-------
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! คนเหล่าอื่นอาจกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือ
ติเตียนพระสงฆ์ ท่านทั้งหลายไม่พึงผูกอาฆาต ขุ่นเคืองไม่พอใจในบุคคลเหล่านั้น
เพราะถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคืองหรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์นั้น อันตรายเพราะความโกรธเคืองนั้นก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง ถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม ติเตียนพระสงฆ์จะรู้ได้ละหรือว่า
คำกล่าวของคำเหล่านั้น เป็นคำกล่าวที่ดี (สุภาษิต)หรือไม่ดี (ทุภาษิต) "ไม่ทราบ พระเจ้าข้า "
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !ท่านทั้งหลายพึงชี้แจง เรื่องที่ไม่เป็นจริง ให้เห็นว่าไม่เป็นจริงในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นไม่จริง ข้อนั้นไม่แท้ ข้อนั้นไม่มีในพวกเราข้อนั้นไม่ปรากฎในพวกเราดังนี้ "
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนาอะไรกันและเรื่องอะไรที่พวกเธอพูดค้างไว้
เมื่อตรัสอย่างนี้แล้วภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า ณ ที่นี้เมื่อพวกข้าพระพุทธเจ้าลุกขึ้น ณ เวลาใกล้รุ่ง
นั่งประชุมกันอยู่ที่ศาลานั่งเล่นเกิดสนทนากันขึ้นว่า
ท่านทั้งหลายเท่าที่พระผู้มีพระภาคผู้รู้เห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงทราบความที่หมู่สัตว์มีอัธยาศัยต่างๆ กันได้เป็นอย่างดีนี้ น่าอัศจรรย์นักไม่เคยมีมา
ความจริง สุปปิยปริพาชกนี้ กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์โดยอเนกปริยาย
ส่วนพรหมทัตตมาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้าชมพระธรรม ชมพระสงฆ์โดยอเนกปริยาย อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนี้มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรง ฉะนี้
ข้าพระพุทธเจ้าเดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลัง เรื่องนี้แลที่พวกข้าพระพุทธเจ้า พูดค้างไว้ พอดีพระองค์เสด็จมาถึง.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ก็ตาม
เธอทั้งหลายไม่ควรอาฆาต ไม่ควรโทมนัสน้อยใจไม่ควรแค้นใจในคนเหล่านั้น
ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น
อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่
ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น
เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้ละหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น
คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลายและคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์
เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระหยิ่มใจในคำชมนั้น
ถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจจักกระหยิ่มใจในคำชมนั้น
อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ในคำชมนั้น
คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่านั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลายและคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย
ที่มา : พรหมชาลสูตร ๙/๓ พระไตรปิฎกฉบับประชาชน
*** เมื่อมีผู้มาติเตียนพระพุทธเจ้า ติเตียนพระธรรม หรือ ติเตียนพระสงฆ์ ชาวพุทธควรประพฤติปฏิบัติอย่างไร ***
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! คนเหล่าอื่นอาจกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือ
ติเตียนพระสงฆ์ ท่านทั้งหลายไม่พึงผูกอาฆาต ขุ่นเคืองไม่พอใจในบุคคลเหล่านั้น
เพราะถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคืองหรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์นั้น อันตรายเพราะความโกรธเคืองนั้นก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง ถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม ติเตียนพระสงฆ์จะรู้ได้ละหรือว่า
คำกล่าวของคำเหล่านั้น เป็นคำกล่าวที่ดี (สุภาษิต)หรือไม่ดี (ทุภาษิต) "ไม่ทราบ พระเจ้าข้า "
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !ท่านทั้งหลายพึงชี้แจง เรื่องที่ไม่เป็นจริง ให้เห็นว่าไม่เป็นจริงในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นไม่จริง ข้อนั้นไม่แท้ ข้อนั้นไม่มีในพวกเราข้อนั้นไม่ปรากฎในพวกเราดังนี้ "
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนาอะไรกันและเรื่องอะไรที่พวกเธอพูดค้างไว้
เมื่อตรัสอย่างนี้แล้วภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า ณ ที่นี้เมื่อพวกข้าพระพุทธเจ้าลุกขึ้น ณ เวลาใกล้รุ่ง
นั่งประชุมกันอยู่ที่ศาลานั่งเล่นเกิดสนทนากันขึ้นว่า
ท่านทั้งหลายเท่าที่พระผู้มีพระภาคผู้รู้เห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงทราบความที่หมู่สัตว์มีอัธยาศัยต่างๆ กันได้เป็นอย่างดีนี้ น่าอัศจรรย์นักไม่เคยมีมา
ความจริง สุปปิยปริพาชกนี้ กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์โดยอเนกปริยาย
ส่วนพรหมทัตตมาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้าชมพระธรรม ชมพระสงฆ์โดยอเนกปริยาย อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนี้มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรง ฉะนี้
ข้าพระพุทธเจ้าเดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลัง เรื่องนี้แลที่พวกข้าพระพุทธเจ้า พูดค้างไว้ พอดีพระองค์เสด็จมาถึง.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ก็ตาม
เธอทั้งหลายไม่ควรอาฆาต ไม่ควรโทมนัสน้อยใจไม่ควรแค้นใจในคนเหล่านั้น
ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น
อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่
ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น
เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้ละหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น
คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลายและคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์
เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระหยิ่มใจในคำชมนั้น
ถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจจักกระหยิ่มใจในคำชมนั้น
อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ในคำชมนั้น
คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่านั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลายและคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย
ที่มา : พรหมชาลสูตร ๙/๓ พระไตรปิฎกฉบับประชาชน