พันธนาการแห่งความกลัว
.
บางทีเราอาจจะเข้าใจถึงปัญหาเรื่องความกลัวจากแง่มุมต่างๆ กัน ความกลัวมักก่อให้เกิดสิ่งแปลกประหลาดต่างๆ ขึ้นแก่เรา ก่อให้เกิดภาพมายาและปัญหานานัปการ นอกเสียจากว่าเราจะเจาะลงไปจนถึงแก่นและสามารถเข้าใจมันอย่างแท้จริง ความกลัวมักจะบิดเบือนการกระทำของเราทำให้ความคิดบิดเบี้ยวและทำให้วิถีชีวิตผิดพลาด ความกลัวเป็นเครื่องกีดกั้นความสัมพันธ์ระหว่างคนและยังเป็นตัวการทำลายความรักลงอีกด้วย ดังนั้นยิ่งเราเจาะลึกเข้าไปในความกลัวมากเพียงใด เรายิ่งเข้าใจมันมากเพียงใด ยิ่งสลัดหลุดจากมันได้เพียงใด เรายิ่งจะสร้างสายสัมพันธ์กับสรรพสิ่งรอบๆ ตัวเราได้มากขึ้นเพียงนั้น ในขณะนี้การเข้าเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์อย่างมีชีวิตชีวากับกระบวนการแห่งชีวิตของเราเป็นไปในระดับที่ต่ำอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราสามารถสลัดหลุดออกจากความกลัวได้ เราก็จะได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ อย่างกว้างขวาง เต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง เต็มไปด้วยความเมตตา รู้จักพินิจพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยความรัก มีญาณทัศนะที่กว้างขวาง ดังนั้นขอให้เราลองมาพิจารณาดูว่าเราจะพิจารณาถึงเรื่องเกี่ยวกับความกลัวในแง่มุมอื่นได้หรือไม่อย่างไร
.
ฉันยังสงสัยอยู่ว่า เธอจะสังเกตเห็นหรือไม่ว่า พวกเราส่วนมากยังคงต้องการความปลอดภัยทางจิตใจบางประการ เราต้องการความมั่นคง ต้องการใครบางคนที่อาจพึ่งพาได้ คล้ายดังเด็กที่จับมือมารดาไว้แนบแน่น ดังนั้น เราจึงต้องการบางสิ่งบางอย่างที่จะเกาะยึดเอาไว้ เราต้องการให้ใครบางคนมารักเรา หากปราศจากความรู้สึกมั่นคง หากปราศจากความรู้สึกปลอดภัย เราย่อมรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่ามิใช่หรือ เราเคยชินต่อการพึ่งพาผู้อื่น ให้ผู้อื่นมาคอยชี้ทางและช่วยเหลือ และถ้าไม่มีใครช่วย เราจะรู้สึกสับสน หวาดหวั่น มิรู้ที่จะคิด มิรู้ที่จะทำประการใดในวินาทีแรกที่เราถูกปล่อยให้อยู่เดียวดาย เราจะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวท้อแท้และไม่มั่นใจ จากสิ่งนี้เองที่ความกลัวได้เกิดขึ้น
.
ดังนั้น เราจึงต้องการบางสิ่งบางอย่างมาช่วยเสริมสร้างความรู้สึกมั่นใจและเราก็มีสิ่งช่วยคุ้มครองอยู่หลายชนิด เรามีสิ่งปกป้องทั้งภายในและภายนอก เมื่อเราปิดประตูหน้าต่างบ้านเรือนเสียมิดชิดและอยู่แต่ข้างในบ้านก็คงจะรู้สึกมั่นคง ปลอดภัยไร้กังวล แต่ชีวิตจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ชีวิตมักจะมาเยี่ยมเยียนและมาเคาะที่ประตูอยู่เสมอ มันพยายามจะมาเปิดหน้าต่างเพื่อให้เราเห็นมากขึ้น และถ้าเรากลัว เราก็จะปิดประตูลั่นดานลงกลอนหน้าต่าง และเสียงเคาะก็จะดังอยู่แต่ข้างนอก เรายิ่งพึ่งพาความมั่นคงแบบใดๆ มากขึ้นเพียงใด ชีวิตก็ยิ่งบีบคั่นเรามากยิ่งขึ้นเพียงนั้น เรายิ่งกลัวและปิดกั้นตนเองมากขึ้นเพียงใด ความทุกข์ยากยิ่งมีมากขึ้นเพียงนั้นเพราะชีวิตจะไม่ยอมปล่อยให้เราอยู่แต่ลำพังผู้เดียว เราต้องการความมั่นคงปลอดภัย แต่ชีวิตกลับไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้น เราจึงดิ้นรนต่อสู้ เราแสวงหาความมั่นคงจากสังคม จากประเพณี จากความสัมพันธ์กับบิดามารดาจากสามีหรือภรรยา แต่ชีวิตมักเจาะผ่านปราการแห่งความมั่นคงเข้ามาได้เสมอ
.
เรายังแสวงหาความมั่นคงและความวางใจจากความคิดอีกด้วย เธอเคยสำรวจตรวจตราดูหรือไม่ว่าความคิดเกิดขึ้นได้อย่างไร และจิตใจไปยึดติดอยู่กับความคิดได้อย่างไร เธอมีความคิดเกี่ยวกับสิ่งสวยๆ ที่เธอได้เห็นขณะออกไปเดินเล่น และจิตของเธอก็หวนระลึกถึงความคิดนั้น ซึ่งก็คือความทรงจำนั่นเอง เธออ่านหนังสือและเธอก็เกิดความคิดขึ้นจากการอ่านและเธอก็ติดยึดอยู่กับมัน ดังนั้น เธอจะเห็นได้ว่าความคิดผุดขึ้นมาได้อย่างไรและเห็นว่ามันกลับกลายเป็นหนทางไปสู่ความบรรเทาใจภายใน เป็นความมั่นคงและเป็นบางสิ่งบางอย่างซึ่งให้จิตใจมาเกาะยึดได้อย่างไร
เธอเคยคิดถึงปัญหาทางความคิดเหล่านี้หรือไม่ ถ้าเธอมีความคิดอย่างหนึ่งและฉันเองก็มีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ต่างคนต่างก็คิดว่าความคิดของตัวเองดีกว่าของอีกคนหนึ่ง ดังนั้น เราจึงต้องดิ้นรนต่อสู้กันใช่หรือไม่ ฉันพยายามที่จะทำให้เธอเชื่อและเธอก็พยายามจะโน้มน้าวใจฉัน โลกถูกสร้างขึ้นมาบนความคิดและบนความขัดแย้งทางความคิด ถ้าหากเธอได้เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งถึงเรื่องความคิดเหล่านี้ เธอก็จะรู้ว่าการยึดมั่นอยู่กับความคิดนั้นเป็นสิ่งไร้สาระ แต่เธอได้สังเกตเห็นหรือไม่ว่าบิดามารดาครูบาอาจารย์และลุงป้าน้าอาของเธอ ต่างก็พากันผูกพันอยู่กับความคิดของตนเองอย่างเหนียวแน่น
.
ความคิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เธอได้มันมาอย่างไร เช่น เมื่อเธอมีความคิดว่าจะออกไปเดินเล่น ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร น่าสนใจมากที่จะลองค้นหาคำตอบดู เธอลองตรวจตราดูให้ดี เธอก็จะรู้ว่าความคิดเช่นนั้นเกิดมาจากไหน และรู้ว่าเหตุใดจิตใจจึงไปเกาะยึดอยู่กับมันโดยสลัดสิ่งอื่นๆ ทิ้งเสียสิ้น ความคิดที่จะออกไปเดินเล่นเป็นผลตอบสนองมาจากความพึงพอใจใช่หรือไม่ เพราะเธอได้เคยออกไปเดินเล่นมาก่อนแล้ว การทำดังนั้นก่อให้เกิดความยินดีหรือความพึงพอใจ ดังนั้น เธอจึงต้องการจะไปอีก เพราะเหตุนี้แหละความคิดจึงเกิดขึ้นมาและนำไปสู่การกระทำเมื่อเธอมองเห็นรถยนต์ที่สวยงามคันหนึ่ง เธอย่อมมีความพึงพอใจมิใช่หรือความพึงพอใจเกิดจากการมองเห็นรถยนต์ การเห็นก่อให้เกิดความพึงพอใจจากความพึงพอใจจึงเกิดความคิดขึ้น “ฉันต้องการรถคันนั้น มันจะต้องเป็นของฉัน” ความคิดเช่นนั้นย่อมเข้าครอบครองดวงใจของเธอสิ้น
.
เราพากันแสวงหาความมั่นคงจากทรัพย์สมบัตินอกกายและจากความสัมพันธ์ภายนอก รวมทั้งจากความคิดหรือความเชื่อภายในด้วยฉันเชื่อในพระเจ้า เชื่อในประเพณี เชื่อว่าฉันจะได้แต่งงานเป็นหลักเป็นฐานฉันเชื่อในการกลับชาติมาเกิด เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง และอื่นๆ ความเชื่อเหล่านี้ถูกสร้างเสริมขึ้นมาด้วยแรงปรารถนา ด้วยอคติของตัวฉันเอง ฉันยึดมั่นอยู่กับความเชื่อเหล่านี้ ฉันมีความมั่นคงภายนอก นอกเนื้อหนัง และยังมีความมั่นคงภายในอีกด้วย หากเธอมาเปลี่ยนแปลงหรือมาสงสัยในความเชื่อนั้นฉันก็จะหวาดหวั่น ฉันจะกำจัดเธอออกไป จะรบกับเธอถ้าหากมาสั่นคลอนความมั่นคงของฉัน
.
ลองหันมาดูกันว่า สิ่งที่เรียกกันว่าความมั่นคงนี้มีจริงหรือไม่ เรามีความคิดเป็นสูตรสำเร็จเกี่ยวกับความมั่นคง เราจะรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับพ่อแม่ รู้สึกปลอดภัยเมื่อได้งานอาชีพมั่นคง เราคงรู้สึกพอใจกับสิ่งต่างๆ พอใจในสิ่งที่เราคิด พอใจในวิถีชีวิตและในทัศนะที่เราใช้มองดูสรรพสิ่ง พวกเราส่วนใหญ่พึงพอใจมาก ที่ถูกปิดกั้นอยู่ในแวดวงของความคิดที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย แต่เราได้มีความมั่นคงความปลอดภัยจริงๆ ละหรือไม่ว่าเราจะมีสิ่งคุ้มครองภายในและภายนอกมากเพียงใด ลองมาดูเรื่องภายนอกกันหน่อย ธุรกิจการธนาคารของเธออาจจะล้มในวันพรุ่งนี้ก็ได้ พ่อแม่ของใครคนหนึ่งอาจจะตาย อาจจะเกิดการปฏิวัติขึ้น ดังนั้นจะแสวงหาความปลอดภัยจากความคิดอยู่อีกได้อย่างไรกัน เรามักจะชอบคิดว่าเราจะปลอดภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ในความคิด ในความเชื่อ และในอคติ แต่เราปลอดภัยแน่ละหรือ ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้นเลย สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงกำแพงจอมปลอมเท่านั้น มันเป็นเพียงความคิด เป็นเพียงความพึงพอใจของเราเองเราชอบเชื่อว่ามีพระเจ้าที่คอยคุ้มครองดูแลตัวเรา หากเราเกิดมาใหม่ชาติหน้าคงจะร่ำรวยขึ้นกว่าชาตินี้ และคงจะมีหรือเชื่อว่ามีสถานะสูงกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน นั่นก็อาจจะเป็นไปได้หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น เราจะต้องแสวงหาด้วยตนเอง ถ้าเรามองไปทั้งภายในภายนอกแล้ว เราก็จะได้เห็นด้วยตาของตนเองว่าไม่มีความปลอดภัยใดๆ อยู่ในชีวิตนี้เลย
.
เมื่อได้แลเห็นถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คนที่คิดอย่างจริงจังก็จะเริ่มปลดปล่อยตัวเองออกจากการเกาะเกี่ยวอยู่กับความมั่นคง ด้วยการทำเช่นนี้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอก สิ่งนี้ทำได้อยากที่สุด หมายความว่าเธอจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวในความหมายที่ว่า เธอไม่อาจไปพึ่งพาใครได้อีกต่อไป และในวินาทีแรกที่ไปพึ่งใครเข้า เธอก็จะเกิดความกลัวขึ้นทันที และหากที่ใดมีความกลัว ที่นั้นย่อมปราศจากความรัก ถ้าเธอรู้จักรักเธอก็จะไม่เปล่าเปลี่ยวอีกต่อไป ความรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเกิดขึ้นมาจากความกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เมื่อเธอถูกครอบงำอยู่ด้วยความคิด ถูกแบ่งแยกออกด้วยความเชื่อ ความกลัวก็ย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อเธอมีความหวาดหวั่นแล้ว ดวงใจของเธอก็จะมืดมนโดยสิ้นเชิง
.
ดังนั้น ทั้งครูและผู้ปกครองจะต้องช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องความกลัวนี้ แต่โชคร้ายที่พ่อแม่เองต่างก็กลัวอยู่ว่าเธอจะไปทำอะไร หากเธอไม่ยอมแต่งงาน หรือไม่ยอมประกอบอาชีพท่านกลัวว่าเธอจะหลงทางผิด กลัวคนอื่นมานินทา และด้วยความกลัวนี้เอง ที่ทำให้พ่อแม่ของเธอปรารถนาให้เธอทำในสิ่งที่แน่นอนมั่นคง ความกลัวของท่านถูกห่อหุ้มอยู่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” ท่านต้องการจะเป็นผู้ดูแลเธอ คอยบอกให้เธอทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ และถ้าเธอออกไปอยู่เบื้องหลังกำแพงของสิ่งที่เรียกว่าความผูกพันรักใคร่ออกไปสำรวจดูอีกด้านหนึ่งของดุลยพินิจแห่งพ่อแม่ เธอก็จะพบว่าที่นั้นเต็มไปด้วยความกลัว กลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัย กลัวว่าเธอจะไม่ได้รับความเคารพนับถือ ทั้งตัวเธอเองก็กลัวด้วย เพราะว่าเธอได้พึ่งพิงคนอื่นมานานเกินไป
.
จึงนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่เธอจะต้องเริ่มตั้งคำถามและทำลายพันธนาการแห่งความกลัวลงเสียตั้งแต่ยังเยาว์วัย เพื่อที่ว่าเธอจะได้ไม่ถูกความกลัวแบ่งแยกให้ออกไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องยึดมั่นอยู่กับความคิดเห็น ยึดมั่นอยู่กับประเพณี อยู่กับกิริยามารยาท อยู่กับความประพฤติ หากเธอจะต้องเป็นเสรีชนซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์
.
CR กฤษณมูรติพูดจากหนังสือแด่หนุ่มสาว
กฤษณมูรติ - พันธนาการแห่งความกลัว
.
บางทีเราอาจจะเข้าใจถึงปัญหาเรื่องความกลัวจากแง่มุมต่างๆ กัน ความกลัวมักก่อให้เกิดสิ่งแปลกประหลาดต่างๆ ขึ้นแก่เรา ก่อให้เกิดภาพมายาและปัญหานานัปการ นอกเสียจากว่าเราจะเจาะลงไปจนถึงแก่นและสามารถเข้าใจมันอย่างแท้จริง ความกลัวมักจะบิดเบือนการกระทำของเราทำให้ความคิดบิดเบี้ยวและทำให้วิถีชีวิตผิดพลาด ความกลัวเป็นเครื่องกีดกั้นความสัมพันธ์ระหว่างคนและยังเป็นตัวการทำลายความรักลงอีกด้วย ดังนั้นยิ่งเราเจาะลึกเข้าไปในความกลัวมากเพียงใด เรายิ่งเข้าใจมันมากเพียงใด ยิ่งสลัดหลุดจากมันได้เพียงใด เรายิ่งจะสร้างสายสัมพันธ์กับสรรพสิ่งรอบๆ ตัวเราได้มากขึ้นเพียงนั้น ในขณะนี้การเข้าเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์อย่างมีชีวิตชีวากับกระบวนการแห่งชีวิตของเราเป็นไปในระดับที่ต่ำอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราสามารถสลัดหลุดออกจากความกลัวได้ เราก็จะได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ อย่างกว้างขวาง เต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง เต็มไปด้วยความเมตตา รู้จักพินิจพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยความรัก มีญาณทัศนะที่กว้างขวาง ดังนั้นขอให้เราลองมาพิจารณาดูว่าเราจะพิจารณาถึงเรื่องเกี่ยวกับความกลัวในแง่มุมอื่นได้หรือไม่อย่างไร
.
ฉันยังสงสัยอยู่ว่า เธอจะสังเกตเห็นหรือไม่ว่า พวกเราส่วนมากยังคงต้องการความปลอดภัยทางจิตใจบางประการ เราต้องการความมั่นคง ต้องการใครบางคนที่อาจพึ่งพาได้ คล้ายดังเด็กที่จับมือมารดาไว้แนบแน่น ดังนั้น เราจึงต้องการบางสิ่งบางอย่างที่จะเกาะยึดเอาไว้ เราต้องการให้ใครบางคนมารักเรา หากปราศจากความรู้สึกมั่นคง หากปราศจากความรู้สึกปลอดภัย เราย่อมรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่ามิใช่หรือ เราเคยชินต่อการพึ่งพาผู้อื่น ให้ผู้อื่นมาคอยชี้ทางและช่วยเหลือ และถ้าไม่มีใครช่วย เราจะรู้สึกสับสน หวาดหวั่น มิรู้ที่จะคิด มิรู้ที่จะทำประการใดในวินาทีแรกที่เราถูกปล่อยให้อยู่เดียวดาย เราจะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวท้อแท้และไม่มั่นใจ จากสิ่งนี้เองที่ความกลัวได้เกิดขึ้น
.
ดังนั้น เราจึงต้องการบางสิ่งบางอย่างมาช่วยเสริมสร้างความรู้สึกมั่นใจและเราก็มีสิ่งช่วยคุ้มครองอยู่หลายชนิด เรามีสิ่งปกป้องทั้งภายในและภายนอก เมื่อเราปิดประตูหน้าต่างบ้านเรือนเสียมิดชิดและอยู่แต่ข้างในบ้านก็คงจะรู้สึกมั่นคง ปลอดภัยไร้กังวล แต่ชีวิตจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ชีวิตมักจะมาเยี่ยมเยียนและมาเคาะที่ประตูอยู่เสมอ มันพยายามจะมาเปิดหน้าต่างเพื่อให้เราเห็นมากขึ้น และถ้าเรากลัว เราก็จะปิดประตูลั่นดานลงกลอนหน้าต่าง และเสียงเคาะก็จะดังอยู่แต่ข้างนอก เรายิ่งพึ่งพาความมั่นคงแบบใดๆ มากขึ้นเพียงใด ชีวิตก็ยิ่งบีบคั่นเรามากยิ่งขึ้นเพียงนั้น เรายิ่งกลัวและปิดกั้นตนเองมากขึ้นเพียงใด ความทุกข์ยากยิ่งมีมากขึ้นเพียงนั้นเพราะชีวิตจะไม่ยอมปล่อยให้เราอยู่แต่ลำพังผู้เดียว เราต้องการความมั่นคงปลอดภัย แต่ชีวิตกลับไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้น เราจึงดิ้นรนต่อสู้ เราแสวงหาความมั่นคงจากสังคม จากประเพณี จากความสัมพันธ์กับบิดามารดาจากสามีหรือภรรยา แต่ชีวิตมักเจาะผ่านปราการแห่งความมั่นคงเข้ามาได้เสมอ
.
เรายังแสวงหาความมั่นคงและความวางใจจากความคิดอีกด้วย เธอเคยสำรวจตรวจตราดูหรือไม่ว่าความคิดเกิดขึ้นได้อย่างไร และจิตใจไปยึดติดอยู่กับความคิดได้อย่างไร เธอมีความคิดเกี่ยวกับสิ่งสวยๆ ที่เธอได้เห็นขณะออกไปเดินเล่น และจิตของเธอก็หวนระลึกถึงความคิดนั้น ซึ่งก็คือความทรงจำนั่นเอง เธออ่านหนังสือและเธอก็เกิดความคิดขึ้นจากการอ่านและเธอก็ติดยึดอยู่กับมัน ดังนั้น เธอจะเห็นได้ว่าความคิดผุดขึ้นมาได้อย่างไรและเห็นว่ามันกลับกลายเป็นหนทางไปสู่ความบรรเทาใจภายใน เป็นความมั่นคงและเป็นบางสิ่งบางอย่างซึ่งให้จิตใจมาเกาะยึดได้อย่างไร
เธอเคยคิดถึงปัญหาทางความคิดเหล่านี้หรือไม่ ถ้าเธอมีความคิดอย่างหนึ่งและฉันเองก็มีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ต่างคนต่างก็คิดว่าความคิดของตัวเองดีกว่าของอีกคนหนึ่ง ดังนั้น เราจึงต้องดิ้นรนต่อสู้กันใช่หรือไม่ ฉันพยายามที่จะทำให้เธอเชื่อและเธอก็พยายามจะโน้มน้าวใจฉัน โลกถูกสร้างขึ้นมาบนความคิดและบนความขัดแย้งทางความคิด ถ้าหากเธอได้เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งถึงเรื่องความคิดเหล่านี้ เธอก็จะรู้ว่าการยึดมั่นอยู่กับความคิดนั้นเป็นสิ่งไร้สาระ แต่เธอได้สังเกตเห็นหรือไม่ว่าบิดามารดาครูบาอาจารย์และลุงป้าน้าอาของเธอ ต่างก็พากันผูกพันอยู่กับความคิดของตนเองอย่างเหนียวแน่น
.
ความคิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เธอได้มันมาอย่างไร เช่น เมื่อเธอมีความคิดว่าจะออกไปเดินเล่น ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร น่าสนใจมากที่จะลองค้นหาคำตอบดู เธอลองตรวจตราดูให้ดี เธอก็จะรู้ว่าความคิดเช่นนั้นเกิดมาจากไหน และรู้ว่าเหตุใดจิตใจจึงไปเกาะยึดอยู่กับมันโดยสลัดสิ่งอื่นๆ ทิ้งเสียสิ้น ความคิดที่จะออกไปเดินเล่นเป็นผลตอบสนองมาจากความพึงพอใจใช่หรือไม่ เพราะเธอได้เคยออกไปเดินเล่นมาก่อนแล้ว การทำดังนั้นก่อให้เกิดความยินดีหรือความพึงพอใจ ดังนั้น เธอจึงต้องการจะไปอีก เพราะเหตุนี้แหละความคิดจึงเกิดขึ้นมาและนำไปสู่การกระทำเมื่อเธอมองเห็นรถยนต์ที่สวยงามคันหนึ่ง เธอย่อมมีความพึงพอใจมิใช่หรือความพึงพอใจเกิดจากการมองเห็นรถยนต์ การเห็นก่อให้เกิดความพึงพอใจจากความพึงพอใจจึงเกิดความคิดขึ้น “ฉันต้องการรถคันนั้น มันจะต้องเป็นของฉัน” ความคิดเช่นนั้นย่อมเข้าครอบครองดวงใจของเธอสิ้น
.
เราพากันแสวงหาความมั่นคงจากทรัพย์สมบัตินอกกายและจากความสัมพันธ์ภายนอก รวมทั้งจากความคิดหรือความเชื่อภายในด้วยฉันเชื่อในพระเจ้า เชื่อในประเพณี เชื่อว่าฉันจะได้แต่งงานเป็นหลักเป็นฐานฉันเชื่อในการกลับชาติมาเกิด เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง และอื่นๆ ความเชื่อเหล่านี้ถูกสร้างเสริมขึ้นมาด้วยแรงปรารถนา ด้วยอคติของตัวฉันเอง ฉันยึดมั่นอยู่กับความเชื่อเหล่านี้ ฉันมีความมั่นคงภายนอก นอกเนื้อหนัง และยังมีความมั่นคงภายในอีกด้วย หากเธอมาเปลี่ยนแปลงหรือมาสงสัยในความเชื่อนั้นฉันก็จะหวาดหวั่น ฉันจะกำจัดเธอออกไป จะรบกับเธอถ้าหากมาสั่นคลอนความมั่นคงของฉัน
.
ลองหันมาดูกันว่า สิ่งที่เรียกกันว่าความมั่นคงนี้มีจริงหรือไม่ เรามีความคิดเป็นสูตรสำเร็จเกี่ยวกับความมั่นคง เราจะรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับพ่อแม่ รู้สึกปลอดภัยเมื่อได้งานอาชีพมั่นคง เราคงรู้สึกพอใจกับสิ่งต่างๆ พอใจในสิ่งที่เราคิด พอใจในวิถีชีวิตและในทัศนะที่เราใช้มองดูสรรพสิ่ง พวกเราส่วนใหญ่พึงพอใจมาก ที่ถูกปิดกั้นอยู่ในแวดวงของความคิดที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย แต่เราได้มีความมั่นคงความปลอดภัยจริงๆ ละหรือไม่ว่าเราจะมีสิ่งคุ้มครองภายในและภายนอกมากเพียงใด ลองมาดูเรื่องภายนอกกันหน่อย ธุรกิจการธนาคารของเธออาจจะล้มในวันพรุ่งนี้ก็ได้ พ่อแม่ของใครคนหนึ่งอาจจะตาย อาจจะเกิดการปฏิวัติขึ้น ดังนั้นจะแสวงหาความปลอดภัยจากความคิดอยู่อีกได้อย่างไรกัน เรามักจะชอบคิดว่าเราจะปลอดภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ในความคิด ในความเชื่อ และในอคติ แต่เราปลอดภัยแน่ละหรือ ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้นเลย สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงกำแพงจอมปลอมเท่านั้น มันเป็นเพียงความคิด เป็นเพียงความพึงพอใจของเราเองเราชอบเชื่อว่ามีพระเจ้าที่คอยคุ้มครองดูแลตัวเรา หากเราเกิดมาใหม่ชาติหน้าคงจะร่ำรวยขึ้นกว่าชาตินี้ และคงจะมีหรือเชื่อว่ามีสถานะสูงกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน นั่นก็อาจจะเป็นไปได้หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น เราจะต้องแสวงหาด้วยตนเอง ถ้าเรามองไปทั้งภายในภายนอกแล้ว เราก็จะได้เห็นด้วยตาของตนเองว่าไม่มีความปลอดภัยใดๆ อยู่ในชีวิตนี้เลย
.
เมื่อได้แลเห็นถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คนที่คิดอย่างจริงจังก็จะเริ่มปลดปล่อยตัวเองออกจากการเกาะเกี่ยวอยู่กับความมั่นคง ด้วยการทำเช่นนี้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอก สิ่งนี้ทำได้อยากที่สุด หมายความว่าเธอจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวในความหมายที่ว่า เธอไม่อาจไปพึ่งพาใครได้อีกต่อไป และในวินาทีแรกที่ไปพึ่งใครเข้า เธอก็จะเกิดความกลัวขึ้นทันที และหากที่ใดมีความกลัว ที่นั้นย่อมปราศจากความรัก ถ้าเธอรู้จักรักเธอก็จะไม่เปล่าเปลี่ยวอีกต่อไป ความรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเกิดขึ้นมาจากความกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เมื่อเธอถูกครอบงำอยู่ด้วยความคิด ถูกแบ่งแยกออกด้วยความเชื่อ ความกลัวก็ย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อเธอมีความหวาดหวั่นแล้ว ดวงใจของเธอก็จะมืดมนโดยสิ้นเชิง
.
ดังนั้น ทั้งครูและผู้ปกครองจะต้องช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องความกลัวนี้ แต่โชคร้ายที่พ่อแม่เองต่างก็กลัวอยู่ว่าเธอจะไปทำอะไร หากเธอไม่ยอมแต่งงาน หรือไม่ยอมประกอบอาชีพท่านกลัวว่าเธอจะหลงทางผิด กลัวคนอื่นมานินทา และด้วยความกลัวนี้เอง ที่ทำให้พ่อแม่ของเธอปรารถนาให้เธอทำในสิ่งที่แน่นอนมั่นคง ความกลัวของท่านถูกห่อหุ้มอยู่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” ท่านต้องการจะเป็นผู้ดูแลเธอ คอยบอกให้เธอทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ และถ้าเธอออกไปอยู่เบื้องหลังกำแพงของสิ่งที่เรียกว่าความผูกพันรักใคร่ออกไปสำรวจดูอีกด้านหนึ่งของดุลยพินิจแห่งพ่อแม่ เธอก็จะพบว่าที่นั้นเต็มไปด้วยความกลัว กลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัย กลัวว่าเธอจะไม่ได้รับความเคารพนับถือ ทั้งตัวเธอเองก็กลัวด้วย เพราะว่าเธอได้พึ่งพิงคนอื่นมานานเกินไป
.
จึงนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่เธอจะต้องเริ่มตั้งคำถามและทำลายพันธนาการแห่งความกลัวลงเสียตั้งแต่ยังเยาว์วัย เพื่อที่ว่าเธอจะได้ไม่ถูกความกลัวแบ่งแยกให้ออกไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องยึดมั่นอยู่กับความคิดเห็น ยึดมั่นอยู่กับประเพณี อยู่กับกิริยามารยาท อยู่กับความประพฤติ หากเธอจะต้องเป็นเสรีชนซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์
.
CR กฤษณมูรติพูดจากหนังสือแด่หนุ่มสาว