อยากจะมาแชร์ประสบการณ์สุดปวดตับกับการริเริ่มจะเป็นช่างกล้อง

กระทู้คำถาม
สวัสดีครับชาวพันทิป ผมจะมาเปิดประสบการณ์กับการเริ่มเป็นช่างกล้องสุดแสนจะบรรยายในสไตล์ของผมมาเล่าให้เพื่อนๆฟังกัน  ลองอ่านดูนะครับเพื่อความบรรเทิงเท่านั้นนะ อิอิ  ผิดพลาดประการใดอภัยมา ณ ที่นี้นะก้ะ

เริ่ม...!!
    ถามว่าช่างกล้องคืออะไร คือ คนที่สามารถถ่ายภาพได้แล้วสามารถทำเป็นอาชีพได้ บางท่านก็บอกว่าแค่มีกล้องก็เป็นช่างได้แล้วทำไมจะถ่ายไม่ได้มันยากตรงไหน  ผมก็อยากจะเถียงเหมือนกันนะครับ  ว่าคำว่า “ช่างกล้อง” กับ “คนมีกล้อง” นี่มันคนล่ะเรื่อง  เป็นคนมีกล้องอยู่ดีๆไม่ชอบ ชอบรับงานให้ลำบาก  จริงๆมันก็ไม่ลำบากหรอกนะ  แต่ครั้งแรกมันก็ต้องมีทุกคนเสมอไป  และเรื่องราวอันเฮฮาและปวดตับมันก็ได้เกิดขึ้น
    ผมได้กล้องตัวแรกเป็นของค่าย Nikon พ่อซื้อให้ตอนผมอยู่ปี 3   แรกๆก็ไม่ได้คิดไรหรอก แค่อยากจะเอามาถ่ายเรื่อยเปื่อย  ตามประสาวัยรุ่น  แต่ไม่อยากใช้กล้องธรรมดา  อยากได้กล้องโปรไปเลย  แต่ที่ได้มาก็เป็น DSLR  ระดับล่าง นั้นคือ Nikon D3100  แรกๆก็ใช้ไม่เป็นหรอกนะ  กด Auto ไปรวดเลย  ไม่สนอะไรทั้งนั้น ขอให้ได้ถ่าย  จนเพือนผมสอนให้ใช้โหมดแต่ล่ะโหมด ว่ามันดียังไง และก็สอนทุกเรื่องเกี่ยวกับกล้อง  นั่นแหละความบังเกิดที่อยากเป็น “ช่างกล้อง” จริงๆ มันเลยผุดขึ้นมาในหัวอย่างไม่มีคำบรรยาย
    ผมได้กล้องมาประมาณ 3 เดือน ก็ได้หยิบไปถ่ายงานรับปริญญาตรีรุ่นพี่  ผมก็เดินไปถ่ายไปก็ไม่ได้คิดอะไร ไอ้เราก็มองดูช่างกล้องคนอื่น  เห้ย!! นี่มันโคตรอภิมหากล้องระดับโปรเลยนิ  ทั้งเลนส์  ทั้งแฟลข  แบกกันมาแบบไม่มีคำว่าหนัก  บางคนเลนส์ยาวเป็นกระบอกข้าวหลาม  บางคนยกแฟลชพร้อม Softbox แบบในสตูมาอันใหญ่มว๊ากกกกกก จนเราคิดไปซะว่า สงสัยเขาได้ถ่ายดารารับปริญญา เออเห้ย! ท่าทางจะได้เงินดี  แต่ทำไงได้เราไม่มีปัญญาซื้อของพวกนั้นซะด้วยสิ   ได้แต่ถอดใจแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนไปตามประสาวัยรุ่นมหาลัย  ส่วนเรื่องกล้องก็ปล่อยมันไว้    จนถัดมาจากนั้น 3-4เดือน  คุณพ่อผมก็ได้มาบอกให้ไปถ่ายรูปงานแต่ง ของลูกแฟนเขาให้หน่อย  เท่านั้นแหละครับ  ในหัวมันก็ฝุดอะไรบางอย่างออกมา  จนนึกขึ้นได้ว่า เห้ย! เพื่อนเรามันมีแฟลชนี่หว่า  ส่วนอีกคนมีเลนส์  จากนั้นเองผมไม่ทันช้า รีบเข้าไปหยิบยืมเพื่อนมาด้วยความรีบร้อน  ปั๊ปๆๆๆๆๆ วิ่งไปยืมจากอีกหอ
    ผมได้แฟลช SB-700 ของ Nikon มา ก็ถือว่าใช้ไม่เป็นหรอก แต่เอามาเท่ๆอย่างนั้น  ถ้าเทียบเป็นการ์ตูนแล้ว ผมนี่เหมือนชินจังตอนกำลังตัวใหญ่ๆแล้วหัวเราะดังๆทำหน้าเจ้าเล่  ได้แฟลชมาไม่พอกลัวหล่อไม่พอ ไปเอาเลนส์เพื่อนมาอีกพร้อมกล้องเลย  จากเดิมที่ผมมีเลนส์ kit 18-55 ติดกล้องอยู่แล้ว  ก็ไปเอา kit18-105 มาติดให้หล่อๆไปงั้นๆ  ใช้เป็นหรือเปล่าไม่รู้ ขอหล่อไว้ก่อน   เอาล่ะครับมาเริ่มปวดตับกันเลยดีกว่า  มาดูกันว่าครั้งแรกกับการอยากรับงานมันเป็นยังไง
    

ปวดตับแรก – แฟลช
    เริ่มจากการถ่ายงานแต่งครั้งแรก  กับการปรับแฟลชไม่เป็น  ใช้ TTL หรือ Auto ไปเลยก็ดีสินะ  แต่เพื่อนเจ้ากรรมนายเวรดันปรับ M มาให้ แล้วมันก็ไม่บอก เราก็ไม่ถามมันด้วย กลัวเสียฟอร์ม  จนอยากจะตบกาบาลตัวเองชะมัด  และแล้วงานก็เริ่ม “ เอาล่ะครับ 1 2 3 !! โช๊ะ!!”  ถ่ายออกมาเสร็จ หน้าบ่าวสาวนี่ ขาววววว เหมือนโดนกระถางแป้งเถใส่หน้า  ในใจนึก ชิกหัยแล่ว! ทำไงดีวะ  ลนๆ ไม่กล้าบอกเอาใหม่ด้วย   แต่ยังดีที่มีสกิลอยู่   ไหนๆลองปรับ สปีดชัตเตอร์ดู  เออๆ ยังพอลดย่อนมาได้อยู่    แห่มคิดอีกที..วันนั้นใช้โหมด M ซะด้วย เท่ว่ะ!  ส่วน iso นี่ ก็กระแดะปรับด้วยจ้า  มันให้ตัวเองเหมือน โปรฯ นิสๆ  
งานตอนเช้านะจร่ะ  แสงกำลังดี  ถ่ายสบายๆไม่ต้องมีแฟลชก็ได้จ่ะ  แต่กระแดะใช้ครัช  ผลลัพธ์ที่ออกมากลายเป็นงานกลางคืนไปซะงั้น......    เอาล่ะเห้ย! นี่มันงานเช้าหรอ นึกว่างานเย็น  พอเบรกช่วงบ่ายเลยโทรไปถามเพื่อนบอกว่า ปรับยังไง มันก็อธิบายมาซะยืดยาว  เล่นเอาซะสมองจำไม่หมด เมมโมรี่เต็มในทันที  ก็เลยขอแบบ Auto ล่ะกันนะก้ะ  ก็เลยเปลี่ยนมาใช้โหมด TTL ให้สบายใจเล่นด้วยแสงแฟลชที่สว่างมว๊ากกกก จนคุมภาพไม่อยู่เลยทีเดียว  แต่ดีกว่าโหมด M หน่อย ถ่ายๆไปก่อน เอาเท่ๆ  ให้ดูภูมิฐานดีไว้ ....  เก็กไว้ๆ....

ปวดตับสอง – สปีดชัตเตอร์
    หลังจากที่ได้ภาพงานแฟลชแบบเท่ๆมา (ยังเข้าข้างตัวเองอยู่)  ก็ได้เข้าไปถ่ายในหอประชุม ซิ่งวาระนั้น เพื่อนเขาสอนมาดีครัช  เขาสอนมาว่า ISO อย่าดันเยอะไป มันจะเกิด Noise ผมก็ตรงฉินซะด้วย ไม่ปรับเพิ่ม  แต่ ไปปรับสปีดชัตเตอร์เอาครับ  ที่  1/25  แล้วก็ถ่ายครับ เอ้า!! ยิ้ม 1..2..3..โช๊ะ!!  ภาพที่ออกมาสว่างกำลังดีเลยครับ Noise ก็น้อยครับ  แต่.......
แต่!!!!   แต่ได้เห็นภาพของอาม่าอากงกำลังใช้สกิลแยกร่างได้  เออภาพสวยดีอ่ะ  เป็นภาพแนวซับซ้อนผสมผสานอินดี้นิสๆ   ทุ้ย!! มันเบลอสิครับท่านผู้อ่าน  ถ่ายมาตรงนั้น  100 กว่ารูป เบลอไป 50 ได้  ชีวิตแค่โดนทำร้าย...... (นั่งพิมพ์ไปก็ฮาตัวเองไป)

ปวดตับสาม  - จุดโฟกัส
    แน่นอนครับ เวลาที่ช่างกล้องหลายคนไปถ่ายงานแต่ง  สิ่งหนึ่งที่ต้องเผชิญคือ การถ่ายตามโต๊ะ แล้วก็จะมนุษย์อยู่ 4 เหล่า  คือ  1. มนุษย์บ้ากล้อง  2. มนุษย์รากงอก  3. มนุษย์ขี้เกียจ  4. มนุษย์ไม่สนใจโลก  ทั้ง 4เหล่านี้คุณเจอแน่นอนครัช  เรามาเริ่มที่เหล่าแรกเลย  
    1.มนุษย์บ้ากล้อง พอเราไปถ่ายตามโต๊ะ แล้วเจอคนเหล่าแรกนี้ ทั้งคุณนางคุณนายจะเป็นงานมากครัช ไม่ต้องให้บอก  คุณๆเหล่านี้ทั้งหลายจะลุกจากที่นั่งไปยืนข้างๆเจ้าบ่าวเจ้าสาว เพื่อให้ช่างกล้องได้ถ่ายสะดวก  แหม่อยากจะกดไลท์ให้สักล้านที  เชื่อว่าช่างกล้องหลายๆท่านยิ้มออกแน่นอนครับเมื่อเจอแบบนี้  ทำให้ถ่ายง่ายมาก
    2.มนุษย์รากงอก  เหล่าที่ 2 นี้ ก็จะขี้เกียจลุกครับ แต่ไม่เป็นไร รากติดอยู่ที่เก้าอี้แล้ว แต่กระดึ้บๆๆๆๆ ให้ไปติดกันหรือใกล้เจ้าบ่าวเจ้าสาว  อันนี้ก็ยังโอเครนะ ถือว่าถ่ายได้สบายนิสๆ
    3.มนุษย์ขี้เกียด  ห้ะ!! อันนี้อยากบอกว่า มนุษย์เหล่านี้เขาไม่ลุกนะครับ กรณีนี้หมายถึง บุคคลที่อยู่ใกล้กล้องมากที่สุด  เขาจะหันหน้ามารับกล้องและยิ้มให้อย่างมีความสุข  แล้วเพื่อนผมก็สอนมาดีอีกแหละครับ  จุดโฟกัสเลือนได้ อยากโฟกัสตรงไหนก็เลื่อนไปตรงนั้น มันจะชัด  แต่..... ผมก็โฟกัสที่มนุษย์ขี้เกียจไปซะงั้น  กลับกลายเป็นว่า เจ้าบ่าวเจ้าสาวเบลอไป  เฮ้อออ!! ให้ตายสิโรบิ้น  ไอ้เราก็กลัวไอ้คนข้างหน้ามันไม่ชัด แต่ด้วยความที่มือใหม่+ลนลาน  ก็ไปโฟกัสที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวก่อน แล้วก็มาโฟกัสไอ้คนข้างหน้า  นี่สรุปกล้องเข้าใจเรา หรือ เราเข้าใจกล้องฟร่ะ เพราะมันก็เลือกอันที่โฟกัสล่าสุดสิ  แต่วาระนั้นเราก็ดันไปเข้าใจว่า โฟกัสตรงไหน ตรงนั้นชัด  คุณพระ!!! โฟกัส 2 จุด ชัด2จุด !!  ทั้งหลังและหน้า...... เอิ่มมมมมม
    4.มนุษย์ไม่สนใจโลก  อันนี้เขาจะไม่รับรู้การกระทำของเรา ไม่ว่าเราจะบอกให้เขาถ่ายรูป เขาก็เหมือนอยู่อีกโลก  ตรูจะกินกระเพราะปลาอ่ะ จะทำไม  จะกินเหล้าอ่ะ จะทำไม  และแล้วครับ มันก็เหมือนข้อ 3 มะกี้เลย T^T แต่เอรี้ยกว่า ตรงที่ บางคนมันลุกมาเต้นน่ะครับ  เพลีย!!!!  จะโฟกัสก็ไม่ได้ แถมบางคนเดินมากอดคอเรา แล้วพูดว่า “ไอน้องงง..ถ่ายยย จ๋วยๆนะ...เอิ๊ก!”  แล้วมันก็ไปเต้นต่อครับ  ปวดตับ!! แล้วจะถ่ายยังไง!!   เลื่อนจุดโฟกัสตามไม่ทันนนนนนน....ฮ่าๆ  เจ้าบ่าวเจ้าสาวเหงือกแห้งเลยก้ะ
จุดโฟกัสเป็นเรื่องสำคัญนะครับ  และงานแต่งเนี่ยปรับ F แคบๆไว้ก่อนเลยก็ดี กันไว้ แล้วก็โฟกัสตัวแบบที่สำคัญที่สุดเป็นหลักไว้ก่อน   ประสบการณ์ครั้งแรกมันคือครู  ครูที่สอนให้โฟกัส 2 ที่  ฮากันไปครับ

รอติดตามต่อนะครับ ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่