เรื่องเกิดขึ้นเมื่อเวลา 03.30 น วันที่ 8 พ.ค.2558 พ่อได้ประสบอุบัติเหุตขับรถจักรยานยนต์ล้มคว่ำ เหตุเพราะสุนัขไล่กรวด และตัดหน้า
ทำให้ศรีษะแตกเย็บ 5 เข็ม พร้อมด้วยแผลถลอกตามตัว เท้าขวาเริ่มบวม จากการผิดปกติของเส้นเอ็นอะไรสักอย่าง ทำให้เท้าบวม
มากเดินไม่ได้อยู่ 2 เดือน เต็ม สาเหตุของเรื่องคือมีบ้านหลังนึงที่อยู่ห่างกัน ประมาณ 30 เมตร เริ่มย้ายมาอยู่ใหม่ได้ประมาณ 5-6 เดือน
ได้เอาสุนัขมาเลี้ยงไว้ จำนวน 5-6 ตัว เป็นสุนัขพันธุ์ไทยตัวใหญ่ มีสีขาวและสีดำ โดยเจ้าของบ้านไม่ได้ทำการล้อมรั้วบ้าน รึทำการล่ามสุนัข
ของตนเองไว้ เป็นเหตุให้สุนัขชอบวิ่งไล่กรวด ไล่เห่า และมีกัด คนขับรถจักรยานยนต์ ที่ผ่านไปผ่านมาเป็นประจำ *** โดยพ่อเราต้องใช้ถนน
เส้นนั้นเป็นประจำเพื่อรับส่งแม่ไปทำงานทุกวัน
พ่อเคยเข้าไปบอกเจ้าของบ้านและพ่อเจ้าของบ้าน จำนวน2 ครั้งแล้ว ว่าสุนัขที่เจ้าของบ้านเลี้ยงไว้ มีนิสัยดุร้าย ชอบวิ่งไล่กรวด ไล่เห่า
เจ้าของบ้านก็ทำคุยโต โอ้อวด ว่า เดี๋ยวจะล้อมรั้วแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก พ่อก็ได้เล่าให้เราฟังหลายรอบแล้ว กลัวสุนัขกรวดถึงขนาดต้องอ้อม
ไปถนนอีกสายนึง ซึ่งมันไกลมากอ้อม หลายกิโล ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องลำบาก ขนาดนั้น เราสงสารพ่อมาก จนจะเข้าไปหาเจ้าของบ้านเองเลย
แต่พ่อกับเเม่ห้ามไว้ ว่าอย่าไปมีเรื่องมีราวกันเลย เราเลยบอกว่า ** ต้องรอให้พ่อรถคว่ำก่อนใช่ไหม ถ้าพ่อเรารถคว่ำเพราะสุนัขบ้านนั้นเมื่อไหร่
เราจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ... เเล้ววันที่ 8 พ.ค. 2558 ก็มาถึง โดยเราต้องไปรับพ่อเองในที่เกิดเหตุ โดยมีพี่สาวเราโทรมาแจ้ง และเจ้าของบ้าน
คู่กรณีก็ออกมาดูอยู่ในเหตุการณ์ หน่าซีดมากเหมือนจะพาพ่อเราไปส่งโรงพยาบาล แต่พ่อเราไม่กล้าไป จะไปกับลูกอย่างเดียว
พอเรามารับพ่อ (พ่อไม่ได้โดนสุนัขกัด ไม่ได้สลบ แต่เลือดออกเต็มตัว เราเลยบอกกับคู่กรณีว่าเตรียมตัวชดใช้ได้เลย เพราะเราต้องเสียงาน
ดูแลเรื่องพ่อทุกอย่าง ซึ่งตลอดเวลาที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล มีแค่เเม่เจ้าของบ้านกับเมียของเจ้าของบ้านมาเยี่ยม
(มาแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นไม่เคยมีใครมาอีกเลย) โดยไม่พูดไม่เจรจาเรื่องที่เกิดขึ้นสักคำ แม้กระทั่งแม่เราบอกว่า ลูกไม่ยอมไปแจ้งความแล้ว
นอนโรงพยาบาลอยู่ 3 วันเต็ม ก็ได้ออกมานอนรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ระหว่างนั้น เราก็ได้เข้าไปเจรจากับคู่กรณี เรียกร้องค่าเสียหาย โดยเราเรียก
ตามจำนวน ค่ารักษาพยาบาลที่ทางโรงพยาบาลออกใบเสร็จมาให้ คือจำนวน 32,000.- บาท แต่คู่กรณีคือเจ้าของบ้านพร้อมด้วยพ่อของเจ้าของบ้าน
กลับว่าเรา ดูถูกเราหาว่าเราหัวสูง เห็นลูกเค้าปลูกบ้านใหญ่โต (ใหญ่ตรงไหน เห็นมีแต่เปลือก) จะเรียกท่านู้น ท่านี้ ปะหนึ่งคืออยากจะบอกกับเราว่าบ้านเค้ารวยอย่ามาหัวสูง (เรารู้สึกของขึ้นเลย ... หัวไม่สูงหรอก แต่แค่ไม่ยอมคน ไม่สนหรอก จะรวย ไม่รวย ที่รู้ๆ หน้า... อย่างกับโจน ) แถมมาสั่งจะไม่ให้พ่อเราขับรถผ่านหน้าบ้านมันอีก ซึ่งมันเป็นถนนของหลวง ไม่ใช่ที่ส่วนบุคคล มีสิทธิ์อะไรมาสั่งห้าม เราบอกว่า .... พูดแบบนี้พูดไม่ถูก เรานี่แบบย้อนเค้าทุกคำพูดเลยจริงๆ โมโห แถมว่าเค้าจนขนาดอีกรุ่งขึ้นอีกวันนึง พ่อของเจ้าของสุนัขต้องมาเยี่ยมพ่อเรา ** แต่เจ้าของสุนัขไม่เคยมาเยี่ยมเลยแม้แต่ครั้งเดียว***
.... เกลียดคนอวดรวย ตุ๋ย...(555++)
เราเลยถามว่า
1.เราถามว่าถ้ารวยจริงทำไมไม่ล้อมรั้ว ?
เจ้าของบ้านบอกเงินไม่พอ (แบบนี้ใครเค้าเรียกรวยหรอ?)
2.เราถามว่าเงินไม่พอ ทำไม ไม่ล่ามโซ่สุนัข รึกั้นคอกให้สุนัขอยู่ ?
เจ้าของเงียบ.....
3.เราถามว่าไม่รู้หรอว่าสุนัขบ้าน.... มันดุ ตัวใหญ่ ชอบไล่กรวดและเคยกัดคนอื่นเค้า?
เจ้าของบ้านบอกว่าพ่อเราไม่เคยมาบอกเค้า
เราเลยถามต่อหน้าพ่อของเจ้าของสุนัขเลย ว่าเจ้าของบ้านไม่รู้หรอว่าสุนัขของตัวเอง
ดุและไล่กรวดแบบนี้ แล้วพ่อของเราไม่เคยมาบอกเตือนหรอ? พ่อเจ้าของบ้านบอกว่า
เจ้าของบ้านรู้ (แปลว่า.....เป็นผู้ชาย

)
หลังจากนั้นเค้าก็ต่อลองเราบอกว่าไม่มีเงิน เราก็เลยขอแค่ 20,000.- บาท
แลกกะพ่อเราเดือนไม่ได้ 2 เดือน แถมเราต้องรับส่งแม่ไปทำงานซึ้งต้องอาศัยพี่เขยบ้างพี่สาวบ้าง
แทนพ่อเจ็บ ตอนแรกก็เหมือนจะตกลงกันได้นะ
ว่า 20,000.- บาท แต่เจ้าของบ้านบอกว่าจะให้เงินสด 10,000.- บาท ที่เหลือจะผ่อนให้
เราก็ถามต่อว่าจะผ่อนยังไง เค้าก็เงียบ เราถามว่า แล้วเราเอาเงินไปผ่อนกับทางโรงพยาบาล
เค้าได้ไหม โรงพยาบาลจะรับเงินผ่อนไหม เค้าก็เงียบ...... คือสรุป เราก็เลยบอกว่างั้นให้
ไปตกลงค่าเสียหาย ต่อหน้าตำรวจ
ก็หาว่าเราขู่อีก (คือไม่ได้ขู่ แต่แจ้งความตั้งแต่วันที่เกิดเหตุไปแล้ว ตลกจริง) หลังจากนั้น
เค้าก็เงียบหายไป เราเลยเข้าไปคุยกับตำรวจ รบกวนตำรวจช่วยดำเนินการให้
คุณตำรวจเลยโทรเรียก คู่กรณี มาตกลงค่าเสียหาย ให้
ซึ่งผลที่ได้ คือตกลงกันไม่ได้ คู่กรณียอมจ่ายให้ 10,000.- บาท
ตำรวจเลยทำเป็นบันทึกชดใช้ค่าเสียหาย ไว้ให้ทั้ง 2 ฝ่ายเซ็นรับทราบพร้อมทั้งพยาน
ซึ่งเราเองก็ไม่ยอมจบ ถึงเงิน20,000.- มันก็ไม่คุ้มหรอก บอกเลย ไม่อยากได้หรอกถ้าเเลกกับเรื่องแบบนี้
บอกเลยยอมเสียเวลาขึ้นศาล ให้สุดๆ (อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว) ไหนๆ ก็เสียเวลามาเยอะแล้ว
แถมคู่กรณียังปากดีเที่ยวเอาเราไปพูดเสียๆ หายๆ จัดให้เค้าสักหน่อย
เงิน 10,000.- บาทของคุณ เก็บไว้จ่ายค่าทนาย ให้พอนะ
เรื่องนี้ได้ดำเนินการส่งฟ้องศาลแล้ว
นัดขึ้นศาลครั้งที่ 1 เพื่อไกล่เกลี่ย
ต่างฝ่าย ต่างไม่มีทนายมา แต่เรามีความมั่นใจในตัวทนาย คนที่ 1 มาก
โดยการรับมอบอำนาจเป็นผู้ดำเนินการแทนพ่อเองทุกอย่าง เป็นโจทย์ 1 ปาก
ไม่ได้พาพ่อ ผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ มาด้วย ซึ่งขณะนั้น เท้าพ่อยังบวมอยู่ เราเลยเป็นผู้ดำเนินการแทนพ่อทุกอย่าง
ด้วยมีความมั่นใจในเอกสาร และ คู่กรณียอมจ่ายค่าเสียหายให้ 10,000.- บาท พร้อมทั้งนัดขึ้นศาลรอบแรก
คู่กรณีก็ไม่มีทนายมาแถม ยังมาปฏิเสธในศาลอีก ว่าตัวเองไม่ใช่เจ้าของสุนัข จนโดนทนายว่ากลับไปให้หาทนาย
มา เพราะศาลคุยกะคุณไม่รู้เรื่อง ทำให้เรามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่าจะชนะ
นัดขึ้นศาลครั้งที่ 2
ต่างฝ่าย ต่างมีทนายมา ด้วยความที่ไม่เคยขึ้นศาลมาก่อน กับความมั่นใจเกินตัว ปรากฎว่าคู่กรณี เตี้ยมกับทนายมา
อย่างดี แถมมีการว่าจ้าง ชาวบ้านแถวนั้นมาเป็นพยานรู้เห็น ว่าเจ้าของบ้าน เลี้ยงหมาแค่ ตัวเดียว แล้วตัวอื่นไม่ใช่
เป็นหมาจรจัด ซึ่งมาอาศัย ( อารมณ์เรานี่แบบอยากจะกระโดดถีบเลย

มากอ่ะ) คือเรื่องของเรื่อง
พวกมันอ้างความเป็นญาติพ่อ ญาติเเม่เรา (โอ้ย ❗️อารมณ์มันจี๊ด ญาติ....โผล่มาเยอะแยะหลอก...เหมือนผี ขอบอกเลย
ว่าไม่มีญาติ

ขนาดนี้หรอก) พูดจากลับไปกลับมา

ไป

มา ขอเตือนพวกอย่าลืมคำสาบาน
ที่เคยให้ไว้ต่อหน้าศาลนะครับ 🙏🙏 ศักดิ์สิทธิ์จริง
เหอะๆๆๆ หลังจากสอบพยานเสร็จ เรารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ชะล่าใจ ไม่พาพ่อมาขึ้นศาล ไม่พาตำรวจมายืนยัน
แต่ใจเราก็คิดนะว่าศาล คงจะต้องยุติธรรมบ้างแร่ะ คงต้องรอลุ้นต่อไป
มาถึงนัดฟังผล
โอ้ย! รู้สึกเสียความมั่นใจอย่างแรง
ศาลตัดสินยกฟ้องครับ บอกว่าเราไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นเพียงแค่บุตรเซึ่งมารับตอนที่เกิดเรื่องแล้ว
ในใบคำฟ้อง ใช้ชื่อที่เพิ่งเปลี่ยนมา....... ใหม่
แต่ณ วันที่เกิดเหตุ เราใช้ชื่อเดิม ซึ่งมีชื่อเดิมของเราอยู่ในเอกสาร
ที่เกี่ยวข้องทุกใบในเอกสารคำฟ้องศาล ศาลจึงตัดสินว่า ไม่มีเอกสารยืนยันว่าชื่อใหม่... เราเกี่ยวข้องอะไรด้วย
กับพ่อ ซึ่งเราแจ้งทนายแล้วว่าเราเปลี่ยนชื่อใหม่มานะ เราถามทนายด้วยนะว่าต้องพาพ่อมาด้วยไหม
ทนายบอกว่าไม่ต้องเพราะได้มอบอำนาจให้เราดำเนินการแทนแล้ว แล้วเราก็คิดว่าทนายเตรียมเอกสารให้เราครบถ้วน
..... เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าควรเปลี่ยนชื่อให้ถูกจังหวะและเวลา
มันคือความผิดพลาดครั้งนึงในชีวิต ที่เป็นประสบการณ์และบทเรียนที่มีค่ามากกว่าเงิน 20,000.- บาทอีก
!!! แต่ยัง นะ ยังไม่จบนะ เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าเสียศักดิ์ศรี
อะไรที่เราทำต่อได้เราจะทำ... ให้สุด บอกเลย
ถึงผลจะออกมาเป็นยังไง ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด
เราดำเนินการหาทนายคนใหม่ เพื่อขออุทธรณ์
ซึ่งศาลนัดฟังผลอุทธรณ์ ในวันที่ 17 มี.ค.59 นี้แล้ว
รู้สึกตื่นเต้นจัง🙂
ขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอ่านกระทู้ของเรา ซึ่งเป็นกระทุ้แรก
ผิดถูกยังไง ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย....
ประสบการณ์ขึ้นศาลครั้งแรก ? ที่ต้องจำไปอีกนาน
ทำให้ศรีษะแตกเย็บ 5 เข็ม พร้อมด้วยแผลถลอกตามตัว เท้าขวาเริ่มบวม จากการผิดปกติของเส้นเอ็นอะไรสักอย่าง ทำให้เท้าบวม
มากเดินไม่ได้อยู่ 2 เดือน เต็ม สาเหตุของเรื่องคือมีบ้านหลังนึงที่อยู่ห่างกัน ประมาณ 30 เมตร เริ่มย้ายมาอยู่ใหม่ได้ประมาณ 5-6 เดือน
ได้เอาสุนัขมาเลี้ยงไว้ จำนวน 5-6 ตัว เป็นสุนัขพันธุ์ไทยตัวใหญ่ มีสีขาวและสีดำ โดยเจ้าของบ้านไม่ได้ทำการล้อมรั้วบ้าน รึทำการล่ามสุนัข
ของตนเองไว้ เป็นเหตุให้สุนัขชอบวิ่งไล่กรวด ไล่เห่า และมีกัด คนขับรถจักรยานยนต์ ที่ผ่านไปผ่านมาเป็นประจำ *** โดยพ่อเราต้องใช้ถนน
เส้นนั้นเป็นประจำเพื่อรับส่งแม่ไปทำงานทุกวัน
พ่อเคยเข้าไปบอกเจ้าของบ้านและพ่อเจ้าของบ้าน จำนวน2 ครั้งแล้ว ว่าสุนัขที่เจ้าของบ้านเลี้ยงไว้ มีนิสัยดุร้าย ชอบวิ่งไล่กรวด ไล่เห่า
เจ้าของบ้านก็ทำคุยโต โอ้อวด ว่า เดี๋ยวจะล้อมรั้วแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก พ่อก็ได้เล่าให้เราฟังหลายรอบแล้ว กลัวสุนัขกรวดถึงขนาดต้องอ้อม
ไปถนนอีกสายนึง ซึ่งมันไกลมากอ้อม หลายกิโล ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องลำบาก ขนาดนั้น เราสงสารพ่อมาก จนจะเข้าไปหาเจ้าของบ้านเองเลย
แต่พ่อกับเเม่ห้ามไว้ ว่าอย่าไปมีเรื่องมีราวกันเลย เราเลยบอกว่า ** ต้องรอให้พ่อรถคว่ำก่อนใช่ไหม ถ้าพ่อเรารถคว่ำเพราะสุนัขบ้านนั้นเมื่อไหร่
เราจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ... เเล้ววันที่ 8 พ.ค. 2558 ก็มาถึง โดยเราต้องไปรับพ่อเองในที่เกิดเหตุ โดยมีพี่สาวเราโทรมาแจ้ง และเจ้าของบ้าน
คู่กรณีก็ออกมาดูอยู่ในเหตุการณ์ หน่าซีดมากเหมือนจะพาพ่อเราไปส่งโรงพยาบาล แต่พ่อเราไม่กล้าไป จะไปกับลูกอย่างเดียว
พอเรามารับพ่อ (พ่อไม่ได้โดนสุนัขกัด ไม่ได้สลบ แต่เลือดออกเต็มตัว เราเลยบอกกับคู่กรณีว่าเตรียมตัวชดใช้ได้เลย เพราะเราต้องเสียงาน
ดูแลเรื่องพ่อทุกอย่าง ซึ่งตลอดเวลาที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล มีแค่เเม่เจ้าของบ้านกับเมียของเจ้าของบ้านมาเยี่ยม
(มาแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นไม่เคยมีใครมาอีกเลย) โดยไม่พูดไม่เจรจาเรื่องที่เกิดขึ้นสักคำ แม้กระทั่งแม่เราบอกว่า ลูกไม่ยอมไปแจ้งความแล้ว
นอนโรงพยาบาลอยู่ 3 วันเต็ม ก็ได้ออกมานอนรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ระหว่างนั้น เราก็ได้เข้าไปเจรจากับคู่กรณี เรียกร้องค่าเสียหาย โดยเราเรียก
ตามจำนวน ค่ารักษาพยาบาลที่ทางโรงพยาบาลออกใบเสร็จมาให้ คือจำนวน 32,000.- บาท แต่คู่กรณีคือเจ้าของบ้านพร้อมด้วยพ่อของเจ้าของบ้าน
กลับว่าเรา ดูถูกเราหาว่าเราหัวสูง เห็นลูกเค้าปลูกบ้านใหญ่โต (ใหญ่ตรงไหน เห็นมีแต่เปลือก) จะเรียกท่านู้น ท่านี้ ปะหนึ่งคืออยากจะบอกกับเราว่าบ้านเค้ารวยอย่ามาหัวสูง (เรารู้สึกของขึ้นเลย ... หัวไม่สูงหรอก แต่แค่ไม่ยอมคน ไม่สนหรอก จะรวย ไม่รวย ที่รู้ๆ หน้า... อย่างกับโจน ) แถมมาสั่งจะไม่ให้พ่อเราขับรถผ่านหน้าบ้านมันอีก ซึ่งมันเป็นถนนของหลวง ไม่ใช่ที่ส่วนบุคคล มีสิทธิ์อะไรมาสั่งห้าม เราบอกว่า .... พูดแบบนี้พูดไม่ถูก เรานี่แบบย้อนเค้าทุกคำพูดเลยจริงๆ โมโห แถมว่าเค้าจนขนาดอีกรุ่งขึ้นอีกวันนึง พ่อของเจ้าของสุนัขต้องมาเยี่ยมพ่อเรา ** แต่เจ้าของสุนัขไม่เคยมาเยี่ยมเลยแม้แต่ครั้งเดียว***
.... เกลียดคนอวดรวย ตุ๋ย...(555++)
เราเลยถามว่า
1.เราถามว่าถ้ารวยจริงทำไมไม่ล้อมรั้ว ?
เจ้าของบ้านบอกเงินไม่พอ (แบบนี้ใครเค้าเรียกรวยหรอ?)
2.เราถามว่าเงินไม่พอ ทำไม ไม่ล่ามโซ่สุนัข รึกั้นคอกให้สุนัขอยู่ ?
เจ้าของเงียบ.....
3.เราถามว่าไม่รู้หรอว่าสุนัขบ้าน.... มันดุ ตัวใหญ่ ชอบไล่กรวดและเคยกัดคนอื่นเค้า?
เจ้าของบ้านบอกว่าพ่อเราไม่เคยมาบอกเค้า
เราเลยถามต่อหน้าพ่อของเจ้าของสุนัขเลย ว่าเจ้าของบ้านไม่รู้หรอว่าสุนัขของตัวเอง
ดุและไล่กรวดแบบนี้ แล้วพ่อของเราไม่เคยมาบอกเตือนหรอ? พ่อเจ้าของบ้านบอกว่า
เจ้าของบ้านรู้ (แปลว่า.....เป็นผู้ชาย
หลังจากนั้นเค้าก็ต่อลองเราบอกว่าไม่มีเงิน เราก็เลยขอแค่ 20,000.- บาท
แลกกะพ่อเราเดือนไม่ได้ 2 เดือน แถมเราต้องรับส่งแม่ไปทำงานซึ้งต้องอาศัยพี่เขยบ้างพี่สาวบ้าง
แทนพ่อเจ็บ ตอนแรกก็เหมือนจะตกลงกันได้นะ
ว่า 20,000.- บาท แต่เจ้าของบ้านบอกว่าจะให้เงินสด 10,000.- บาท ที่เหลือจะผ่อนให้
เราก็ถามต่อว่าจะผ่อนยังไง เค้าก็เงียบ เราถามว่า แล้วเราเอาเงินไปผ่อนกับทางโรงพยาบาล
เค้าได้ไหม โรงพยาบาลจะรับเงินผ่อนไหม เค้าก็เงียบ...... คือสรุป เราก็เลยบอกว่างั้นให้
ไปตกลงค่าเสียหาย ต่อหน้าตำรวจ
ก็หาว่าเราขู่อีก (คือไม่ได้ขู่ แต่แจ้งความตั้งแต่วันที่เกิดเหตุไปแล้ว ตลกจริง) หลังจากนั้น
เค้าก็เงียบหายไป เราเลยเข้าไปคุยกับตำรวจ รบกวนตำรวจช่วยดำเนินการให้
คุณตำรวจเลยโทรเรียก คู่กรณี มาตกลงค่าเสียหาย ให้
ซึ่งผลที่ได้ คือตกลงกันไม่ได้ คู่กรณียอมจ่ายให้ 10,000.- บาท
ตำรวจเลยทำเป็นบันทึกชดใช้ค่าเสียหาย ไว้ให้ทั้ง 2 ฝ่ายเซ็นรับทราบพร้อมทั้งพยาน
ซึ่งเราเองก็ไม่ยอมจบ ถึงเงิน20,000.- มันก็ไม่คุ้มหรอก บอกเลย ไม่อยากได้หรอกถ้าเเลกกับเรื่องแบบนี้
บอกเลยยอมเสียเวลาขึ้นศาล ให้สุดๆ (อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว) ไหนๆ ก็เสียเวลามาเยอะแล้ว
แถมคู่กรณียังปากดีเที่ยวเอาเราไปพูดเสียๆ หายๆ จัดให้เค้าสักหน่อย
เงิน 10,000.- บาทของคุณ เก็บไว้จ่ายค่าทนาย ให้พอนะ
เรื่องนี้ได้ดำเนินการส่งฟ้องศาลแล้ว
นัดขึ้นศาลครั้งที่ 1 เพื่อไกล่เกลี่ย
ต่างฝ่าย ต่างไม่มีทนายมา แต่เรามีความมั่นใจในตัวทนาย คนที่ 1 มาก
โดยการรับมอบอำนาจเป็นผู้ดำเนินการแทนพ่อเองทุกอย่าง เป็นโจทย์ 1 ปาก
ไม่ได้พาพ่อ ผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ มาด้วย ซึ่งขณะนั้น เท้าพ่อยังบวมอยู่ เราเลยเป็นผู้ดำเนินการแทนพ่อทุกอย่าง
ด้วยมีความมั่นใจในเอกสาร และ คู่กรณียอมจ่ายค่าเสียหายให้ 10,000.- บาท พร้อมทั้งนัดขึ้นศาลรอบแรก
คู่กรณีก็ไม่มีทนายมาแถม ยังมาปฏิเสธในศาลอีก ว่าตัวเองไม่ใช่เจ้าของสุนัข จนโดนทนายว่ากลับไปให้หาทนาย
มา เพราะศาลคุยกะคุณไม่รู้เรื่อง ทำให้เรามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่าจะชนะ
นัดขึ้นศาลครั้งที่ 2
ต่างฝ่าย ต่างมีทนายมา ด้วยความที่ไม่เคยขึ้นศาลมาก่อน กับความมั่นใจเกินตัว ปรากฎว่าคู่กรณี เตี้ยมกับทนายมา
อย่างดี แถมมีการว่าจ้าง ชาวบ้านแถวนั้นมาเป็นพยานรู้เห็น ว่าเจ้าของบ้าน เลี้ยงหมาแค่ ตัวเดียว แล้วตัวอื่นไม่ใช่
เป็นหมาจรจัด ซึ่งมาอาศัย ( อารมณ์เรานี่แบบอยากจะกระโดดถีบเลย
พวกมันอ้างความเป็นญาติพ่อ ญาติเเม่เรา (โอ้ย ❗️อารมณ์มันจี๊ด ญาติ....โผล่มาเยอะแยะหลอก...เหมือนผี ขอบอกเลย
ว่าไม่มีญาติ
ที่เคยให้ไว้ต่อหน้าศาลนะครับ 🙏🙏 ศักดิ์สิทธิ์จริง
เหอะๆๆๆ หลังจากสอบพยานเสร็จ เรารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ชะล่าใจ ไม่พาพ่อมาขึ้นศาล ไม่พาตำรวจมายืนยัน
แต่ใจเราก็คิดนะว่าศาล คงจะต้องยุติธรรมบ้างแร่ะ คงต้องรอลุ้นต่อไป
มาถึงนัดฟังผล
โอ้ย! รู้สึกเสียความมั่นใจอย่างแรง
ศาลตัดสินยกฟ้องครับ บอกว่าเราไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นเพียงแค่บุตรเซึ่งมารับตอนที่เกิดเรื่องแล้ว
ในใบคำฟ้อง ใช้ชื่อที่เพิ่งเปลี่ยนมา....... ใหม่
แต่ณ วันที่เกิดเหตุ เราใช้ชื่อเดิม ซึ่งมีชื่อเดิมของเราอยู่ในเอกสาร
ที่เกี่ยวข้องทุกใบในเอกสารคำฟ้องศาล ศาลจึงตัดสินว่า ไม่มีเอกสารยืนยันว่าชื่อใหม่... เราเกี่ยวข้องอะไรด้วย
กับพ่อ ซึ่งเราแจ้งทนายแล้วว่าเราเปลี่ยนชื่อใหม่มานะ เราถามทนายด้วยนะว่าต้องพาพ่อมาด้วยไหม
ทนายบอกว่าไม่ต้องเพราะได้มอบอำนาจให้เราดำเนินการแทนแล้ว แล้วเราก็คิดว่าทนายเตรียมเอกสารให้เราครบถ้วน
..... เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าควรเปลี่ยนชื่อให้ถูกจังหวะและเวลา
มันคือความผิดพลาดครั้งนึงในชีวิต ที่เป็นประสบการณ์และบทเรียนที่มีค่ามากกว่าเงิน 20,000.- บาทอีก
!!! แต่ยัง นะ ยังไม่จบนะ เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าเสียศักดิ์ศรี
อะไรที่เราทำต่อได้เราจะทำ... ให้สุด บอกเลย
ถึงผลจะออกมาเป็นยังไง ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด
เราดำเนินการหาทนายคนใหม่ เพื่อขออุทธรณ์
ซึ่งศาลนัดฟังผลอุทธรณ์ ในวันที่ 17 มี.ค.59 นี้แล้ว
รู้สึกตื่นเต้นจัง🙂
ขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอ่านกระทู้ของเรา ซึ่งเป็นกระทุ้แรก
ผิดถูกยังไง ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย....