สวัสดีครับชาวพันทิป ผมจะมาเปิดประสบการณ์กับการเริ่มเป็นช่างกล้องสุดแสนจะบรรยายในสไตล์ของผมมาเล่าให้เพื่อนๆฟังกัน ลองอ่านดูนะครับเพื่อความบรรเทิงเท่านั้นนะ อิอิ ผิดพลาดประการใดอภัยมา ณ ที่นี้นะก้ะ
เริ่ม...!!
ถามว่าช่างกล้องคืออะไร คือ คนที่สามารถถ่ายภาพได้แล้วสามารถทำเป็นอาชีพได้ บางท่านก็บอกว่าแค่มีกล้องก็เป็นช่างได้แล้วทำไมจะถ่ายไม่ได้มันยากตรงไหน ผมก็อยากจะเถียงเหมือนกันนะครับ ว่าคำว่า “ช่างกล้อง” กับ “คนมีกล้อง” นี่มันคนล่ะเรื่อง เป็นคนมีกล้องอยู่ดีๆไม่ชอบ ชอบรับงานให้ลำบาก จริงๆมันก็ไม่ลำบากหรอกนะ แต่ครั้งแรกมันก็ต้องมีทุกคนเสมอไป และเรื่องราวอันเฮฮาและปวดตับมันก็ได้เกิดขึ้น
ผมได้กล้องตัวแรกเป็นของค่าย Nikon พ่อซื้อให้ตอนผมอยู่ปี 3 แรกๆก็ไม่ได้คิดไรหรอก แค่อยากจะเอามาถ่ายเรื่อยเปื่อย ตามประสาวัยรุ่น แต่ไม่อยากใช้กล้องธรรมดา อยากได้กล้องโปรไปเลย แต่ที่ได้มาก็เป็น DSLR ระดับล่าง นั้นคือ Nikon D3100 แรกๆก็ใช้ไม่เป็นหรอกนะ กด Auto ไปรวดเลย ไม่สนอะไรทั้งนั้น ขอให้ได้ถ่าย จนเพือนผมสอนให้ใช้โหมดแต่ล่ะโหมด ว่ามันดียังไง และก็สอนทุกเรื่องเกี่ยวกับกล้อง นั่นแหละความบังเกิดที่อยากเป็น “ช่างกล้อง” จริงๆ มันเลยผุดขึ้นมาในหัวอย่างไม่มีคำบรรยาย
ผมได้กล้องมาประมาณ 3 เดือน ก็ได้หยิบไปถ่ายงานรับปริญญาตรีรุ่นพี่ ผมก็เดินไปถ่ายไปก็ไม่ได้คิดอะไร ไอ้เราก็มองดูช่างกล้องคนอื่น เห้ย!! นี่มันโคตรอภิมหากล้องระดับโปรเลยนิ ทั้งเลนส์ ทั้งแฟลข แบกกันมาแบบไม่มีคำว่าหนัก บางคนเลนส์ยาวเป็นกระบอกข้าวหลาม บางคนยกแฟลชพร้อม Softbox แบบในสตูมาอันใหญ่มว๊ากกกกกก จนเราคิดไปซะว่า สงสัยเขาได้ถ่ายดารารับปริญญา เออเห้ย! ท่าทางจะได้เงินดี แต่ทำไงได้เราไม่มีปัญญาซื้อของพวกนั้นซะด้วยสิ ได้แต่ถอดใจแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนไปตามประสาวัยรุ่นมหาลัย ส่วนเรื่องกล้องก็ปล่อยมันไว้ จนถัดมาจากนั้น 3-4เดือน คุณพ่อผมก็ได้มาบอกให้ไปถ่ายรูปงานแต่ง ของลูกแฟนเขาให้หน่อย เท่านั้นแหละครับ ในหัวมันก็ฝุดอะไรบางอย่างออกมา จนนึกขึ้นได้ว่า เห้ย! เพื่อนเรามันมีแฟลชนี่หว่า ส่วนอีกคนมีเลนส์ จากนั้นเองผมไม่ทันช้า รีบเข้าไปหยิบยืมเพื่อนมาด้วยความรีบร้อน ปั๊ปๆๆๆๆๆ วิ่งไปยืมจากอีกหอ
ผมได้แฟลช SB-700 ของ Nikon มา ก็ถือว่าใช้ไม่เป็นหรอก แต่เอามาเท่ๆอย่างนั้น ถ้าเทียบเป็นการ์ตูนแล้ว ผมนี่เหมือนชินจังตอนกำลังตัวใหญ่ๆแล้วหัวเราะดังๆทำหน้าเจ้าเล่ ได้แฟลชมาไม่พอกลัวหล่อไม่พอ ไปเอาเลนส์เพื่อนมาอีกพร้อมกล้องเลย จากเดิมที่ผมมีเลนส์ kit 18-55 ติดกล้องอยู่แล้ว ก็ไปเอา kit18-105 มาติดให้หล่อๆไปงั้นๆ ใช้เป็นหรือเปล่าไม่รู้ ขอหล่อไว้ก่อน เอาล่ะครับมาเริ่มปวดตับกันเลยดีกว่า มาดูกันว่าครั้งแรกกับการอยากรับงานมันเป็นยังไง
ปวดตับแรก – แฟลช
เริ่มจากการถ่ายงานแต่งครั้งแรก กับการปรับแฟลชไม่เป็น ใช้ TTL หรือ Auto ไปเลยก็ดีสินะ แต่เพื่อนเจ้ากรรมนายเวรดันปรับ M มาให้ แล้วมันก็ไม่บอก เราก็ไม่ถามมันด้วย กลัวเสียฟอร์ม จนอยากจะตบกาบาลตัวเองชะมัด และแล้วงานก็เริ่ม “ เอาล่ะครับ 1 2 3 !! โช๊ะ!!” ถ่ายออกมาเสร็จ หน้าบ่าวสาวนี่ ขาววววว เหมือนโดนกระถางแป้งเถใส่หน้า ในใจนึก ชิกหัยแล่ว! ทำไงดีวะ ลนๆ ไม่กล้าบอกเอาใหม่ด้วย แต่ยังดีที่มีสกิลอยู่ ไหนๆลองปรับ สปีดชัตเตอร์ดู เออๆ ยังพอลดย่อนมาได้อยู่ แห่มคิดอีกที..วันนั้นใช้โหมด M ซะด้วย เท่ว่ะ! ส่วน iso นี่ ก็กระแดะปรับด้วยจ้า มันให้ตัวเองเหมือน โปรฯ นิสๆ
งานตอนเช้านะจร่ะ แสงกำลังดี ถ่ายสบายๆไม่ต้องมีแฟลชก็ได้จ่ะ แต่กระแดะใช้ครัช ผลลัพธ์ที่ออกมากลายเป็นงานกลางคืนไปซะงั้น...... เอาล่ะเห้ย! นี่มันงานเช้าหรอ นึกว่างานเย็น พอเบรกช่วงบ่ายเลยโทรไปถามเพื่อนบอกว่า ปรับยังไง มันก็อธิบายมาซะยืดยาว เล่นเอาซะสมองจำไม่หมด เมมโมรี่เต็มในทันที ก็เลยขอแบบ Auto ล่ะกันนะก้ะ ก็เลยเปลี่ยนมาใช้โหมด TTL ให้สบายใจเล่นด้วยแสงแฟลชที่สว่างมว๊ากกกก จนคุมภาพไม่อยู่เลยทีเดียว แต่ดีกว่าโหมด M หน่อย ถ่ายๆไปก่อน เอาเท่ๆ ให้ดูภูมิฐานดีไว้ .... เก็กไว้ๆ....
ปวดตับสอง – สปีดชัตเตอร์
หลังจากที่ได้ภาพงานแฟลชแบบเท่ๆมา (ยังเข้าข้างตัวเองอยู่) ก็ได้เข้าไปถ่ายในหอประชุม ซิ่งวาระนั้น เพื่อนเขาสอนมาดีครัช เขาสอนมาว่า ISO อย่าดันเยอะไป มันจะเกิด Noise ผมก็ตรงฉินซะด้วย ไม่ปรับเพิ่ม แต่ ไปปรับสปีดชัตเตอร์เอาครับ ที่ 1/25 แล้วก็ถ่ายครับ เอ้า!! ยิ้ม 1..2..3..โช๊ะ!! ภาพที่ออกมาสว่างกำลังดีเลยครับ Noise ก็น้อยครับ แต่.......
แต่!!!! แต่ได้เห็นภาพของอาม่าอากงกำลังใช้สกิลแยกร่างได้ เออภาพสวยดีอ่ะ เป็นภาพแนวซับซ้อนผสมผสานอินดี้นิสๆ ทุ้ย!! มันเบลอสิครับท่านผู้อ่าน ถ่ายมาตรงนั้น 100 กว่ารูป เบลอไป 50 ได้ ชีวิตแค่โดนทำร้าย...... (นั่งพิมพ์ไปก็ฮาตัวเองไป)
ปวดตับสาม - จุดโฟกัส
แน่นอนครับ เวลาที่ช่างกล้องหลายคนไปถ่ายงานแต่ง สิ่งหนึ่งที่ต้องเผชิญคือ การถ่ายตามโต๊ะ แล้วก็จะมนุษย์อยู่ 4 เหล่า คือ 1. มนุษย์บ้ากล้อง 2. มนุษย์รากงอก 3. มนุษย์ขี้เกียจ 4. มนุษย์ไม่สนใจโลก ทั้ง 4เหล่านี้คุณเจอแน่นอนครัช เรามาเริ่มที่เหล่าแรกเลย
1.มนุษย์บ้ากล้อง พอเราไปถ่ายตามโต๊ะ แล้วเจอคนเหล่าแรกนี้ ทั้งคุณนางคุณนายจะเป็นงานมากครัช ไม่ต้องให้บอก คุณๆเหล่านี้ทั้งหลายจะลุกจากที่นั่งไปยืนข้างๆเจ้าบ่าวเจ้าสาว เพื่อให้ช่างกล้องได้ถ่ายสะดวก แหม่อยากจะกดไลท์ให้สักล้านที เชื่อว่าช่างกล้องหลายๆท่านยิ้มออกแน่นอนครับเมื่อเจอแบบนี้ ทำให้ถ่ายง่ายมาก
2.มนุษย์รากงอก เหล่าที่ 2 นี้ ก็จะขี้เกียจลุกครับ แต่ไม่เป็นไร รากติดอยู่ที่เก้าอี้แล้ว แต่กระดึ้บๆๆๆๆ ให้ไปติดกันหรือใกล้เจ้าบ่าวเจ้าสาว อันนี้ก็ยังโอเครนะ ถือว่าถ่ายได้สบายนิสๆ
3.มนุษย์ขี้เกียด ห้ะ!! อันนี้อยากบอกว่า มนุษย์เหล่านี้เขาไม่ลุกนะครับ กรณีนี้หมายถึง บุคคลที่อยู่ใกล้กล้องมากที่สุด เขาจะหันหน้ามารับกล้องและยิ้มให้อย่างมีความสุข แล้วเพื่อนผมก็สอนมาดีอีกแหละครับ จุดโฟกัสเลือนได้ อยากโฟกัสตรงไหนก็เลื่อนไปตรงนั้น มันจะชัด แต่..... ผมก็โฟกัสที่มนุษย์ขี้เกียจไปซะงั้น กลับกลายเป็นว่า เจ้าบ่าวเจ้าสาวเบลอไป เฮ้อออ!! ให้ตายสิโรบิ้น ไอ้เราก็กลัวไอ้คนข้างหน้ามันไม่ชัด แต่ด้วยความที่มือใหม่+ลนลาน ก็ไปโฟกัสที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวก่อน แล้วก็มาโฟกัสไอ้คนข้างหน้า นี่สรุปกล้องเข้าใจเรา หรือ เราเข้าใจกล้องฟร่ะ เพราะมันก็เลือกอันที่โฟกัสล่าสุดสิ แต่วาระนั้นเราก็ดันไปเข้าใจว่า โฟกัสตรงไหน ตรงนั้นชัด คุณพระ!!! โฟกัส 2 จุด ชัด2จุด !! ทั้งหลังและหน้า...... เอิ่มมมมมม
4.มนุษย์ไม่สนใจโลก อันนี้เขาจะไม่รับรู้การกระทำของเรา ไม่ว่าเราจะบอกให้เขาถ่ายรูป เขาก็เหมือนอยู่อีกโลก ตรูจะกินกระเพราะปลาอ่ะ จะทำไม จะกินเหล้าอ่ะ จะทำไม และแล้วครับ มันก็เหมือนข้อ 3 มะกี้เลย T^T แต่เอรี้ยกว่า ตรงที่ บางคนมันลุกมาเต้นน่ะครับ เพลีย!!!! จะโฟกัสก็ไม่ได้ แถมบางคนเดินมากอดคอเรา แล้วพูดว่า “ไอน้องงง..ถ่ายยย จ๋วยๆนะ...เอิ๊ก!” แล้วมันก็ไปเต้นต่อครับ ปวดตับ!! แล้วจะถ่ายยังไง!! เลื่อนจุดโฟกัสตามไม่ทันนนนนนน....ฮ่าๆ เจ้าบ่าวเจ้าสาวเหงือกแห้งเลยก้ะ
จุดโฟกัสเป็นเรื่องสำคัญนะครับ และงานแต่งเนี่ยปรับ F แคบๆไว้ก่อนเลยก็ดี กันไว้ แล้วก็โฟกัสตัวแบบที่สำคัญที่สุดเป็นหลักไว้ก่อน ประสบการณ์ครั้งแรกมันคือครู ครูที่สอนให้โฟกัส 2 ที่ ฮากันไปครับ
รอติดตามต่อนะครับ
อยากจะมาแชร์ประสบการณ์สุดปวดตับกับการริเริ่มจะเป็นช่างกล้อง
เริ่ม...!!
ถามว่าช่างกล้องคืออะไร คือ คนที่สามารถถ่ายภาพได้แล้วสามารถทำเป็นอาชีพได้ บางท่านก็บอกว่าแค่มีกล้องก็เป็นช่างได้แล้วทำไมจะถ่ายไม่ได้มันยากตรงไหน ผมก็อยากจะเถียงเหมือนกันนะครับ ว่าคำว่า “ช่างกล้อง” กับ “คนมีกล้อง” นี่มันคนล่ะเรื่อง เป็นคนมีกล้องอยู่ดีๆไม่ชอบ ชอบรับงานให้ลำบาก จริงๆมันก็ไม่ลำบากหรอกนะ แต่ครั้งแรกมันก็ต้องมีทุกคนเสมอไป และเรื่องราวอันเฮฮาและปวดตับมันก็ได้เกิดขึ้น
ผมได้กล้องตัวแรกเป็นของค่าย Nikon พ่อซื้อให้ตอนผมอยู่ปี 3 แรกๆก็ไม่ได้คิดไรหรอก แค่อยากจะเอามาถ่ายเรื่อยเปื่อย ตามประสาวัยรุ่น แต่ไม่อยากใช้กล้องธรรมดา อยากได้กล้องโปรไปเลย แต่ที่ได้มาก็เป็น DSLR ระดับล่าง นั้นคือ Nikon D3100 แรกๆก็ใช้ไม่เป็นหรอกนะ กด Auto ไปรวดเลย ไม่สนอะไรทั้งนั้น ขอให้ได้ถ่าย จนเพือนผมสอนให้ใช้โหมดแต่ล่ะโหมด ว่ามันดียังไง และก็สอนทุกเรื่องเกี่ยวกับกล้อง นั่นแหละความบังเกิดที่อยากเป็น “ช่างกล้อง” จริงๆ มันเลยผุดขึ้นมาในหัวอย่างไม่มีคำบรรยาย
ผมได้กล้องมาประมาณ 3 เดือน ก็ได้หยิบไปถ่ายงานรับปริญญาตรีรุ่นพี่ ผมก็เดินไปถ่ายไปก็ไม่ได้คิดอะไร ไอ้เราก็มองดูช่างกล้องคนอื่น เห้ย!! นี่มันโคตรอภิมหากล้องระดับโปรเลยนิ ทั้งเลนส์ ทั้งแฟลข แบกกันมาแบบไม่มีคำว่าหนัก บางคนเลนส์ยาวเป็นกระบอกข้าวหลาม บางคนยกแฟลชพร้อม Softbox แบบในสตูมาอันใหญ่มว๊ากกกกกก จนเราคิดไปซะว่า สงสัยเขาได้ถ่ายดารารับปริญญา เออเห้ย! ท่าทางจะได้เงินดี แต่ทำไงได้เราไม่มีปัญญาซื้อของพวกนั้นซะด้วยสิ ได้แต่ถอดใจแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนไปตามประสาวัยรุ่นมหาลัย ส่วนเรื่องกล้องก็ปล่อยมันไว้ จนถัดมาจากนั้น 3-4เดือน คุณพ่อผมก็ได้มาบอกให้ไปถ่ายรูปงานแต่ง ของลูกแฟนเขาให้หน่อย เท่านั้นแหละครับ ในหัวมันก็ฝุดอะไรบางอย่างออกมา จนนึกขึ้นได้ว่า เห้ย! เพื่อนเรามันมีแฟลชนี่หว่า ส่วนอีกคนมีเลนส์ จากนั้นเองผมไม่ทันช้า รีบเข้าไปหยิบยืมเพื่อนมาด้วยความรีบร้อน ปั๊ปๆๆๆๆๆ วิ่งไปยืมจากอีกหอ
ผมได้แฟลช SB-700 ของ Nikon มา ก็ถือว่าใช้ไม่เป็นหรอก แต่เอามาเท่ๆอย่างนั้น ถ้าเทียบเป็นการ์ตูนแล้ว ผมนี่เหมือนชินจังตอนกำลังตัวใหญ่ๆแล้วหัวเราะดังๆทำหน้าเจ้าเล่ ได้แฟลชมาไม่พอกลัวหล่อไม่พอ ไปเอาเลนส์เพื่อนมาอีกพร้อมกล้องเลย จากเดิมที่ผมมีเลนส์ kit 18-55 ติดกล้องอยู่แล้ว ก็ไปเอา kit18-105 มาติดให้หล่อๆไปงั้นๆ ใช้เป็นหรือเปล่าไม่รู้ ขอหล่อไว้ก่อน เอาล่ะครับมาเริ่มปวดตับกันเลยดีกว่า มาดูกันว่าครั้งแรกกับการอยากรับงานมันเป็นยังไง
ปวดตับแรก – แฟลช
เริ่มจากการถ่ายงานแต่งครั้งแรก กับการปรับแฟลชไม่เป็น ใช้ TTL หรือ Auto ไปเลยก็ดีสินะ แต่เพื่อนเจ้ากรรมนายเวรดันปรับ M มาให้ แล้วมันก็ไม่บอก เราก็ไม่ถามมันด้วย กลัวเสียฟอร์ม จนอยากจะตบกาบาลตัวเองชะมัด และแล้วงานก็เริ่ม “ เอาล่ะครับ 1 2 3 !! โช๊ะ!!” ถ่ายออกมาเสร็จ หน้าบ่าวสาวนี่ ขาววววว เหมือนโดนกระถางแป้งเถใส่หน้า ในใจนึก ชิกหัยแล่ว! ทำไงดีวะ ลนๆ ไม่กล้าบอกเอาใหม่ด้วย แต่ยังดีที่มีสกิลอยู่ ไหนๆลองปรับ สปีดชัตเตอร์ดู เออๆ ยังพอลดย่อนมาได้อยู่ แห่มคิดอีกที..วันนั้นใช้โหมด M ซะด้วย เท่ว่ะ! ส่วน iso นี่ ก็กระแดะปรับด้วยจ้า มันให้ตัวเองเหมือน โปรฯ นิสๆ
งานตอนเช้านะจร่ะ แสงกำลังดี ถ่ายสบายๆไม่ต้องมีแฟลชก็ได้จ่ะ แต่กระแดะใช้ครัช ผลลัพธ์ที่ออกมากลายเป็นงานกลางคืนไปซะงั้น...... เอาล่ะเห้ย! นี่มันงานเช้าหรอ นึกว่างานเย็น พอเบรกช่วงบ่ายเลยโทรไปถามเพื่อนบอกว่า ปรับยังไง มันก็อธิบายมาซะยืดยาว เล่นเอาซะสมองจำไม่หมด เมมโมรี่เต็มในทันที ก็เลยขอแบบ Auto ล่ะกันนะก้ะ ก็เลยเปลี่ยนมาใช้โหมด TTL ให้สบายใจเล่นด้วยแสงแฟลชที่สว่างมว๊ากกกก จนคุมภาพไม่อยู่เลยทีเดียว แต่ดีกว่าโหมด M หน่อย ถ่ายๆไปก่อน เอาเท่ๆ ให้ดูภูมิฐานดีไว้ .... เก็กไว้ๆ....
ปวดตับสอง – สปีดชัตเตอร์
หลังจากที่ได้ภาพงานแฟลชแบบเท่ๆมา (ยังเข้าข้างตัวเองอยู่) ก็ได้เข้าไปถ่ายในหอประชุม ซิ่งวาระนั้น เพื่อนเขาสอนมาดีครัช เขาสอนมาว่า ISO อย่าดันเยอะไป มันจะเกิด Noise ผมก็ตรงฉินซะด้วย ไม่ปรับเพิ่ม แต่ ไปปรับสปีดชัตเตอร์เอาครับ ที่ 1/25 แล้วก็ถ่ายครับ เอ้า!! ยิ้ม 1..2..3..โช๊ะ!! ภาพที่ออกมาสว่างกำลังดีเลยครับ Noise ก็น้อยครับ แต่.......
แต่!!!! แต่ได้เห็นภาพของอาม่าอากงกำลังใช้สกิลแยกร่างได้ เออภาพสวยดีอ่ะ เป็นภาพแนวซับซ้อนผสมผสานอินดี้นิสๆ ทุ้ย!! มันเบลอสิครับท่านผู้อ่าน ถ่ายมาตรงนั้น 100 กว่ารูป เบลอไป 50 ได้ ชีวิตแค่โดนทำร้าย...... (นั่งพิมพ์ไปก็ฮาตัวเองไป)
ปวดตับสาม - จุดโฟกัส
แน่นอนครับ เวลาที่ช่างกล้องหลายคนไปถ่ายงานแต่ง สิ่งหนึ่งที่ต้องเผชิญคือ การถ่ายตามโต๊ะ แล้วก็จะมนุษย์อยู่ 4 เหล่า คือ 1. มนุษย์บ้ากล้อง 2. มนุษย์รากงอก 3. มนุษย์ขี้เกียจ 4. มนุษย์ไม่สนใจโลก ทั้ง 4เหล่านี้คุณเจอแน่นอนครัช เรามาเริ่มที่เหล่าแรกเลย
1.มนุษย์บ้ากล้อง พอเราไปถ่ายตามโต๊ะ แล้วเจอคนเหล่าแรกนี้ ทั้งคุณนางคุณนายจะเป็นงานมากครัช ไม่ต้องให้บอก คุณๆเหล่านี้ทั้งหลายจะลุกจากที่นั่งไปยืนข้างๆเจ้าบ่าวเจ้าสาว เพื่อให้ช่างกล้องได้ถ่ายสะดวก แหม่อยากจะกดไลท์ให้สักล้านที เชื่อว่าช่างกล้องหลายๆท่านยิ้มออกแน่นอนครับเมื่อเจอแบบนี้ ทำให้ถ่ายง่ายมาก
2.มนุษย์รากงอก เหล่าที่ 2 นี้ ก็จะขี้เกียจลุกครับ แต่ไม่เป็นไร รากติดอยู่ที่เก้าอี้แล้ว แต่กระดึ้บๆๆๆๆ ให้ไปติดกันหรือใกล้เจ้าบ่าวเจ้าสาว อันนี้ก็ยังโอเครนะ ถือว่าถ่ายได้สบายนิสๆ
3.มนุษย์ขี้เกียด ห้ะ!! อันนี้อยากบอกว่า มนุษย์เหล่านี้เขาไม่ลุกนะครับ กรณีนี้หมายถึง บุคคลที่อยู่ใกล้กล้องมากที่สุด เขาจะหันหน้ามารับกล้องและยิ้มให้อย่างมีความสุข แล้วเพื่อนผมก็สอนมาดีอีกแหละครับ จุดโฟกัสเลือนได้ อยากโฟกัสตรงไหนก็เลื่อนไปตรงนั้น มันจะชัด แต่..... ผมก็โฟกัสที่มนุษย์ขี้เกียจไปซะงั้น กลับกลายเป็นว่า เจ้าบ่าวเจ้าสาวเบลอไป เฮ้อออ!! ให้ตายสิโรบิ้น ไอ้เราก็กลัวไอ้คนข้างหน้ามันไม่ชัด แต่ด้วยความที่มือใหม่+ลนลาน ก็ไปโฟกัสที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวก่อน แล้วก็มาโฟกัสไอ้คนข้างหน้า นี่สรุปกล้องเข้าใจเรา หรือ เราเข้าใจกล้องฟร่ะ เพราะมันก็เลือกอันที่โฟกัสล่าสุดสิ แต่วาระนั้นเราก็ดันไปเข้าใจว่า โฟกัสตรงไหน ตรงนั้นชัด คุณพระ!!! โฟกัส 2 จุด ชัด2จุด !! ทั้งหลังและหน้า...... เอิ่มมมมมม
4.มนุษย์ไม่สนใจโลก อันนี้เขาจะไม่รับรู้การกระทำของเรา ไม่ว่าเราจะบอกให้เขาถ่ายรูป เขาก็เหมือนอยู่อีกโลก ตรูจะกินกระเพราะปลาอ่ะ จะทำไม จะกินเหล้าอ่ะ จะทำไม และแล้วครับ มันก็เหมือนข้อ 3 มะกี้เลย T^T แต่เอรี้ยกว่า ตรงที่ บางคนมันลุกมาเต้นน่ะครับ เพลีย!!!! จะโฟกัสก็ไม่ได้ แถมบางคนเดินมากอดคอเรา แล้วพูดว่า “ไอน้องงง..ถ่ายยย จ๋วยๆนะ...เอิ๊ก!” แล้วมันก็ไปเต้นต่อครับ ปวดตับ!! แล้วจะถ่ายยังไง!! เลื่อนจุดโฟกัสตามไม่ทันนนนนนน....ฮ่าๆ เจ้าบ่าวเจ้าสาวเหงือกแห้งเลยก้ะ
จุดโฟกัสเป็นเรื่องสำคัญนะครับ และงานแต่งเนี่ยปรับ F แคบๆไว้ก่อนเลยก็ดี กันไว้ แล้วก็โฟกัสตัวแบบที่สำคัญที่สุดเป็นหลักไว้ก่อน ประสบการณ์ครั้งแรกมันคือครู ครูที่สอนให้โฟกัส 2 ที่ ฮากันไปครับ
รอติดตามต่อนะครับ