แผนการของเจ้าสุวรรณภูมากับฝ่ายซ้ายลาวในการเปลี่ยนระบอบและการยึดครองลาวของเวียดนาม


ชายแดนเวียดนามเหนือและใต้

ลาวนั้นเคยเป็นประเทศสงบ แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่งของสงคราม ก็ทำให้ลาวเกิดการเปลี่ยนแปลง มาจนถึงวันนี้

สมัยหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นที่ทราบกันดีว่า อเมริกาและโซเวียต ต่างเป็นมหาอำนาจใหญ่ๆของโลกทั้ง 2 ประเทศ ฝ่ายอเมริกาเป็นผู้นำฝ่ายโลกเสรี ขณะที่ฝ่ายโซเวียต เป็นผู้นำฝ่ายคอมมิวนิสต์ ต่างก็มีสงครามตัวแทนอยู่หลายๆมุมของโลก หนึ่งในนั้นคือ "สงครามเวียดนาม"

จุดเริ่มต้นของสงครามเวียดนามเกิดจากการต่อสู้ของกลุ่มเวียดมินห์ ซึ่งเป็นกลุ่มทหารลัทธิคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม นำโดยโฮจิมินห์ ที่ได้ต่อสู้กับฝรั่งเศสมาเป็นระยะเวลาหลายปี จนกระทั่งฝรั่งเศสได้พ่ายแพ้ในสงครามที่เดียนเบียนฟู (คนลาวรู้จักกันในชื่อ เมืองแถน) ในเวลาต่อมา ด้วยแรงกดดันของประชาชนฝรั่งเศสและประเทศมหาอำนาจ ฝรั่งเศสจึงได้ยอมประกาศเอกราชในการประชุมที่เจนีวา ปี 1954 ซึ่งองค์ประกอบส่วนหลักคือการประกาศเอกราชให้กับลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งเวียดนามเกิดกรณีพิเศษคือ เวียดนามเหนือ ปกครองโดยตรงโดยกลุ่มของโฮจิมินห์ ส่วนเวียดนามใต้เป็นเขตของกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งในอนาคตนั้น จะมีการลงมติกันว่าจะยอมเข้าร่วมกับทางฝ่ายเหนือหรือไม่ แต่ปรากฏว่า อเมริกาได้เป็นผู้ล้มการเลือกตั้ง ทั้งยังได้สนับสนุนให้มีการโกงมติเพื่อตั้งให้เวียดนามใต้เป็นสาธารณรัฐอย่างสมบูรณ์แบบ (ก่อนหน้านี้ เวียดนามใต้เป็นรัฐของฝรั่งเศส ที่มีจักรพรรดิเป็นประมุข) ซึ่งจุดเริ่มต้นของสงครามเวียดนาม คือการที่เวียดนามเหนือและใต้ถูกแบ่งอย่างเด็ดขาดและชัดเจน และสิ่งสำคัญที่สุดของการแบ่งแยกดินแดนคือการกำหนดให้เขตชายแดนของเวียดนามเหนือและใต้นั้น เป็นเขตปลอดทหาร ซึ่งส่งผลโดยสมบูรณ์ต่อประเทศลาวในยุคนั้นที่ยังเป็นพระราชอาณาจักรลาวอยู่


ทหารเวียดนามเหนือขนเสบียงและอาวุธผ่านถนนเดินโฮจิมินห์ ปี 1959

เวียดนามเหนือเริ่มต้นการรุกรานลาวโดยการยึดครองหมู่บ้านในเมืองเซโปน แขวงสะหวันนะเขด อันเป็นเขตเมืองที่อยู่ใกล้กับเขตชายแดนเวียดนามเหนือ-ใต้ และในเวลาต่อบริเวณนั้นก็กลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ส่งผลต่อประเทศลาวในภายหลัง เนื่องจากว่าบริเวณนั้นกลายเป็นถนนเดินของกลุ่มทหารเวียดนามเหนือสำหรับขนเสบียง,อาวุธ และพลทหารให้กับกลุ่มเวียดกงในเวียดนามใต้ อันเนื่องจากเหตุผลที่ว่าชายแดนเหนือ-ใต้นั้น เป็นเขตปลอดทหารนั้นเอง ซึ่งถนนเดินเหล่านั้น ได้พากันเรียกว่า ถนนเดินโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Trail)


เจ้าสุวรรณภูมา, เจ้าสุภานุวงศ์, นายพลสิงกะโป สีโคดจุนละมะนี และ ทหารฝ่ายซ้ายคอยคุ้มกัน ปี 1963

เวลาต่อมาในปี 1962 เจ้าสุวรรณภูมา ผู้นำฝ่ายกลาง ได้เสียงมติส่วนใหญ่จากสภาแห่งชาติลาว ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลส่วนใหญ่ที่ว่า เจ้าสุวรรณภูมา จะสามารถนำเอาสันติภาพและความปรองดองสามัคคีมายังชาติลาวได้ เนื่องจากทั้งฝ่ายซ้าย นำโดย เจ้าสุภานุวงศ์ (ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ผู้นำที่แท้จริงเท่าไหร่นัก), ฝ่ายขวา ของเจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์ และฝ่ายกลางของพระองค์เอง มีความขัดแย้งกันมานานแล้ว และฝ่ายซ้ายเองยังคงปักหลักอยู่ที่เขตฐานที่มั่นในเวียงไซ ไม่ยอมสวามิภักดิ์ใดๆต่อรัฐบาล ทั้งยังรบรากันนานอยู่พอสมควร


เจ้าสุวรรณภูมาและโฮจิมินห์ ปี 1964

เจ้าสุวรรณภูมา แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำฝ่ายกลาง แต่โดยส่วนลึกแล้วนั้น เจ้าสุวรรณภูมา มีความสนิทชิดเชื้อต่อกลุ่มฝ่ายซ้ายเป็นพิเศษ ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับสหภาพโซเวียตและจีนอีกด้วย ขณะที่เจ้าบุญอุ้มและนายกรัฐมนตรีอีกหลายๆคน ล้วนมีความสนิทชิดเชื้อต่อฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา

เจ้าสุวรรณภูมา เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ได้พยายามเชื้อเชิญให้กลุ่มฝ่ายซ้ายเข้าร่วมรัฐบาลในเวียงจันทน์เพื่อประกอบเข้าเป็นรัฐบาลผสม ระหว่าง ฝ่ายซ้าย-กลาง-ขวา ทั้งยังได้มีการเซ็นสัญญาสันติภาพในเจนีวา เพื่อไม่ให้มีการแทรกแซงใดๆจากกองทัพหรือกลุ่มทหารต่างประเทศ แต่ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบ ฝ่ายซ้ายในเวลาต่อมาได้ละทิ้งตำแหน่งของตนในรัฐบาลผสมและกลับไปยังเขตที่มั่น และทหารเวียดนามเหนือที่เข้ามาอยู่ในลาวกว่า 6,000 คน ได้ออกไปเพียงแค่ 40 คน และยังดำเนินหน้าที่เดิม คือการส่งเสบียง,อาวุธ และพลทหารให้กับกลุ่มเวียดกงในเวียดนามใต้


แผนที่การทิ้งระเบิด

เมื่อไม่มีทางเลือกนั้น เจ้าสุวรรณภูมา จึงได้เปลี่ยนขั้วความสัมพันธ์มาทางอเมริกา และได้ตกลงเจรจากับอเมริกา ขอให้อเมริกาทิ้งระเบิดเพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังรัฐบาลฮานอยว่าให้หยุดส่งทหารมา โดยยุทธการการทิ้งระเบิดมีอยู่ 3 แผนการ คือ ยุทธการหมุนถัง (Operation Barrel Roll), ยุทธการเสือเหล็ก (Operation Steel Tiger) และ ยุทธการยั่วเสือ (Operation Tiger Hound) ซึ่งได้ดำเนินมาตลอดจนสิ้นสุดสงคราม และส่งผลให้ประเทศลาวมีระเบิดลงมากที่สุด เนื่องจากว่าได้มีการทิ้งระเบิดเป็นเวลาเกือบ 9 ปี บางระเบิดก็ยังไม่แตกและสร้างปัญหาให้กับผู้คนในประเทศลาวจนทุกวันนี้


การเซ็นสัญญาระหว่างเจ้าสุวรรณภูมาและเจ้าสุภานุวงศ์

เรื่องที่น่าแปลกอีกเรื่องก็คือ เมื่อสงครามยุติลงแล้ว เจ้าสุวรรณภูมา เชื้อเชิญกลุ่มฝ่ายซ้ายเข้าร่วมรัฐบาลผสม ซึ่งปรากฏว่ารัฐบาลผสมครั้งนี้ ไร้วี่แววการต่อต้านแต่อย่างใด (รัฐบาลผสมของเจ้าสุวรรณภูมา จัดมา 3 ครั้ง คือ ครั้งแรก ปี 1956 จบลงด้วยการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของผุย ซะนะนิกอน ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีฝ่ายขวา, ครั้งที่ 2 ปี 1962 ซึ่งก็หนีไปในเวลาไม่นาน และครั้งที่ 3 คือ ปี 1973 ที่จะกล่าวถึงนี้) โดยกลุ่มรัฐบาลผสมชุดนี้ได้ดำเนินงานมาด้วยดีตลอด ทั้งยังมีการทำสนธิสัญญาสันติภาพ ซึ่งปรากฏว่าทหารรัฐบาลต้องวางอาวุธเพื่อแสดงตนว่าจะไม่มีการเข่นฆ่า ลาวฆ่าลาวอีก และจะไม่มีการข่มขู่ด้วยอาวุธใดๆ


การปลดอาวุธตามสนธิสัญญาปี 1973

แต่สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นก็ได้เกิด เมื่อในระยะเวลานั้น กลุ่มฝ่ายซ้ายได้แอบปลุกระดมข้าราชการ, พนักงานรัฐ, นักเรียนนักศึกษา และประชาชน ว่ารัฐบาลเป็นทาสของกลุ่มจักรพรรดิ (จักรวรรดินิยม คืออเมริกา) ได้หว่านล้อมให้กลุ่มทหารของรัฐบาลเข้าร่วมกับตน และได้ปลุกระดมให้กลุ่มเหล่านั้นทั้งหลาย พากันเข้ายึดเมืองในทั่วประเทศ แนวทางนี้เรียกกันว่า 3 บาตรค้อนยุทธศาสตร์ ซึ่งในเวลาต่อมาได้ยึดเมือง ยึดแขวงในทั่วประเทศ และยึดเวียงจันทน์ได้ใน 20 สิงหาคม 1975 รัฐบาลของเจ้าสุวรรณภูมาได้ประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีการต่อต้านและไร้เงื่อนไข และได้มีการเห็นชอบจากสภาชั่วคราวที่ฝ่ายซ้ายคัดเลือกเข้ามานั้น ให้ลงมติให้เปลี่ยนระบอบ เปลี่ยนธงชาติ เปลี่ยนเพลงชาติ เปลี่ยนชื่อประเทศ เป็นอย่างปัจจุบันนี้ ในวันที่ 2 ธันวาคม 1975


การยึดอำนาจจากรัฐบาลระบอบเก่า

ในเวลาต่อมา ปี 1977 ทหารรัฐบาลระบอบใหม่ ได้จับกุมพระเจ้ามหาชีวิต, พระราชินี และองค์มกุฎราชกุมาร รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ของลาวที่ยังอยู่ในประเทศ ไปคุมขังดัดนิสัยอยู่ที่แขวงหัวพัน บางพระองค์สิ้นพระชนม์ บางพระองค์ก็อยู่รอดจนถึงวันปล่อย แต่นอกจากเจ้าสุภานุวงศ์แล้ว หนึ่งในพระบรมวงศานุวงศ์อีกพระองค์ที่ไม่ได้ถูกสัมมนาคือ เจ้าสุวรรณภูมา ซึ่งพระโอรส-ธิดาของพระองค์ได้หลบหนีอยู่ต่างประเทศแล้ว ซึ่งยังเป็นประเด็นสงสัยอยู่ว่า การที่อเมริกาทิ้งระเบิด คือแผนการของเจ้าสุวรรณภูมาและกลุ่มฝ่ายซ้ายหรือไม่?

ในระยะเวลาไล่เลี่ยนั้น กัมพูชาก็ถูกเขมรแดงยึดครองพนมเปญ ส่วนเวียดนามใต้ก็ถูกเวียดกงยึดครองไซง่อนได้เช่นเดียวกัน แต่สถานการณ์ในลาวค่อนข้างแตกต่างกับกัมพูชาและเวียดนามใต้ เนื่องจากไม่ได้มีการใช้อาวุธโดยตรง แต่เป็นการใช้กลวิธีที่แตกต่างออกไป เนื่องจากสนธิสัญญาสันติภาพ จึงไม่ได้ใช้อาวุธในการปราบปรามหรือต่อสู้ ใช้เพียงแค่กำลังของประชาชน (และทหารติดอาวุธ) เข้ายึดทั่วเมืองในประเทศ

สำหรับในลาวเองนั้น ภายหลังการยึดครองประเทศลาวโดยกลุ่มฝ่ายซ้ายได้ เวียดนามได้ส่งทหารของตน มาประจำอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ เช่น ทุ่งไหหิน, เซโน และที่ราบสูงโบโลเวน ทั้งยังได้มีการนำองค์กรที่เรียกว่า "เซเป/38" เข้าควบคุมพรรคและรัฐในระบอบใหม่ของลาวโดยตรง (ก่อนหน้านี้นั้น เวียดนามได้พยายามทำตนเองให้ดูเป็นมิตรกับกลุ่มฝ่ายซ้ายในเขตที่มั่นอยู่ แต่ในบางครั้งเอง ก็ได้มีปัญหากับกลุ่มชาตินิยมที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของเวียดนาม จนเกิดปัญหาอยู่หลายครั้ง เช่น การรณรงค์โฆษณาการก่อตั้ง "สหพันธ์อินโดจีน" ซึ่งปรากฏแรงต่อต้านจากกลุ่มชาตินิยมในเขตนั้น)


การเซ็นสัญญา ลาว-เวียด ปี 1977

ต่อมาปี 1977 ลาวกับเวียดนาม นำโดย ไกสอน พมวิหาน นายกรัฐมนตรีของลาว และ ฟามวันด่ง นายกรัฐมนตรีของเวียดนาม ได้ทำสัญญาชื่อว่า สัญญามิตรภาพลาว-เวียด 1977 ขึ้น โดยอ้างว่า เพื่อการช่วยเหลือลาวอย่างบ้านพี่เมืองน้อง ซึ่งในเวลาต่อมานั้น เวียดนามได้เซ็นสัญญาระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล, กระทรวงกับกระทรวง, แขวงกับแขวง ทั้งทางลับและเปิดเผย โดยได้ส่ง "ที่ปรึกษา" จากเวียดนามหลายคนเข้าประจำการอยู่ในหน่วยงานและในแขวงต่างๆ และยังได้นำเอาทหารเข้ามาประจำการอยู่ในลาวหลายนาย (ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าวันนี้ยังมีหรือไม่?)

นอกจากนี้ เวียดนามยังได้บังคับให้ลาวบังคับชาวไร่ชาวนาของลาวให้เข้าสหกรณ์เกษตรและเสียภาษีเกษตรกรรม จนประชาชนเริ่มทนไม่ไหว จนมีการขู่ว่าจะนำเอาผู้ก่อเรื่องไปสัมมนา แต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนใจได้ ดังนั้นแล้วจึงได้มีการจับกุมคุมขังบรรดาผู้ไม่เห็นด้วยจนมีผู้หนีตายเป็นจำนวนมาก เวียดนามจึงได้นำเอาชาวเวียดนามในประเทศและชาวเวียดนามที่พยายามไปไทยแต่ไม่สำเร็จ มาอยู่ที่ประเทศลาวแต่เวลานั้น

นอกจากนี้แล้ว เวียดนามยังได้บังคับให้ลาวสร้างสถานการณ์อันตึงเครียดในเขตชายแดนไทยและจีนอยู่หลายครั้ง เพื่อสามารถหาเหตุผลให้ทหารมาอยู่ในลาวได้ตลอดไปได้ เมื่อเกิดสงครามระหว่างจีนและเวียดนามขึ้น ยิ่งทำให้เวียดนามประกาศต่อต้านจีนในลาวมากขึ้น และได้นำเอาทหารเวียดนามประจำการอยู่ลาวเป็นจำนวนมาก ซึ่งในเวลาต่อมา ในเดือนพฤษภาคม 1979 ไกสอน พมวิหาน จึงยอมรับว่ามีทหารเวียดนามอยู่ในลาว เพื่อต่อต้านจีน และเป็นการช่วยเหลือตามสนธิสัญญากัน

นอกจากนี้แล้ว เหตุการณ์พนมเปญในปี 1979 ยังสามารถสะท้อนได้ดีและเป็นตัวอย่างให้กับรัฐบาลลาว ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลลาวจะสามารถเปลี่ยนขั้นได้ระยะหนึ่ง แต่ท้ายสุดในปัจจุบันนี้ ลาวอาจจะกลับไปเป็นอย่าง 10 กว่าปีก่อน ก็เป็นได้

ขอบคุณทุกท่านที่สละอ่านจนจบครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ประวัติศาสตร์ หน้าต่างโลก ประเทศลาว
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่