updated: 28 ก.พ. 2559 เวลา 09:30:41 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. เปิดเผยว่า หลังสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง ส่งผลต่อธุรกิจสำรวจและผลิตในประเทศที่มีต้นทุนการผลิตสูง ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ในตลาดโลกลดลงมาอยู่ที่ 6-7 เหรียญสหรัฐ/ตัน ต้นทุนเทียบเท่าการผลิตจากอ่าวไทย ปตท.จึงมีแนวคิดจะนำเข้าเพิ่มเติม
จากปัจจุบันนำเข้าที่ 3 ล้านตัน โดยจะหารือร่วมกับกระทรวงพลังงานว่าจะดำเนินนโยบายในประเด็นก๊าซธรรมชาติ อย่างไร เพราะตลาดก๊าซ LNG ได้เปลี่ยนมาเป็นของผู้ซื้อ และ ปตท.ยังอยู่ในระหว่างเตรียมขยายท่าเรือและคลังก๊าซ LNG เพิ่มเป็น 10 ล้านตัน และอยู่ระหว่างพิจารณาขยายท่าเรือรับ LNG แห่งใหม่ นอกเหนือจากมาบตาพุดจากที่ได้ร่วมเยือนรัสเซีย พร้อมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในอนาคตไทยและรัสเซียอาจมีความร่วมมือทางพลังงาน เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านพลังงาน โดยเฉพาะการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ต้นทุนต่ำกว่าซาอุดีอาระเบีย ก่อนหน้านี้ รัสเซียได้ทำการตลาดเฉพาะในญี่ปุ่น และเกาหลีเป็นหลัก จึงมีแนวคิดขยายตลาดมาในภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ ปตท.จะไม่เป็นเพียงผู้ซื้อ แต่จะต้องเข้าไปร่วมลงทุนด้วยคาดว่าภายใน 2 เดือนนี้จะมีความชัดเจน โดยอาจลงนามข้อตกลงเบื้องต้น หรือ MOU ตามมาด้วยภายใต้สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ของกลุ่ม ปตท.ลดลงร้อยละ 22.2 หรือมีรายได้ที่ 2 ล้านล้านบาท เหตุผลสำคัญที่รายได้ลดลงมาจากการลงบันทึกด้อยค่าทางบัญชีที่ 54,698 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการสำรวจและผลิตเป็นหลัก โดยเฉพาะใน บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม แต่กระแสเงินสดของ ปตท.อยู่ที่กว่า 239,000 ล้านบาท ถือว่าสถานะการเงินยังแข็งแกร่งและสามารถลงทุนได้ต่อเนื่อง โดยจะเน้นไปที่การลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคเป็นหลัก เช่น โครงการขยายท่อก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 เพื่อเชื่อมโยงท่อก๊าซจากภาคตะวันออกมาภาคตะวันตก รวมถึงคลังก๊าซ LNG
คาดว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกว่าอาจอยู่ในระดับต่ำเฉลี่ย 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดย ปตท.มองว่าระดับเลวร้ายสุด (Worst Case) ราคาน้ำมันอาจอยู่ที่ 20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อาจต้องชะลอการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ ปตท.สผ. 5-6 โครงการ อย่างไรก็ตามในกรณีที่ราคาน้ำมันแตะที่ 20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ผู้ประกอบการรายอื่นจะหยุดการลงทุนก่อน และ ปตท.จะเป็นกลุ่มบริษัทท้ายสุดที่จะได้รับผลกระทบ
ปตท.จ่อเซ็นMOUพลังงานรัสเซีย ปรับแผนรับราคาน้ำมันดิ่ง-นำเข้าก๊าซเหลวสุดถูก
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. เปิดเผยว่า หลังสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง ส่งผลต่อธุรกิจสำรวจและผลิตในประเทศที่มีต้นทุนการผลิตสูง ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ในตลาดโลกลดลงมาอยู่ที่ 6-7 เหรียญสหรัฐ/ตัน ต้นทุนเทียบเท่าการผลิตจากอ่าวไทย ปตท.จึงมีแนวคิดจะนำเข้าเพิ่มเติม
จากปัจจุบันนำเข้าที่ 3 ล้านตัน โดยจะหารือร่วมกับกระทรวงพลังงานว่าจะดำเนินนโยบายในประเด็นก๊าซธรรมชาติ อย่างไร เพราะตลาดก๊าซ LNG ได้เปลี่ยนมาเป็นของผู้ซื้อ และ ปตท.ยังอยู่ในระหว่างเตรียมขยายท่าเรือและคลังก๊าซ LNG เพิ่มเป็น 10 ล้านตัน และอยู่ระหว่างพิจารณาขยายท่าเรือรับ LNG แห่งใหม่ นอกเหนือจากมาบตาพุดจากที่ได้ร่วมเยือนรัสเซีย พร้อมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในอนาคตไทยและรัสเซียอาจมีความร่วมมือทางพลังงาน เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านพลังงาน โดยเฉพาะการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ต้นทุนต่ำกว่าซาอุดีอาระเบีย ก่อนหน้านี้ รัสเซียได้ทำการตลาดเฉพาะในญี่ปุ่น และเกาหลีเป็นหลัก จึงมีแนวคิดขยายตลาดมาในภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ ปตท.จะไม่เป็นเพียงผู้ซื้อ แต่จะต้องเข้าไปร่วมลงทุนด้วยคาดว่าภายใน 2 เดือนนี้จะมีความชัดเจน โดยอาจลงนามข้อตกลงเบื้องต้น หรือ MOU ตามมาด้วยภายใต้สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ของกลุ่ม ปตท.ลดลงร้อยละ 22.2 หรือมีรายได้ที่ 2 ล้านล้านบาท เหตุผลสำคัญที่รายได้ลดลงมาจากการลงบันทึกด้อยค่าทางบัญชีที่ 54,698 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการสำรวจและผลิตเป็นหลัก โดยเฉพาะใน บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม แต่กระแสเงินสดของ ปตท.อยู่ที่กว่า 239,000 ล้านบาท ถือว่าสถานะการเงินยังแข็งแกร่งและสามารถลงทุนได้ต่อเนื่อง โดยจะเน้นไปที่การลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคเป็นหลัก เช่น โครงการขยายท่อก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 เพื่อเชื่อมโยงท่อก๊าซจากภาคตะวันออกมาภาคตะวันตก รวมถึงคลังก๊าซ LNG
คาดว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกว่าอาจอยู่ในระดับต่ำเฉลี่ย 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดย ปตท.มองว่าระดับเลวร้ายสุด (Worst Case) ราคาน้ำมันอาจอยู่ที่ 20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อาจต้องชะลอการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ ปตท.สผ. 5-6 โครงการ อย่างไรก็ตามในกรณีที่ราคาน้ำมันแตะที่ 20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ผู้ประกอบการรายอื่นจะหยุดการลงทุนก่อน และ ปตท.จะเป็นกลุ่มบริษัทท้ายสุดที่จะได้รับผลกระทบ