(ดูแล้วมาเล่า) วิเคราะห์หนัง "ROOM" โตเพื่อรู้ อยู่เพื่อเผชิญ (หนังรางวัลนักแสดงนำหญิง Oscars)




(เปิดเผยเนื้อหา)

..... มนุษย์เรา “เติบโต” เพื่อเรียนรู้ และ “ใช้ชีวิตอยู่” เพื่อเผชิญกับโลกที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
..... บ่มเพาะวัยเด็กใน “โลกที่สวยงาม” ด้วยจินตนาการ เติบโตอย่างแข็งแกร่งใน “โลกของความจริง” ด้วยการเรียนรู้
และรับมือให้ได้กับ “โลกอันโหดร้าย” ด้วยการปรับตัว
..... “โลกที่สวยงาม” และ “โลกแห่งความจริง” เป็นไปตามลำดับขั้นของการเติบโตและเรียนรู้ตามช่วงวัย “ยิ่งโตก็ยิ่งรู้”
..... แต่ในโลกที่กว้างใหญ่ และเต็มไปด้วยความซับซ้อน “ยิ่งโตยิ่งเจ็บปวด” เพราะ “โลกอันโหดร้าย”
จะเวียนวนมาถึงเราเมื่อไหร่ ไม่อาจคาดเดา
..... คำกล่าวที่ว่า “โลกของผู้ใหญ่โหดร้ายกว่าโลกของเด็ก” ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด
..... ยิ่งไปกว่านั้น บางสถานการณ์ของชีวิต เรื่องร้ายๆ อาจจะมาเร็วเกินไปจนไม่ทันตั้งตัว และมันอาจจะทับซ้อนหลอมรวมกัน
จนยากต่อการแยกแยะ
..... บางที “โลกของความจริง” ก็คือ “โลกของความโหดร้าย” มันคือโลกเดียวกัน!

..... เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นภูมิคุ้มกัน ในการเผชิญหน้ากับโลกที่เราไม่อาจคาดเดา คือ “เรียนรู้” และ “ปรับตัว”
ให้เท่าทันกับโลกที่อยู่ตรงหน้า ผ่านการเติบโตและฟูมฟักจากสถาบันครอบครัว
..... “ROOM” สะท้อนให้เห็นการเผชิญหน้ากับโลกทั้ง 3 โลก ผ่านสภาวะของตัวละครทั้ง 3 ช่วงวัย ได้แก่
แจ็ค (วัยเด็ก: สถานะเป็นลูกและหลาน), จอย (วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ : สถานะเป็นทั้งแม่และลูก),
โรเบิร์ตและแนนซี่ (วัยกลางคน : สถานะเป็นพ่อแม่และตากับยาย)
..... ROOM จึงเปรียบเสมือน “ห้องตัวอย่าง” ที่จำลองเรื่องดังกล่าวเอาไว้อย่างเป็นรูปธรรม โดยแบ่งหนังออกเป็น 2 องค์
ได้แก่ “ใน Room” และ “นอก Room”



“ใน Room”
..... คือ “โลกอันโหดร้าย” ของจอย แต่เป็น “โลกที่สวยงาม” ของแจ็ค
..... ก่อนจะเผชิญและตกอยู่กับขุมนรกอันร้ายกาจ โลกของจอยก่อนหน้านี้ คงไม่ผิดแผกแตกต่างจากเด็กสาววัยรุ่นทั่วไปนัก
มีความสุขกับครอบครัวพ่อแม่ลูก เรียนหนังสือ มีเพื่อน ทำกิจกรรมตามประสาวัยรุ่นด้วยกัน ค่อยๆ เรียนรู้โลกแห่งความจริง
และรอวันเติบโตเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่
..... แต่ยังไม่ทันงอกงามเต็มที่นัก ชีวิตวัยรุ่นของเธอก็พังทลาย เมื่อตกเป็น “เหยื่อ” ของความโหดร้าย หลังจากถูกชาย
ที่เธอเรียกว่า “นิค” หลอกลวงมากระทำชำเรา และขังไว้ใน Room เพื่อระบายทางเพศนานกว่า 7 ปี

..... “ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแม่ดังก้องอยู่ในหัวว่า ‘เป็นเด็กดีนะลูก’ มันยิ่งทำให้หนูคิดถึงอีตาแก่ที่เลี้ยงหมาป่วยนั่น!”
..... ความอัดอั้นตันใจที่จอยระบายกับแม่ในภายหลัง สันนิษฐานได้ว่าพื้นฐานการเลี้ยงดูของพ่อแม่ น่าจะปลูกฝังให้จอยเป็นคนดีมากๆ
..... ดีจนบางครั้งขาดภูมิคุ้มกัน และไม่ทันเฉลียวใจกับภัยร้ายที่อยู่ตามซอกหลืบของสังคม จนเป็นเหตุให้เธอถูกหลอก
เพียงเพราะต้องการช่วยหมาป่วยที่ชายคนหนึ่งใช้เป็น “เหยื่อล่อ” คุณงามความดีของจอยให้ตกหลุมพราง




..... หลังจากให้กำเนิดลูกชาย จากเวรกรรมอันเลวร้าย กลายเป็นเรื่องที่จอยต้อง “ปรับตัว” เพื่อจะมีชีวิตอยู่ให้ในโลกอันเจ็บปวด
..... สถานะของจอยเปลี่ยนจาก “เหยื่อ” กลายเป็น “แม่” ที่ต้องประคับประคองลูกให้เติบโตอย่างปกติที่สุด
ส่วนนิคจาก “อาชญากร” กลายเป็น “ที่พึ่ง” และเป็นเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตให้จอยกับลูก ด้วยอาหารและเครื่องอุปโภค
..... “กาลครั้งหนึ่งก่อนผมจะเกิด แม่ร้องไห้แล้ว ร้องไห้อีก อยู่หน้าทีวีตลอดทั้งวัน จนกลายเป็นซอมบี้ จากนั้นผมก็ตกลงมาจากสวรรค์
ลงมาที่ห้องนี้ ผมเตะท้องแม่แล้วพุ่งออกมา แม่ตัดสายสะดือแล้วก็พูดว่า ฮัลโหลแจ็ค!”

..... เด็กหลายคนคงจะเคยตั้งคำถามว่า “ตัวเองเกิดมาได้อย่างไร” และถูกสร้างความเข้าใจ ด้วยวิถีการมองโลกอันบริสุทธิ์เรียบง่าย
ถึงแม้แจ็คจะเป็นผลผลิตของความโหดร้าย แต่โลกของเด็กก็คือ “โลกที่สวยงาม” ผ่านจินตนาการอยู่เสมอ



..... และที่สำคัญในห้องแห่งนี้ แจ็คมีแม่ที่คอยมอบความสุขและดูแลจนเติบโต ภายใต้ข้อกำจัดของการเลี้ยงดู
ที่ถูกล้อมกรอบจนแทบดิ้นไม่ได้
..... แจ็คซึ่งไม่เคยเห็น ไม่เคยรับรู้โลกนอก Room ถูกสอนให้รู้จักคน สัตว์ สิ่งมีชีวิต และสิ่งของต่างๆ ผ่านทีวี
และเมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี ก็ถึงวันที่แจ็คโตพอที่จะรับรู้ว่า ยังมีอีกโลกหนึ่งภายนอก Room นั่นคือ “โลกแห่งความจริง”
โลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างในทีวีเป็นของจริง
..... การที่จอยตัดสินใจส่งลูกออกไปเผชิญกับโลกความจริง จึงเปรียบเสมือนการที่มนุษย์คนหนึ่ง ได้ผ่านการฟูมฟักเลี้ยงดู
จนเติบใหญ่ได้ที่ และพร้อมจะเรียนรู้โลกที่อยู่นอกบ้าน โลกที่ไม่ได้มีแค่ครอบครัวของตัวเองอีกต่อไป

..... สิ่งที่อยู่ “ใน Room” นอกจากจะเป็นภาพสะท้อน “ความโหดร้าย” ของสังคมแล้ว อีกด้านมันยังจำลอง
“วิกฤติของสถาบันครอบครัว” และ “ครอบครัวที่ขาดความสมบูรณ์” แบบอ้อมๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเลี้ยงดู
เด็กคนหนึ่งให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ
..... ไม่ว่าจะเป็น การเป็นเสมือนครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ที่อยู่ไม่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก การให้กำเนิดโดยไม่เต็มใจหรือไม่พร้อม
การที่พ่อแม่ไม่ได้รักกันจริง การที่ผู้ชายมีหน้าที่หาเลี้ยงปากท้อง และปล่อยให้ผู้หญิงเลี้ยงลูกตามลำพัง โดยปราศจากจุดร่วม
ในการรับผิดชอบครอบครัว การละเลยหรือไม่ผูกพันในแง่ของความรักระหว่างพ่อกับลูก การที่สภาพชีวิตความเป็นอยู่ไม่สู้ดี
และการที่ฐานะของครอบครัวย่ำแย่ สะท้อนผ่านการตกงานของนิค ซึ่งมีหน้าที่หารายได้ เป็นต้น



“นอก Room”
..... คือ “โลกแห่งความจริง” ของแจ็ค แต่ยังคงเป็น “โลกอันโหดร้าย” ของจอย
..... หลังจากออกจาก Room ได้ จอยและแจ็คต้อง “เรียนรู้” และ “ปรับตัว” กับการใช้ชีวิตในอีกโลกหนึ่ง
จอยหวนกลับมายังโลกที่เธอเคยอยู่อีกครั้ง ในขณะที่แจ็คเพิ่งจะได้สัมผัส และรับรู้โลกที่กว้างใหญ่ใบนี้เป็นครั้งแรก
..... คนที่มีปัญหาในการปรับตัวน่าจะเป็นแจ็ค แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นจอย

..... แจ็คสามารถเรียนรู้และปรับตัวกับการใช้ชีวิตในโลกความจริงได้ เขาเริ่มรู้จักการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว
รู้จักสิ่งมีชีวิตและสิ่งของต่างๆ ที่มีตัวตนอยู่จริง ไม่ใช่แค่ในทีวี เริ่มมีเพื่อน และรู้จักวิถีการใช้ชีวิตประจำวันแบบคนปกติทั่วไป
..... แต่ขณะเดียวกัน ในโลกที่กว้างใหญ่ กลับทำให้มีช่องว่างระหว่างเขากับแม่เพิ่มมากขึ้น จึงไม่แปลกนักที่แจ็คจะคิดถึง Room
เพราะมันคือความทรงจำอัน “งดงาม” ระหว่างเขากับแม่ ในขณะที่แม่มองว่ามันคืออดีตอัน “เจ็บปวด” และไม่อยากหวนกลับ

..... จอยมีความหวังว่า เมื่อกลับมาสู่โลกแห่งความจริงแล้ว ชีวิตของเธอน่าจะกลับมาสมบูรณ์และมีความสุขดังเดิม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับตาลปัตร
..... ครอบครัวของเธอแตกเป็นเสี่ยงๆ สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากการที่ “ขาดลูก” ซึ่งเปรียบเสมือนสายใยยึดเหนี่ยวความเป็นครอบครัวเอาไว้
..... แม่มีครอบครัวใหม่ ในขณะที่พ่อก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ไม่สามารถให้การยอมรับแจ๊คเป็นหลานได้ ทุกครั้งที่เขามองแจ็ค
จึงคงไม่ต่างจากแผลที่ถูกกรีดซ้ำ เพราะแจ็คคือหลักฐานแห่งความโหดร้าย ที่ทำลายชีวิตลูกสาวและความงดงามของครอบครัว



..... จอยยิ่งเจ็บซ้ำเป็นทวีคูณ เมื่อเธอตระหนักเอาเองว่า มีแค่ชีวิตเธอคนเดียวเท่านั้นที่ต้อง “พังพินาศ” เมื่อการดำรงอยู่ของครอบครัว
แบบพ่อแม่ลูกได้พังทลายลง และพ่อแม่ก็สามารถอยู่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีเธอ
..... หลักฐานบ่งชี้ความเจ็บปวดขั้นสุดที่จอยมี คือการที่เธอดิ้นรนจะมีชีวิตอยู่ให้ได้ ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ แต่กลับพยายาม
หาหนทางจากโลกนี้ไป เมื่อหลุดพ้นจากห้องดังกล่าว
..... แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตพ่อแม่ของจอยก็คงจะพังพินาศไม่แตกต่างกัน โดยเฉพาะที่แนนซี่ไม่สามารถแก้ตัว หรือหาข้ออ้างอื่นใด
มาต่อกรได้เลย เมื่อถูกบทสนทนาของลูกสาวสวนกลับมาว่า ที่เธอต้องตกเป็นเหยื่อของมารสังคม ก็เพราะมาการเลี้ยงดูของพ่อแม่

..... ชีวิต “นอก Room” ขาดความสมบูรณ์ไม่ผิดแผกแตกต่างจาก “ใน Room” ทุกตัวละครล้วนแต่เผชิญกับวิกฤตในการประคับประครองชีวิตครอบครัว ทั้งหมดจึงต้องผ่านบททดสอบแห่งการ “เรียนรู้” และ “ปรับตัว” กับความเลวร้ายที่ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า
..... “ทุกครั้งที่แม่มองลูก แม่ก็ยังเห็นลูก เป็นลูกของแม่เหมือนเดิม” สายตาที่จอยมองแจ็ค คงไม่ต่างอะไรจากคำตอบของแม่ที่มองเธอ
..... ไม่ว่าแจ็คจะกำเนิดเกิดจากความไม่ตั้งใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นผลผลิตจากความโหดร้ายของมารสังคม
..... แต่ลูกก็คือลูก”
..... หนังบอกจึงกับเราว่า จงต้องทิ้งอดีตอันเจ็บปวดไว้เป็นอนุสรณ์ อยู่กับปัจจุบันให้ได้ และหาทางก้าวต่อไปในวันข้างหน้า



ติดตามพูดคุยเรื่องหนังเพิ่มเติมกันได้ที่เพจ "เบิกโรงซินีม่า"
https://www.facebook.com/BergRongCinema/
ยินดีต้อนรับคนรักหนังทุกคนนะครับ ^ ^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่