราะจะทำให้คนต้องคิดแล้วคิดอีก ก่อนที่จะแสดงความเห็น เพราะหนึ่ง ความเห็นอาจจะต่างจากคนหมู่มาก และอาจเสี่ยงต่อการถูก Social sanction ได้หากความเห็นนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สอง อาจถูกผู้เสียประโยชน์ หรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ใส่ข่าวลือสร้างกระแสทำลายล้างให้เสียชื่อเสียงและส่งผลกระทบต่อคนใกล้ตัวได้ และ สาม ไม่มีกฎหมายคุ้มครองตรงจุดน้ี หรือถ้ามีก็มีต้นทุนที่สูงเกินไป …สุดท้ายเลือกที่จะเงียบไม่พูดอะไรดีกว่า
4. กระบวนการ Social Sanction แบบนี้ ทำให้คนผิด หมดโอกาสกลับตัวกลับใจ กลายเป็นตราบาปทางสังคมไปโดยปริยาย ไม่ว่าเขาจะผิดจริงหรือไม่ ถ้าคนหมดโอกาสกลับตัวแล้วเขาจะไปทางไหน
ข้อเสียของกระบวนการ Social Sanction แบบที่เป็นอยู่อาจจะมีมากกว่านี้ แต่ผมคิดว่า 4 ประการนี้เป็นสิ่งสำคัญ
ผมคิดว่า ถ้าจะมีกระบวนการทางสังคม ที่จะทำหน้าที่บังคับให้กระบวนการยุติธรรมเป็นไปตามที่ควรจะเป็นนั้น มันควรจะเป็นขบวนการประชาชนที่คอยตรวจสอบและกดดัน ระบบการบังคับใช้กฎหมาย มากกว่าที่จะเป็นการตัดสินและลงโทษคน(ที่คิดว่า)ผิดด้วยตัวเอง
ขบวนการลักษณะนี้ควรจะมีผู้ที่มีความรู้ทางกฎหมายมาให้ความรู้ว่า ตามกฎหมายแล้วเป็นอย่างนี้ ถ้าเหตุเกิดลักษณะนี้ กรณีที่เคยเกิดๆมา น่าจะมีโทษลักษณะอย่างนี้ๆ เป็นต้น และก็ทำหน้าที่เรียกร้องให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเคร่งครัด และเสมอหน้ากันมากกว่า ขบวนการควรจะผลักดันให้มีการสอบสวนสืบสวนที่ถูกต้องตามกระบวนการพิสูจน์พยานหลักฐานตามหลักกฎหมาย มากกว่าที่จะแพร่กระจายข่าวลือ และจริงๆควรจะทำการระงับข่าวลือมากกว่า และสนับสนุน/กดดันให้สื่อ
กรณีแพรวา(อุบัติเหตุรถตู้ 8 ศพ) เป็นภาพสะท้อนของปรากฎการณ์ทั้งสอง ทั้งกรณีแรกคือ แพรวาโดนกระแสต่อต้านอย่างมาก มี page แสดงความไม่พอใจ ในอีกทางนึงกระบวนการกดดันสื่อและตำรวจก็เกิดขึ้นเช่นกัน ทำให้สื่อและกระบวนการยุติธรรมดูจะดำเนินไปในทางที่ควรจะเป็นมากขึ้น ผมคิดว่าหากมีแค่กระบวนการอันหลังอย่างเดียว น่าจะส่งผลดีต่อสังคมโดยรวมและผู้ต้องหามากกว่า ให้ทุกคนถูกคุ้มครองโดยกฎหมายอย่างเสมอหน้ากัน ไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาก็ตาม
ขอลงความเห็นของคุณVachiravan bunnagด้วยแล้วกันนะครับเพื่อเป็นแง่คิด
"เห็นด้วยว่า การลงโทษควรเสมอภาค และควรให้ความสำคัญกับหลักฐานชั้นต้น. แต่คนในสังคมหลายคนไปตามกระแส..คนเขาว่า…เรื่องเขาเล่ามา
ตื่นเต้นตามแล้วสนุกดี บางเรื่องสังคมตัดสินโดยใช้ข้อมูลเดิม เป็นเรื่องเกิดก่อน แต่คนละเรื่องแล้วโยงเข้าหากันตามอารมณ์คนฟัง
เรื่องที่ควรจะเป็นคือ เมตตาเข้าไว้ ทำใจเป็นกลาง. ถามตัวเองก่อนว่าอะไรคือหลักฐานตัดสินคนๆนั้น
บางครั้งถ้าเราสืบเสาะดีๆ เรื่องที่สังคมตัดสินแล้ว อาจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นบาปของผู้รวมหัวกันตัดสินอย่างผิดๆ"
ความเห็นของเจ้าของกระทู้สรุปจากบทความข้างต้นเราจะเห็นได้ว่ากระบวนการของSocial Sanctionนั้นแม้จะให้ผลดีแต่ก็มีผลเสียอยู่มากเช่นกัน ซึ่งเราคงไม่อาจจะปฏิเสธความจริงนี้ไปได้ถ้าเรามีเหตุผลในการกระทำสิ่งต่างๆด้วยความมีสติยั้งคิดพิจารณาอย่างรอบๆด้าน ไม่ทำไปตามเพียงอารมณ์ความรู้สึกและเหตุผลเราเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ทั้งนี้กระบวนการยุติธรรมนั้นต้องมีความเป็นธรรมต่อทุกๆฝ่าย ตัดสินอย่างเที่ยงธรรมโดยไม่สร้างข้อกังขาต่อสังคมโดยรวมมากกว่าการเห็นแก่พวกพ้องอันจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นต่อฝ่ายศาลที่จะได้รับความศรัทธาเชื่อมั่นของประชาชน และการแสดงความคิดเห็นต่างๆต้องเป็นไปด้วยความบริสุทธ์ใจปราศจากอคติต่อกันโดยไม่มองข้ามสิทธิและเสรีภาพความเป็นมนุษย์ของมนุษย์ทุกๆคน
หากเรามีความเห็นต่างทางการเมืองก็ควรจะพูดคุยกันดีๆดีกว่านะครับ ใจเขาใจเราคำพูดแรงๆอาจจะตรงและเข้าประเด็นได้ก็จริงแต่ก็สร้างความเจ็บปวดใจให้กับอีกฝ่ายเช่นกัน อาจจะใช้เวลานานแต่ก็ก่อให้เกิดมิตรภาพที่ดีต่อกันได้แม้จะเห็นต่างทางการเมือง ประชาธิปไตยไม่ใช่การต้องเห็นพ้องไปเสียทุกเรื่องหรือถูกชี้นำ แต่คือการทำตามเสียงส่วนใหญ่ที่ผ่านการตัดสินทางความคิดเห็นที่มีการตกผลึกทางความคิดจากหลากหลายความคิดเห็นของทุกๆเสียงที่มีสิทธิ์และเสรีภาพความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งก็เป็นเพียงความเห็นโดยส่วนตัวของเจ้าของกระทู้เองอาจจะไม่ได้ถูกต้องหรือผิดไปทั้งหมดแต่ก็เป็นนิยามที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดของตัวเองแล้ว
ถ้าศรัทธาและเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตยก็ลงมือทำกันได้แล้วนะครับไม่ต้องจากไหนไกลเลยทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มได้ที่ตัวคุณครับ
คนเดินดินธรรมดาที่ไม่ได้วิเศษมาจากไหน