Review :Tokyo-Hokkaido หนาวสุดขั้ว ตามรอยละคร Series ชื่อดัง HM กับหิมะครั้งแรกในชีวิต

สวัสดีเพื่อนๆชาว Pantip ทุกคนนะครับกระทู้นี้เป็นการรีวิวครั้งแรกของผมนะครับผิดพลาดประการใดก็ติชมกันได้ตามสบายนะครับ
รูปอาจจะสวยสู้น้าๆท่านอื่นไม่ได้นะครับกำลังพยามฝึกถ่ายอยู่ครับ
เข้าเรื่องเลยดีกว่าเริ่มจากแผนการเดินทางผมได้วางแผนค่อนข้างจะแน่นมากเนื่องจากช่วงหยุดปีใหม่นี้บริษัทหยุดให้แค่ 7 วันครับ
ดังนั้นจากแผนที่เตรียมไว้ตอนแรกกะว่าจะเดินทาง 9 วันต้องบีบลง และ ตัดโปรแกรมเที่ยวหลายๆอย่างออกไปจนสุดท้าย Final plan ดังนี้ครับ
Day1 กรุงเทพ-นาริตะ เปิด JR pass เริ่มใช้เลย (นอนบ้านเพื่อนที่ Tokyo)
Day2 Tokyo-Sapporo ไปทางเครื่องบิน (นอน Gracery Hotel Sapporo 12,474yen+JAL 12,515 Bath)
Day3 Sapporo-Kiroro Resort(A Tribute Portfolio Hotel 60,950 yen)
Day4 Kiroro Resort– Otaru – Sapporo – Hakodate (Oyado Aozora 6,680 yen)
Day5 Hakodate – Tokyo ไปรถไฟชินคังเซน (นอนบ้านเพื่อน)
Day6 Kawaguchigo(นอนบ้านเพื่อน)
Day7 นาริตะ – กรุงเทพ
การเตรียมตัว
ทริปนี้ใช้เวลาในการเตรียมตัวค่อนข้างนานเนื่องจากเป็นการแบคแพคครั้งแรก ก่อนหน้านี้เคยไปกับทัวร์แล้วครั้งนึง
ไม่ค่อยถึงใจมาปีนี้เลยลองเที่ยวเองดู ผมเริ่มจองตั๋วเครื่องบินตั้งแต่ปลายเดือน พฤษภาคม 58 ของ Air Asia-X
ในราคาไปกลับรวมทุกอย่าง 2 คน 33,600 บาทซึ่งก็ไม่ได้ถูกอะไรกับการจองล่วงหน้านานขนาดนี้แต่ตอนนั้นเรา
คิดว่ามันเป็นช่วงปีใหม่อาจจะเต็มเร็วเลยรีบจอง เดินทาง 26 Dec 15 ถึง 1 Jan 16 รวมเวลาในการเตรียมตัวเกือบ 6 เดือน
ซึ่งการเตรียมตัวที่ยากที่สุดของเราคือการหาเลือกซื้อชุดเครื่องแต่งกาย เพราะผมและแฟนเป็นคนขี้หนาว แต่อยาก
จะไปเจอหิมะและสัมผัสอากาศแบบติดลบครั้งแรกในชิวิตเพราะฉนั้น การหาข้อมูลในเน็ตก็เพียงพอในระดับนึงแต่
เอาเข้าจริงคนที่บอกว่าแค่นี้ก็พอมันอาจจะไม่พอสำหรับเราก็ได้เช่น ถุงมือผมซื้อ Heat tech ของUniqlo มาคิดว่าเอาอยู่
แต่ทะลุครับท่านเอาไม่อยู่ได้ไปหาซื้อใหม่ แต่ที่ญี่ปุ่นหาซื้อได้หมดครับแต่ต้องมีเวลาเดินหาซื้อ ส่วนผมเวลาเที่ยวน้อย
ก็เลยกะซื้อทีเดียวตั้งแต่อยู่ไทยเลย ส่วน Item ต่างๆของผมก็มีดังต่อไปนี้ครับ
1. Passport+ใบจองโรงแรม 3 คืน (ตอนจองสังเกตุนิดนึงนะครับว่านอนได้กี่คน)
2. Japan Rail Pass 7 Day Ordinary (7,900x2 ซื้อในงานที่ paragon)
3. Exchange money 250,000 Yen(รวมค่าโรงแรมเอาเข้าจริงไม่พอ - -)
4. เสื้อกันหนาว ชั้นนอกเสื้อขนเป็ดของ Uniqlo แบบหนาๆ (ซื้อที่ญี่ปุ่นถูกกว่าไทยประมาณ 1 พัน) ,ชั้นกลาง Heat tech คอเต่าสตีปจอบ
ชั้นใน เสื้อยืดแขนสั้น Heat tech , ผ้าพันตอไหมพรมธรรมดา
5. กางเกงยีน Heat tech Uniqlo, ลองจอน , ถุงเท้าไหมพรม Heat tech
6. รองเท้าเอารุ่นที่กันน้ำหรือหิมะได้ ผมใช้ของ ecco รุ่น Gortex ก็ OK ครับเอาอยู่ทั้งกันน้ำและอุ่นใช้ได้ไม่ต้องซื้อแผ่นร้อนเพิ่มครับ
(+แผ่นตะปูกันลื่นสำคัญมากครับหัวแตกไม่รู้นะเออตอนแรกดูรีวิวแล้วไม่เชื่อ 555)
7. หมวกไหมพรม Heat tech แบบปิดหูได้ด้วย, ผ้าปิดจมูกแบบหนา (จำเป็นมากตอนลมแรง)
8. ถุงมือ Heat tech (แนะนำรุ่นอย่างดีแบบหนัง หรือ ไม่มีรูผ่านไปเลยไม่งั้นไร้ประโยชน์)
9. ยารักษาโรคต่างๆขนไปทุกอัน แต่ผมไม่ได้ใช้เนื่องจากเตรียมตัวมาดีทานวิตามิน C ต่อเนื่อง 3 เดือนก่อนไป
(เยี่ยมมากๆครับผมเป็นภูมิแพ้อากาศด้วยนึกว่าจะจะเป็ดหวัดซ่ะแล้ว)
10.Passmo ticket (ซื้อที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติได้เลย สะดวกมากๆครับใช้ได้ทั่วประเทศเลยใช้กับตู้หยอดน้ำหรือล็อกเกอร์ฝากของ
ก็ได้นะครับสะดวกจริงๆ)
11.Internet(ผมเปิด Roaming ซื้อ Sim ท่องโลกของ True ไปครับ 5 วัน (120 ชั่วโมง) 1450 บาท แต่ไม่ขึ้น 4G เพื่อนผมเปิด
Roaming ของ Dtac ไปขึ้น 4G เร็วหัวแตกเลย อันนี้พลาด 555แต่แนะนำ So-net sim ซื้อที่ตู้ขายที่สนามบินครับ 1 GB 3000 Yen )
12.Vourcher Hokkaido ผมเอาไว้ใช้เป็นส่วนลดค่าสกีคุ้มมากๆครับถ้าสนใจเข้าไปดูได้ที่
https://www.go-to-hokkaido.com/en/ticket/
10.”สติ” คิดดีๆให้ระเอียดและรวดเร็ว วางแผนเวลาในการเปลี่ยนขบวนรถไฟด้วยนะครับเช่นถ้ามีการเปลี่ยนขบวนรถไฟที่สถานนีใหญ่ๆ
เช่น Shinjuku อะไรแบบนี้อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 10 นาที
เริ่มการเดินทางกันเลยครับ
Day2 Tokyo-Sapporo ขอเริ่มต้นจากที่ Tokyo เลยนะครับ

เริ่มออกจากบ้านตอนเช้าครับโปรแกรมช่วงเช้ามีแค่ที่เดียว ผมพักแถว Kyodo ใกล้สถานีรถไฟเดินแค่ 5 นาทีถึง

แวะ 7-11 หาอาหารเช้าเติมพลังก่อนครับ

เดินทางจาก Kyodo – Shinjuku และมาถึงสถานี Ueno

ออกจากสถานีรถไฟก็เดินตามทางรถไฟลงมาข้างล่างเรื่อยๆครับ

เจอสี่แยกไฟแดงก็จะเจอตลาด Ameyayokocho อยู่ทางซ้ายมือครับข้ามถนนไปเลย
ภายในตลาดคนเยอะมากของขายก็เยอะครับราคาก็ไม่สูงมาก

อันนี้ของขายทั่วไปที่นี่ครับดูแล้วก็น่ารักดีราคาไม่แพง

เที่ยงก็หาของกินแถวนั้นได้เลยครับผมขออุด้งเลยหิวมาก อิอิ
หลังจากเดินตลาดแล้วก็ข้ามมาอีกฝากของตลาดเพื่อเดินทางไปวัด คิโยมิสึ ต่อครับ
เดินเข้ามาเรื่อยๆก็จะเจอวัดครับเป็นวัดเล็กๆ ไม่ใหญ่มากมีไหว้พระขอพรทั่วไปแต่ผมมีจุดประสงค์สำคัญครับเลยมาที่วัดนี้ อิอิ

มองจากวัดก็มองเห็นตึก Tokyo Sky Tree ได้เลย ที่เที่ยวโตเกียววันแรกของผมมีแค่นี้ครับเพราะเวลาเที่ยวน้อยมากต้องเดินทางต่อไปที่ Sapporo ครับแต่จะได้กลับเที่ยวอีกในวันสุดท้ายครับ

เริ่มเดินทางต่อเลยครับเข้าไปสถานี Ueno เหมือนเดิมเพื่อไปสนามบิน Haneda ครับ

มาเปลี่ยนรถไฟที่สถานี HAMAMATSUCHO เป็น Tokyo Monorail Haneda Express

วิวสวยมากอึ้งและทึ่งในรถไฟสายนี้ด้วยครับสร้างได้สุดยอดมาก(ภาพนี้ขอยืมรูปมาจาก net นะครับ)

ถึงแล้วสนามบิน Haneda นั่งลำนี้ไปครับ JAL521

แวะซื้อของฝากเล็กน้อยครับ ชอบเครื่องบิน อิอิ

แอบถ่ายรูปเด็กญี่ปุ่นน่ารักดีอยากได้บ้างอิอิ

พอจะได้เวลาขึ้นเครื่องเดินมารอที่เกตอ้าว Delay ซ่ะงั้นดีที่มีภาษาอังกฤษบอกไม่งั้นแย่ แต่แค่ 10 นาทีไม่เป็นไรครับนิดหน่อยรอได้

พอมาถึงสนามบิน New Chitose ก็ต้องแวะ Land Mark ของที่นี่กันนะครับ Doraemon Park นั่นเอง
ถ้ามีเวลาก็ซื้อบัตรเข้าไปชมด้านในได้นะครับน่าจะมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะส่วนผมเวลาไม่พอขอเดินทางต่อครับ

จากสนามบินไปนั่งรถไฟไปถึงสถานี Sapporo ประมาณ 40 นาที ออกจากสถานีแล้วจะมีตึก ESTA อยู่ซ้ายมือที่นี่จะมีแหล่งช็อบปิ้งขนาดใหญ่อยู่ครับรวมทั้งร้านอาหารด้วยแวะกันได้ตามสบายครับ

ส่วนผมมาถึงที่นี่อย่างแรกคือราเมงร้อนๆบวกเกี๊ยวซ่าครับ

หลังทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็ไปเดินย่อยชมหิมะต่อที่สวน Odori ครับ อุณหภูมิเบาๆ -5 องศา ครับเย้ๆเห็นหิมะตกครั้งแรกในชีวิตละครับ

ส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยมีอะไรคงเพราะเค้าเตรียมสถานที่จัดเทศกาลหิมะครับหรือเพราะมาตอนกลางคืนหว่าแต่จังหว่ะนี้
กลับไปนอนอุ่นๆที่ห้องพักดีกว่า บรื้ออออ หนาว

คืนนี้ผมพักที่ Gracery Hotel ครับห้องเล็กมากสำหรับ 2 คนพอดีแป๊ะๆๆ

ห้องน้ำก็เล็กมากแต่ก็สมน้ำสมเนื้อกับราคาครับ
Day3 Sapporo-Kiroro Resort

เอาหล่ะพักผ่อนพอแล้วเช้านี้เตรียมตัวไปเที่ยวเริ่มจาก JR Sapporo ไปที่ สถานี Otaru Chickko เพื่อไปรอรถบัสฟรีจาก Kiroro Resort มารับครับ

ผมมาถึงเมืองนี้โอ้แม่เจ้าหิมะตกหนักหนากว่าที่ Sapporo เยอะครับ

ระหว่างรอก็มีฝรั่งมารอรถเหมือนกันแต่เค้าไปยืนรอกลางหิมะตก(ในใจคิดว่าพวกเมิงไม่หนาวกันรึไงฟ่ะ)

บรรยากาศบริเวณป้ายรถเมล์ครับ

อันนี้สภาพรถที่มาจอดส่งคนแปบเดียวหิมะเกาะเต็มรถเลย

รถบัสมาตรงเวลาครับหลังจากนั้นรถก็มาส่งแขกที่ A Tribute Portfolio Hotel ก่อน แล้วก็มาที่ Ski Mountain center ครับสำหรับใครที่จะมาเล่นสกีอย่างเดียวก็ลงที่นี่ได้เลยครับ

บรรยากาศหิมะหน้าโรงแรมใครพักที่นี่ก็จะสบายหน่อยครับเล่นสกีเสร็จก็ขึ้นห้องพักได้เลยส่วนผมต้องกลับไปที่ A Tribute Portfolio Hotel ครับใช้เวลาประมาณ 10 นาที

ลองซูมภาพหิมะดูใกล้ๆอยากเอาน้ำแดงมาราดใส่หนมปังกินจุง อิอิ

ก่อนเล่นสกีก็เติมพลังก่อนด้วยราเมนเช่นเคยแต่ขอบอกว่าชามนี้อร่อยกว่าทุกชามที่กินมาครับน้ำซุปถึงใจมาก

จากนั้นก็มาเช่าชุดกับ Lift Pass ครับราคาแพงพอสมควรแต่ผมใช้ Voucher Hokkaido จ่ายเป็นส่วนลดช่วยได้เยอะครับรู้งี้จะซื้อมาสัก 3 set

พอเช่าชุดเสร็จก็ไปรับชุดรวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ เผื่อเวลาแต่งตัวเยอะๆนะครับของผมใส่รองเท้าอย่างเดียวก็ครึ่งชั่วโมงละ พอเสร็จแล้วก็ได้เวลาลองของจริงแล้ว

ลองนอนดูหิมะที่นี่ค่อนข้างนุ่มมากนะครับเค้าบอกเป็น Snow powder ว่างั้น

มาดูเด็กๆที่นี่เค้าโชว์กันก่อนครับแต่ละคนเห็นแล้วอย่างกะโปรมาเล่นเองครับ

ส่วนผมเล่นแค่ Lift Family พอครับแนะนำว่าถ้าใครมีเวลาก็ลงเรียนดีกว่าครับค่าสอนอาจจะแพงแต่ทำให้เล่นได้สนุกกว่าครับ ผมศึกษาเองจากคลิปก่อนมาเล่น พอของจริงล้มหัวทิ่มบ่อยมาก ยิ่งถ้าลุกไม่เป็นนี่ทรมานโคตรเลยครับเกือบตายบนเขา
[CR] Review :Tokyo-Hokkaido หนาวสุดขั้ว ตามรอยละคร Series ชื่อดัง HM กับหิมะครั้งแรกในชีวิต
สวัสดีเพื่อนๆชาว Pantip ทุกคนนะครับกระทู้นี้เป็นการรีวิวครั้งแรกของผมนะครับผิดพลาดประการใดก็ติชมกันได้ตามสบายนะครับ
รูปอาจจะสวยสู้น้าๆท่านอื่นไม่ได้นะครับกำลังพยามฝึกถ่ายอยู่ครับ
เข้าเรื่องเลยดีกว่าเริ่มจากแผนการเดินทางผมได้วางแผนค่อนข้างจะแน่นมากเนื่องจากช่วงหยุดปีใหม่นี้บริษัทหยุดให้แค่ 7 วันครับ
ดังนั้นจากแผนที่เตรียมไว้ตอนแรกกะว่าจะเดินทาง 9 วันต้องบีบลง และ ตัดโปรแกรมเที่ยวหลายๆอย่างออกไปจนสุดท้าย Final plan ดังนี้ครับ
Day1 กรุงเทพ-นาริตะ เปิด JR pass เริ่มใช้เลย (นอนบ้านเพื่อนที่ Tokyo)
Day2 Tokyo-Sapporo ไปทางเครื่องบิน (นอน Gracery Hotel Sapporo 12,474yen+JAL 12,515 Bath)
Day3 Sapporo-Kiroro Resort(A Tribute Portfolio Hotel 60,950 yen)
Day4 Kiroro Resort– Otaru – Sapporo – Hakodate (Oyado Aozora 6,680 yen)
Day5 Hakodate – Tokyo ไปรถไฟชินคังเซน (นอนบ้านเพื่อน)
Day6 Kawaguchigo(นอนบ้านเพื่อน)
Day7 นาริตะ – กรุงเทพ
การเตรียมตัว
ทริปนี้ใช้เวลาในการเตรียมตัวค่อนข้างนานเนื่องจากเป็นการแบคแพคครั้งแรก ก่อนหน้านี้เคยไปกับทัวร์แล้วครั้งนึง
ไม่ค่อยถึงใจมาปีนี้เลยลองเที่ยวเองดู ผมเริ่มจองตั๋วเครื่องบินตั้งแต่ปลายเดือน พฤษภาคม 58 ของ Air Asia-X
ในราคาไปกลับรวมทุกอย่าง 2 คน 33,600 บาทซึ่งก็ไม่ได้ถูกอะไรกับการจองล่วงหน้านานขนาดนี้แต่ตอนนั้นเรา
คิดว่ามันเป็นช่วงปีใหม่อาจจะเต็มเร็วเลยรีบจอง เดินทาง 26 Dec 15 ถึง 1 Jan 16 รวมเวลาในการเตรียมตัวเกือบ 6 เดือน
ซึ่งการเตรียมตัวที่ยากที่สุดของเราคือการหาเลือกซื้อชุดเครื่องแต่งกาย เพราะผมและแฟนเป็นคนขี้หนาว แต่อยาก
จะไปเจอหิมะและสัมผัสอากาศแบบติดลบครั้งแรกในชิวิตเพราะฉนั้น การหาข้อมูลในเน็ตก็เพียงพอในระดับนึงแต่
เอาเข้าจริงคนที่บอกว่าแค่นี้ก็พอมันอาจจะไม่พอสำหรับเราก็ได้เช่น ถุงมือผมซื้อ Heat tech ของUniqlo มาคิดว่าเอาอยู่
แต่ทะลุครับท่านเอาไม่อยู่ได้ไปหาซื้อใหม่ แต่ที่ญี่ปุ่นหาซื้อได้หมดครับแต่ต้องมีเวลาเดินหาซื้อ ส่วนผมเวลาเที่ยวน้อย
ก็เลยกะซื้อทีเดียวตั้งแต่อยู่ไทยเลย ส่วน Item ต่างๆของผมก็มีดังต่อไปนี้ครับ
1. Passport+ใบจองโรงแรม 3 คืน (ตอนจองสังเกตุนิดนึงนะครับว่านอนได้กี่คน)
2. Japan Rail Pass 7 Day Ordinary (7,900x2 ซื้อในงานที่ paragon)
3. Exchange money 250,000 Yen(รวมค่าโรงแรมเอาเข้าจริงไม่พอ - -)
4. เสื้อกันหนาว ชั้นนอกเสื้อขนเป็ดของ Uniqlo แบบหนาๆ (ซื้อที่ญี่ปุ่นถูกกว่าไทยประมาณ 1 พัน) ,ชั้นกลาง Heat tech คอเต่าสตีปจอบ
ชั้นใน เสื้อยืดแขนสั้น Heat tech , ผ้าพันตอไหมพรมธรรมดา
5. กางเกงยีน Heat tech Uniqlo, ลองจอน , ถุงเท้าไหมพรม Heat tech
6. รองเท้าเอารุ่นที่กันน้ำหรือหิมะได้ ผมใช้ของ ecco รุ่น Gortex ก็ OK ครับเอาอยู่ทั้งกันน้ำและอุ่นใช้ได้ไม่ต้องซื้อแผ่นร้อนเพิ่มครับ
(+แผ่นตะปูกันลื่นสำคัญมากครับหัวแตกไม่รู้นะเออตอนแรกดูรีวิวแล้วไม่เชื่อ 555)
7. หมวกไหมพรม Heat tech แบบปิดหูได้ด้วย, ผ้าปิดจมูกแบบหนา (จำเป็นมากตอนลมแรง)
8. ถุงมือ Heat tech (แนะนำรุ่นอย่างดีแบบหนัง หรือ ไม่มีรูผ่านไปเลยไม่งั้นไร้ประโยชน์)
9. ยารักษาโรคต่างๆขนไปทุกอัน แต่ผมไม่ได้ใช้เนื่องจากเตรียมตัวมาดีทานวิตามิน C ต่อเนื่อง 3 เดือนก่อนไป
(เยี่ยมมากๆครับผมเป็นภูมิแพ้อากาศด้วยนึกว่าจะจะเป็ดหวัดซ่ะแล้ว)
10.Passmo ticket (ซื้อที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติได้เลย สะดวกมากๆครับใช้ได้ทั่วประเทศเลยใช้กับตู้หยอดน้ำหรือล็อกเกอร์ฝากของ
ก็ได้นะครับสะดวกจริงๆ)
11.Internet(ผมเปิด Roaming ซื้อ Sim ท่องโลกของ True ไปครับ 5 วัน (120 ชั่วโมง) 1450 บาท แต่ไม่ขึ้น 4G เพื่อนผมเปิด
Roaming ของ Dtac ไปขึ้น 4G เร็วหัวแตกเลย อันนี้พลาด 555แต่แนะนำ So-net sim ซื้อที่ตู้ขายที่สนามบินครับ 1 GB 3000 Yen )
12.Vourcher Hokkaido ผมเอาไว้ใช้เป็นส่วนลดค่าสกีคุ้มมากๆครับถ้าสนใจเข้าไปดูได้ที่ https://www.go-to-hokkaido.com/en/ticket/
10.”สติ” คิดดีๆให้ระเอียดและรวดเร็ว วางแผนเวลาในการเปลี่ยนขบวนรถไฟด้วยนะครับเช่นถ้ามีการเปลี่ยนขบวนรถไฟที่สถานนีใหญ่ๆ
เช่น Shinjuku อะไรแบบนี้อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 10 นาที
เริ่มการเดินทางกันเลยครับ
Day2 Tokyo-Sapporo ขอเริ่มต้นจากที่ Tokyo เลยนะครับ
เริ่มออกจากบ้านตอนเช้าครับโปรแกรมช่วงเช้ามีแค่ที่เดียว ผมพักแถว Kyodo ใกล้สถานีรถไฟเดินแค่ 5 นาทีถึง
แวะ 7-11 หาอาหารเช้าเติมพลังก่อนครับ
เดินทางจาก Kyodo – Shinjuku และมาถึงสถานี Ueno
ออกจากสถานีรถไฟก็เดินตามทางรถไฟลงมาข้างล่างเรื่อยๆครับ
เจอสี่แยกไฟแดงก็จะเจอตลาด Ameyayokocho อยู่ทางซ้ายมือครับข้ามถนนไปเลย
ภายในตลาดคนเยอะมากของขายก็เยอะครับราคาก็ไม่สูงมาก
อันนี้ของขายทั่วไปที่นี่ครับดูแล้วก็น่ารักดีราคาไม่แพง
เที่ยงก็หาของกินแถวนั้นได้เลยครับผมขออุด้งเลยหิวมาก อิอิ
หลังจากเดินตลาดแล้วก็ข้ามมาอีกฝากของตลาดเพื่อเดินทางไปวัด คิโยมิสึ ต่อครับ
เดินเข้ามาเรื่อยๆก็จะเจอวัดครับเป็นวัดเล็กๆ ไม่ใหญ่มากมีไหว้พระขอพรทั่วไปแต่ผมมีจุดประสงค์สำคัญครับเลยมาที่วัดนี้ อิอิ
มองจากวัดก็มองเห็นตึก Tokyo Sky Tree ได้เลย ที่เที่ยวโตเกียววันแรกของผมมีแค่นี้ครับเพราะเวลาเที่ยวน้อยมากต้องเดินทางต่อไปที่ Sapporo ครับแต่จะได้กลับเที่ยวอีกในวันสุดท้ายครับ
เริ่มเดินทางต่อเลยครับเข้าไปสถานี Ueno เหมือนเดิมเพื่อไปสนามบิน Haneda ครับ
มาเปลี่ยนรถไฟที่สถานี HAMAMATSUCHO เป็น Tokyo Monorail Haneda Express
วิวสวยมากอึ้งและทึ่งในรถไฟสายนี้ด้วยครับสร้างได้สุดยอดมาก(ภาพนี้ขอยืมรูปมาจาก net นะครับ)
ถึงแล้วสนามบิน Haneda นั่งลำนี้ไปครับ JAL521
แวะซื้อของฝากเล็กน้อยครับ ชอบเครื่องบิน อิอิ
แอบถ่ายรูปเด็กญี่ปุ่นน่ารักดีอยากได้บ้างอิอิ
พอจะได้เวลาขึ้นเครื่องเดินมารอที่เกตอ้าว Delay ซ่ะงั้นดีที่มีภาษาอังกฤษบอกไม่งั้นแย่ แต่แค่ 10 นาทีไม่เป็นไรครับนิดหน่อยรอได้
พอมาถึงสนามบิน New Chitose ก็ต้องแวะ Land Mark ของที่นี่กันนะครับ Doraemon Park นั่นเอง
ถ้ามีเวลาก็ซื้อบัตรเข้าไปชมด้านในได้นะครับน่าจะมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะส่วนผมเวลาไม่พอขอเดินทางต่อครับ
จากสนามบินไปนั่งรถไฟไปถึงสถานี Sapporo ประมาณ 40 นาที ออกจากสถานีแล้วจะมีตึก ESTA อยู่ซ้ายมือที่นี่จะมีแหล่งช็อบปิ้งขนาดใหญ่อยู่ครับรวมทั้งร้านอาหารด้วยแวะกันได้ตามสบายครับ
ส่วนผมมาถึงที่นี่อย่างแรกคือราเมงร้อนๆบวกเกี๊ยวซ่าครับ
หลังทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็ไปเดินย่อยชมหิมะต่อที่สวน Odori ครับ อุณหภูมิเบาๆ -5 องศา ครับเย้ๆเห็นหิมะตกครั้งแรกในชีวิตละครับ
ส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยมีอะไรคงเพราะเค้าเตรียมสถานที่จัดเทศกาลหิมะครับหรือเพราะมาตอนกลางคืนหว่าแต่จังหว่ะนี้
กลับไปนอนอุ่นๆที่ห้องพักดีกว่า บรื้ออออ หนาว
คืนนี้ผมพักที่ Gracery Hotel ครับห้องเล็กมากสำหรับ 2 คนพอดีแป๊ะๆๆ
ห้องน้ำก็เล็กมากแต่ก็สมน้ำสมเนื้อกับราคาครับ
Day3 Sapporo-Kiroro Resort
เอาหล่ะพักผ่อนพอแล้วเช้านี้เตรียมตัวไปเที่ยวเริ่มจาก JR Sapporo ไปที่ สถานี Otaru Chickko เพื่อไปรอรถบัสฟรีจาก Kiroro Resort มารับครับ
ผมมาถึงเมืองนี้โอ้แม่เจ้าหิมะตกหนักหนากว่าที่ Sapporo เยอะครับ
ระหว่างรอก็มีฝรั่งมารอรถเหมือนกันแต่เค้าไปยืนรอกลางหิมะตก(ในใจคิดว่าพวกเมิงไม่หนาวกันรึไงฟ่ะ)
บรรยากาศบริเวณป้ายรถเมล์ครับ
อันนี้สภาพรถที่มาจอดส่งคนแปบเดียวหิมะเกาะเต็มรถเลย
รถบัสมาตรงเวลาครับหลังจากนั้นรถก็มาส่งแขกที่ A Tribute Portfolio Hotel ก่อน แล้วก็มาที่ Ski Mountain center ครับสำหรับใครที่จะมาเล่นสกีอย่างเดียวก็ลงที่นี่ได้เลยครับ
บรรยากาศหิมะหน้าโรงแรมใครพักที่นี่ก็จะสบายหน่อยครับเล่นสกีเสร็จก็ขึ้นห้องพักได้เลยส่วนผมต้องกลับไปที่ A Tribute Portfolio Hotel ครับใช้เวลาประมาณ 10 นาที
ลองซูมภาพหิมะดูใกล้ๆอยากเอาน้ำแดงมาราดใส่หนมปังกินจุง อิอิ
ก่อนเล่นสกีก็เติมพลังก่อนด้วยราเมนเช่นเคยแต่ขอบอกว่าชามนี้อร่อยกว่าทุกชามที่กินมาครับน้ำซุปถึงใจมาก
จากนั้นก็มาเช่าชุดกับ Lift Pass ครับราคาแพงพอสมควรแต่ผมใช้ Voucher Hokkaido จ่ายเป็นส่วนลดช่วยได้เยอะครับรู้งี้จะซื้อมาสัก 3 set
พอเช่าชุดเสร็จก็ไปรับชุดรวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ เผื่อเวลาแต่งตัวเยอะๆนะครับของผมใส่รองเท้าอย่างเดียวก็ครึ่งชั่วโมงละ พอเสร็จแล้วก็ได้เวลาลองของจริงแล้ว
ลองนอนดูหิมะที่นี่ค่อนข้างนุ่มมากนะครับเค้าบอกเป็น Snow powder ว่างั้น
มาดูเด็กๆที่นี่เค้าโชว์กันก่อนครับแต่ละคนเห็นแล้วอย่างกะโปรมาเล่นเองครับ
ส่วนผมเล่นแค่ Lift Family พอครับแนะนำว่าถ้าใครมีเวลาก็ลงเรียนดีกว่าครับค่าสอนอาจจะแพงแต่ทำให้เล่นได้สนุกกว่าครับ ผมศึกษาเองจากคลิปก่อนมาเล่น พอของจริงล้มหัวทิ่มบ่อยมาก ยิ่งถ้าลุกไม่เป็นนี่ทรมานโคตรเลยครับเกือบตายบนเขา