เตือน!!!
เรื่องเล่าเกี่ยวกับบัตร T-Money และCash Bee เตือนทุกท่านที่กำลังจะเดินทางไปเกาหลีและจะซื้อบัตรเดินทางสาธารณะที่ใช้จ่ายได้ทุกประเภทของเกาหลีค่ะ
**เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของพี่สาวที่รู้จักที่เดินทางไปเกาหลีบ่อยๆนะคะ ไม่ใช่เรื่องของเราเอง แต่พี่สาวทำล็อกอินพันทิปหายเลยขอยืมเพื่อเตือนนักท่องเที่ยวคนอื่นที่อาจจะไม่ระมัดระวังจะตกเป็นเหยื่อเหมือนพี่เราอีกคนได้ **
เล่าก่อนนิดนึงนะคะ บัตร T-Money และ Cash Bee นั้นมีคุณสมบัติเหมือนกันทุกอย่าง นั่นคือสามารถเติมเงินใส่บัตรและใช้จ่ายเวลาขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน รถเมล์ รถแท็กซี่ หรือแม้กระทั่งซื้อของของมินิมาร์ท ได้ทั้งหมดค่ะ แต่เดิมนั้นจะคุ้นๆ กันเฉพาะ T-Money แต่หลังๆ มานี้มี Cash Bee มาด้วย ซึ่งต่างกันตรงที่ออกมาจากคนละบริษัทเท่านั้นค่ะ
ส่วนใหญ่แล้ว ใครที่เดินทางไปเกาหลี แบบไปเที่ยวเองก็มักจะซื้อบัตรนี้ไว้ใช้กันทั้งนั้น เพราะมันสะดวกสบาย เวลาเดินทางก็สามารถแตะบัตรผ่านเข้าออกได้เลย ไม่ต้องไปเสียเวลาซื้อตั๋วรถแบบ single ticket ทุกครั้งที่เดินทาง เพราะการเดินทางหลักของเกาหลีก็คือรถไฟฟ้าใต้ดินนั่นเอง
เข้าเรื่องกันเลย โดยส่วนตัวนั้นเราไปเที่ยวเกาหลีเองหลายครั้ง ไปแบบเที่ยวเองตลอด และได้ซื้อบัตร T-Money ไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไป (เมื่อ 5 ปีที่แล้ว) ตอนนั้นซื้อบัตรที่ราคา 2500 วอนค่ะ (ส่วนใหญ่ราคาก็จะราวๆ นี้ ขึ้นอยู่กับลวดลายของบัตร ถ้ามีลายของลิขสิทธิ์อย่าง LINE ราคาก็จะแพงขึ้นค่ะ)
เราใช้บัตรนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น ไปกี่ครั้งก็ใช้บัตรนี้ ไม่เคยมีปัญหา แต่มันมาเกิดในทริปล่าสุดของเราค่ะ
ครั้งนี้เราไปเกาหลีกับเพื่อนอีก 3 คน ( รุ่นพี่หนึ่งคนให้ชื่อว่า A อีกสองคนเป็นเพื่อน) ซึ่งยังไม่เคยไปเกาหลีแบบเที่ยวเองมาก่อน (พี่ A เคยไปมาแล้ว แต่ไม่มีบัตร T-money) บัตรของเราเองที่ใช้มาเราซื้อที่ร้านมินิมาร์ทในสนามบินอินชอนค่ะ เราก็กะจะพาเพื่อนไปซื้อที่นั่น แต่ว่าพนักงานบอกว่าบัตรหมด เราก็เลยซื้อ single ticket จากสนามบินเข้าไปที่พักกันก่อน พอขึ้นจากรถไฟสถานีปลายทางมาได้ ก็เข้ามินิมาร์ทแรกที่เจอเลยนั่นคือ CU ในสถานีรถไฟฟ้ามหาวิทยาลัยฮงอิก จำทางออกได้ไม่มาก แต่ว่าร้านอยู่ตรงข้ามกับ Information Center ค่ะ จะมีที่วางใบปลิวท่องเที่ยวเยอะหน่อย
ตอนซื้อเราก็ถามคนขายด้วยภาษาเกาหลีแบบงูๆ ปลาๆ ถามหาบัตร T-Money คนขายก็หยิบตะกร้ายาวๆ ออกมาที่มีบัตรหลายสีหลายใบอยู่กันเยอะ เพื่อนเราก็ถามภาษาอังกฤษว่ามันต่างกันมั้ย คนขายก็ส่ายหน้า ความพีคมันอยู่ตรงนี้ค่ะ ...พอบอกว่าไม่ต่าง เราก็เลยขอดูบ้าง แล้วบอกให้เพื่อนๆ เลือกเอาตามใจเลย อยากได้สีอะไร
พี่ A กับเพื่อนอีกคนเลือกบัตรสีเหลืองขาว (นี่แหละตัวปัญหา) เพื่อนอีกคนเลือกสีดำ คนขายก็พยักหน้าคิดเงินตามปกติ โดยแยกจ่าย บัตรสีเหลืองขาวกับสีดำราคาเท่ากันคือ 2500 วอน จากนั้นเราก็ออกมาจากสถานี ไปหาตู้เติมเงิน ก็เติมเงินกันตามปกติค่ะ
พวกเราทั้ง 4 คนเดินทางไปนั่นมานี่ด้วยรถไฟใต้ดิน รถเมล์มาเยอะมาก (วันที่โดนเจ้าหน้าที่เรียกเค้าเช็คประวัติการใช้งานในบัตร นับได้ทั้งหมด 18 เที่ยว) ตอนที่เราสแกนบัตรเข้าออก มันจะโชว์วงเงินที่ใช้ไปในครั้งนั้น และจะโชว์เงินคงเหลือค่ะ ซึ่งเพื่อนสองคนของเราที่ใช้บัตรสีเหลืองขาว เค้าไม่ค่อยได้ดูยอดเงินที่เหลือของตัวเอง ก็เติมๆ เงินกันไปไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่าอยากใช้เท่าไหร่ พอดีเราชอบซื้อโยเกิร์ตพร้อมดื่มในมินิมาร์ท แล้วคร้านหยิบเงินออกมานับเพราะอากาศมันหนาว เลยเติมเงินในบัตรเยอะกว่าใคร เอาไว้ซื้อของในมินิมาร์ท เวลาถามๆ ว่าเงินเหลือเท่าไหร่กัน มันเลยไม่เท่ากันสักที
วันที่เกิดเรื่องคือวันที่ 5 ของการเที่ยวของเราค่ะ ซึ่งวันถัดมาเราจะกลับไทยกันแล้ว เลยตกลงกันว่าจะไปซื้อของเก็บตกพวกเครื่องสำอางต่างๆ กันที่เมียงดง เพราะช็อปเครื่องสำอางที่นั่นมีเยอะที่สุด เรามาถึงเมียงดงเวลาสองทุ่มนิดๆ เดินออกมาตรงทางออกอีกด้านที่ไม่ใช่ฝั่ง underground shopping ก็ติ๊ดบัตรออกจากสถานีตามปกติ
ด้วยความที่เราเป็นคนเดินเร็ว เดินนำแทบตลอดทริป เราก็เดินเลยไปหาทางออก แต่เพื่อนด้านหลังเรียกเราไว้ พอเดินกลับไปก็เห็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากช่องขายตั๋ว คุยกับพี่ A บอกว่าคุณทำผิด คุณต้องจ่ายค่าปรับ (คุยกันด้วยภาษาอังกฤษนะคะ) พวกเราทุกคนก็งงกัน งงจริงๆ ค่ะ ไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อน เราก็ถามว่ามีอะไรหรอ เกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่ ญ คนนั้นบอกว่าพี่ A ใช้บัตรผิดประเภท เป็นบัตรของเยาวชน (อายุไม่เกิน 18 ปี) ซึ่งบอกเลยว่าในทริปเราไม่มีใครอายุต่ำกว่า 18 แน่นอน เค้าบอกว่าคุณใช้บัตรผิดนะ คุณต้องจ่ายค่าปรับ 30 เท่า เอาแต่พูดแบบนี้อย่างเดียว แล้วก็ชี้ให้เราดูป้ายที่มีในสถานี ซึ่งระบุเป็นภาษาอังกฤษและเกาหลีบอกว่าถ้าหากใช้บัตรผิด มีโทษต้องปรับ 30 เท่า
เขาถามเราว่าซื้อบัตรมาจากที่ไหน เราก็บอกว่าจากร้านมินิมาร์ทในสถานีม.ฮงอิก มินิมาร์ทในเกาหลีจะมีสองร้านดังๆ ที่เห็นเยอะหน่อยคือ CU กับ GS25 เราจำไม่ได้ค่ะว่าซื้อจากร้านไหน แต่น่าจะเป็น CU
เราก็พยายามคุยกัน อธิบายให้เข้าใจว่าเราไม่รู้ว่านี่เป็นบัตรของเยาวชน บนบัตรไม่มีคำไหนที่บอกเลยว่าเป็นบัตรของเยาวชน มีแค่ตรงมุมซองใส ไม่ได้อยู่บนตัวบัตรด้วย ซึ่งพี่เราไม่แกะซองใสออก ซื้อมายังไงก็ใช้แบบนั้นเลย (ปกติมันติ๊ดได้เลย อยู่ในกระเป๋า ถ้าวางตรงจุด เครื่องก็หาเจอ ไม่ต้องหยิบออกมาทุกครั้ง)
นี่รูปประกอบค่ะ บัตรเหลืองขาว
คุยกันราวๆ ห้านาที เขาขอดูบัตรของทุกคนเลย ตอนดูเขาก็พลิกไปมา บอกว่าบัตรอื่นน่าจะเป็นบัตรของผู้ใหญ่ แต่บัตรนี้ (บัตรของพี่ A) เป็นบัตรของเยาวชน เจ้าหน้าที่ ญ สื่อสารได้ไม่เต็มร้อย จึงให้เราไปที่สถานี เราก็ถามว่าทำไมต้องไป พวกเราไม่ได้ตั้งใจผิดนะ เราไม่รู้ด้วยว่าเป็นบัตรเยาวชน แต่เขาไม่ยอม หยิบโทรศัพท์มาคุยภาษาเกาหลีกับใครสักคนแล้วก็บอกให้พวกเราไปที่สถานี สถานีกลางซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับทางออก 5-6 ตรงข้ามกับ underground shopping เลยค่ะ พอพวกเราเข้าไปก็มีเจ้าหน้าที่ผู้ชายหนึ่งคนมารับเรื่อง คนนี้พูดภาษาอังกฤษได้ดีและคล่องค่ะ
ในนั้นมีเจ้าหน้าที่สูงอายุอีกคนนั่งนับเงินอยู่ และเจ้าหน้าที่เด็กผู้ชายอีกคน คืออยากจะบอกว่าตอนนั้นเราหิวกันมาก ยังไม่ได้กินอะไรมาเลย แต่ก็มานั่งอยู่ เจ้าหน้าที่ ญ คุยกับเจ้าหน้าที่ ช ที่มารับเรื่องเหมือนจะอธิบายสถานการณ์ แล้วก็ขอดูบัตรของพวกเราทุกคน
เขาเอาบัตรไปทาบกันเครื่องอ่าน (เจ้าหน้าที่เองยังบอกไม่ได้เลยว่าบัตรไหนของเยาวชนของผู้ใหญ่ ต้องใช้เครื่องอ่าน)พร้อมกับบัตรเจ้าปัญหาที่เขาเห็นคือบัตรของพี่ A สักพักกลับมาพร้อมกระดาษใบยาวที่เป็น record ว่าเดินทางไปที่ไหนบ้าง แล้วก็บอกว่าบัตรสีเหลืองขาวสองใบนั่นเป็นบัตรเยาวชน แต่อีกสองคนไม่ใช่
อันนี้ภาพบนโต๊ะ จะมีบัตรเหลืองขาว 2 ใบ และบัตรผู้ใหญ่ธรรมดา 1 ใบที่คว่ำอยู่ กับใบ Record ที่เค้าปริ๊นออกมาว่าใช้เดินทางไปไหนมาบ้าง
จะเห็นเครื่องอ่านบัตรตรงมุมขวา บัตรสีดำ POP ที่วางอยู่บนนั้นเป็นบัตรของผู้ใหญ่ที่เพื่อนอีกคนซื้อมาพร้อมกันค่ะ เขาต้องเอาไปอ่านกับเครื่อง จะรู้ยอดเงินคงเหลือ และรู้ว่าเป็นบัตรเด็กหรือผู้ใหญ่
ใบ Record ที่ปริ๊นออกมา
เจ้าหน้าที่ก็บอกเราว่า กฎต้องเป็นกฎ คือคุณต้องจ่ายค่าปรับนะ เพราะถือว่าคุณโกงค่าโดยสาร คุณเดินทางไปทั้งหมด 18 เที่ยว มีค่าปรับเที่ยวละ 1350 x 31 = 41,850 วอน (คิดเป็นเงินไทยราวๆ 1255 บาท) ถ้าคิดตามจริงก็คือ 753,300 วอน (ราวๆ 22,590 บาท)
คราวนี้ก็เป็นเรื่องค่ะ พี่ A ที่โดนเรียก เขาก็ไม่ยอม ให้ไปเอาเรื่องกับคนขายให้เราสิ เขาไม่ยอมบอกว่าเป็นบัตรเด็ก ทำไมเราต้องมาจ่ายส่วนนี้ด้วย คือพวกเราเถียงกันขาดใจจริงๆ ว่าไม่รู้เลย คุยกันให้ไปที่ร้านนั้นที่สถานีม.ฮงอิกด้วยกันเลยด้วยซ้ำ ขอดูกล้องวงจรปิดในร้านได้เลยว่าเราไปซื้อบัตรและคนขายบอกอะไรรึเปล่าว่าเป็นบัตรเด็ก แต่เจ้าหน้า ช บอกว่าต่อให้ไปถามไปเอาเรื่อง ก็เอาเรื่องกับร้านค้าไม่ได้ เพราะไม่มี connection ต่อกัน
พวกเราก็ไม่ยอมสิคะ แบบเฮ้ยย... คุณอนุญาตให้เขาขายได้ตามสะดวก แต่พอเกิดเรื่องกลับเอาผิดไม่ได้ แล้วมาพูดกับเราว่า เขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเราจะโกหกมั้ยเรื่องที่ไม่รู้ว่าเป็นบัตรเด็ก พี่กับเพื่อนเราอีกคนก็ของขึ้นกันเลย เถียงกันยาวนานมาก เจ้าหน้าที่ ช คนนั้นบอกเองเลยนะว่าเกิดเหตุแบบนี้บ่อย ก็ใช่...บ่อยแล้วไง คุณไม่มีมาตรการมารองรับเลยหรอ ต้องให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในประเทศของคุณเป็นคนรับผิดชอบหรอ ในบัตรไม่มีภาษาอังกฤษระบุเลยว่าเป็นบัตรเด็ก direction use ที่เป็นภาษาอังกฤษก็ไม่มี ประเทศคุณก็ world wide นะ คนมาท่องเที่ยวเยอะ แต่การจัดการในเรื่องนี้แย่มาก คือบอกเลยว่าพวกเราฉุนกันสุดๆ พูดใส่เขาเลยว่านี่ไม่ใช่เราโกงคุณหรอก แต่พวกคุณต่างหากที่โกงเรา โกงนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย คนอื่นอาจจะยอมจ่าย แต่เราไม่ยอม
เจ้าหน้าที่ ช ก็ถอนใจ คือพูดอะไรไม่ได้ ได้แต่บอกว่าต้องทำตามกฎ เขาอนุโลมให้จ่ายค่าปรับแค่เที่ยวเดียวคือ 41,850 วอน เพราะเชื่อจริงๆ ว่าพวกเราไม่รู้ว่าเป็นบัตรเด็ก คิดค่าปรับแค่บัตรเดียวด้วย (จริงบัตรเหลืองขาวสองใบผิดทั้งคู่) เราก็ต่อรองกันว่า เอาแบบนี้...เราไม่ได้ตั้งใจทำผิด คุณก็ต้องทำตามกฎ งั้นก็เจอกันครึ่งทางด้วยการจ่ายราคาค่าโดยสารส่วนเกิน ซึ่งบัตรเด็กจะจ่ายเที่ยวละ 720 วอน (จากราคาเต็ม 1350 วอน) เราเลยขอจ่ายส่วนต่าง 630 วอน คูณด้วยจำนวน 18 เที่ยวที่เราใช้ไป
ฟังดูมันก็แฟร์ดีใช่มั้ยคะ แต่เจ้าหน้าที่ ช ไม่ยอมค่ะ บอกว่ากฎต้องเป็นกฎ ยังไงก็ต้องจ่ายอย่างน้อย 41,850 วอน พูดว่าจริงๆ ต้องจ่ายเจ็ดแสนกว่านะ แต่นี่เขาเข้าใจว่าเราไม่รู้ เลยลดมาปรับแค่นี้ พวกเราก็ไม่ยอมกันค่ะ พี่ A ขอคุยกับหัวหน้าของเขาด้วย แต่เจ้าหน้าที่ ช บอกว่าหัวหน้าไม่อยู่ ไปทานข้าว พักนึงก็มีเจ้าหน้าที่ ช สูงอายุ เหมือนจะเป็นหัวหน้าเดินมาคุยค่ะ เจ้าหน้าที่ ช ก็อธิบายเหตุการณ์เป็นภาษาเกาหลี แล้วก็กลับมาบอกเราว่าเขาพูดให้แล้ว แต่ว่าหัวหน้าไม่ยอม ต้องจ่าย คือบอกเลยว่านั่งอยู่ในนั้นตั้งแต่สองทุ่มจนถึงสี่ทุ่ม
ก็เถียงกันอยู่ร่วมๆ สองชั่วโมงนั่นแหละ เจ้าหน้าที่เขาก็คุยๆ แต่ก็ยังไม่ยอมกันอยู่ดี เราเลยติดต่อเจ้าของที่พักที่เป็นคนไทย ซึ่งเขามีแฟนเป็นคนเกาหลี เล่าเรื่องให้ฟัง เขาก็บอกว่าไม่เคยเจอเคสแบบนี้มาก่อนเลย เขาให้แฟนเขาที่เป็นคนเกาหลีโทรคุยกับเจ้าหน้าที่ ช คนนั้น คุยกันพักนึง ก็ยังไม่ลงตัว เจ้าหน้าที่ ช ยืนยันว่ายังไงก็ต้องจ่าย 41,850 วอนนี้ ไม่อย่างนั้นจะต้องไปที่สถานีตำรวจ และอาจต้องจ่ายค่าปรับเต็มคือเจ็ดแสนกว่า
[CR] SPECIAL REVIEW : พึงระวังบัตร T-Money และ Cash Bee ของคุณ
เรื่องเล่าเกี่ยวกับบัตร T-Money และCash Bee เตือนทุกท่านที่กำลังจะเดินทางไปเกาหลีและจะซื้อบัตรเดินทางสาธารณะที่ใช้จ่ายได้ทุกประเภทของเกาหลีค่ะ
**เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของพี่สาวที่รู้จักที่เดินทางไปเกาหลีบ่อยๆนะคะ ไม่ใช่เรื่องของเราเอง แต่พี่สาวทำล็อกอินพันทิปหายเลยขอยืมเพื่อเตือนนักท่องเที่ยวคนอื่นที่อาจจะไม่ระมัดระวังจะตกเป็นเหยื่อเหมือนพี่เราอีกคนได้ **
เล่าก่อนนิดนึงนะคะ บัตร T-Money และ Cash Bee นั้นมีคุณสมบัติเหมือนกันทุกอย่าง นั่นคือสามารถเติมเงินใส่บัตรและใช้จ่ายเวลาขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน รถเมล์ รถแท็กซี่ หรือแม้กระทั่งซื้อของของมินิมาร์ท ได้ทั้งหมดค่ะ แต่เดิมนั้นจะคุ้นๆ กันเฉพาะ T-Money แต่หลังๆ มานี้มี Cash Bee มาด้วย ซึ่งต่างกันตรงที่ออกมาจากคนละบริษัทเท่านั้นค่ะ
ส่วนใหญ่แล้ว ใครที่เดินทางไปเกาหลี แบบไปเที่ยวเองก็มักจะซื้อบัตรนี้ไว้ใช้กันทั้งนั้น เพราะมันสะดวกสบาย เวลาเดินทางก็สามารถแตะบัตรผ่านเข้าออกได้เลย ไม่ต้องไปเสียเวลาซื้อตั๋วรถแบบ single ticket ทุกครั้งที่เดินทาง เพราะการเดินทางหลักของเกาหลีก็คือรถไฟฟ้าใต้ดินนั่นเอง
เข้าเรื่องกันเลย โดยส่วนตัวนั้นเราไปเที่ยวเกาหลีเองหลายครั้ง ไปแบบเที่ยวเองตลอด และได้ซื้อบัตร T-Money ไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไป (เมื่อ 5 ปีที่แล้ว) ตอนนั้นซื้อบัตรที่ราคา 2500 วอนค่ะ (ส่วนใหญ่ราคาก็จะราวๆ นี้ ขึ้นอยู่กับลวดลายของบัตร ถ้ามีลายของลิขสิทธิ์อย่าง LINE ราคาก็จะแพงขึ้นค่ะ)
เราใช้บัตรนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น ไปกี่ครั้งก็ใช้บัตรนี้ ไม่เคยมีปัญหา แต่มันมาเกิดในทริปล่าสุดของเราค่ะ
ครั้งนี้เราไปเกาหลีกับเพื่อนอีก 3 คน ( รุ่นพี่หนึ่งคนให้ชื่อว่า A อีกสองคนเป็นเพื่อน) ซึ่งยังไม่เคยไปเกาหลีแบบเที่ยวเองมาก่อน (พี่ A เคยไปมาแล้ว แต่ไม่มีบัตร T-money) บัตรของเราเองที่ใช้มาเราซื้อที่ร้านมินิมาร์ทในสนามบินอินชอนค่ะ เราก็กะจะพาเพื่อนไปซื้อที่นั่น แต่ว่าพนักงานบอกว่าบัตรหมด เราก็เลยซื้อ single ticket จากสนามบินเข้าไปที่พักกันก่อน พอขึ้นจากรถไฟสถานีปลายทางมาได้ ก็เข้ามินิมาร์ทแรกที่เจอเลยนั่นคือ CU ในสถานีรถไฟฟ้ามหาวิทยาลัยฮงอิก จำทางออกได้ไม่มาก แต่ว่าร้านอยู่ตรงข้ามกับ Information Center ค่ะ จะมีที่วางใบปลิวท่องเที่ยวเยอะหน่อย
ตอนซื้อเราก็ถามคนขายด้วยภาษาเกาหลีแบบงูๆ ปลาๆ ถามหาบัตร T-Money คนขายก็หยิบตะกร้ายาวๆ ออกมาที่มีบัตรหลายสีหลายใบอยู่กันเยอะ เพื่อนเราก็ถามภาษาอังกฤษว่ามันต่างกันมั้ย คนขายก็ส่ายหน้า ความพีคมันอยู่ตรงนี้ค่ะ ...พอบอกว่าไม่ต่าง เราก็เลยขอดูบ้าง แล้วบอกให้เพื่อนๆ เลือกเอาตามใจเลย อยากได้สีอะไร
พี่ A กับเพื่อนอีกคนเลือกบัตรสีเหลืองขาว (นี่แหละตัวปัญหา) เพื่อนอีกคนเลือกสีดำ คนขายก็พยักหน้าคิดเงินตามปกติ โดยแยกจ่าย บัตรสีเหลืองขาวกับสีดำราคาเท่ากันคือ 2500 วอน จากนั้นเราก็ออกมาจากสถานี ไปหาตู้เติมเงิน ก็เติมเงินกันตามปกติค่ะ
พวกเราทั้ง 4 คนเดินทางไปนั่นมานี่ด้วยรถไฟใต้ดิน รถเมล์มาเยอะมาก (วันที่โดนเจ้าหน้าที่เรียกเค้าเช็คประวัติการใช้งานในบัตร นับได้ทั้งหมด 18 เที่ยว) ตอนที่เราสแกนบัตรเข้าออก มันจะโชว์วงเงินที่ใช้ไปในครั้งนั้น และจะโชว์เงินคงเหลือค่ะ ซึ่งเพื่อนสองคนของเราที่ใช้บัตรสีเหลืองขาว เค้าไม่ค่อยได้ดูยอดเงินที่เหลือของตัวเอง ก็เติมๆ เงินกันไปไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่าอยากใช้เท่าไหร่ พอดีเราชอบซื้อโยเกิร์ตพร้อมดื่มในมินิมาร์ท แล้วคร้านหยิบเงินออกมานับเพราะอากาศมันหนาว เลยเติมเงินในบัตรเยอะกว่าใคร เอาไว้ซื้อของในมินิมาร์ท เวลาถามๆ ว่าเงินเหลือเท่าไหร่กัน มันเลยไม่เท่ากันสักที
วันที่เกิดเรื่องคือวันที่ 5 ของการเที่ยวของเราค่ะ ซึ่งวันถัดมาเราจะกลับไทยกันแล้ว เลยตกลงกันว่าจะไปซื้อของเก็บตกพวกเครื่องสำอางต่างๆ กันที่เมียงดง เพราะช็อปเครื่องสำอางที่นั่นมีเยอะที่สุด เรามาถึงเมียงดงเวลาสองทุ่มนิดๆ เดินออกมาตรงทางออกอีกด้านที่ไม่ใช่ฝั่ง underground shopping ก็ติ๊ดบัตรออกจากสถานีตามปกติ
ด้วยความที่เราเป็นคนเดินเร็ว เดินนำแทบตลอดทริป เราก็เดินเลยไปหาทางออก แต่เพื่อนด้านหลังเรียกเราไว้ พอเดินกลับไปก็เห็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากช่องขายตั๋ว คุยกับพี่ A บอกว่าคุณทำผิด คุณต้องจ่ายค่าปรับ (คุยกันด้วยภาษาอังกฤษนะคะ) พวกเราทุกคนก็งงกัน งงจริงๆ ค่ะ ไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อน เราก็ถามว่ามีอะไรหรอ เกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่ ญ คนนั้นบอกว่าพี่ A ใช้บัตรผิดประเภท เป็นบัตรของเยาวชน (อายุไม่เกิน 18 ปี) ซึ่งบอกเลยว่าในทริปเราไม่มีใครอายุต่ำกว่า 18 แน่นอน เค้าบอกว่าคุณใช้บัตรผิดนะ คุณต้องจ่ายค่าปรับ 30 เท่า เอาแต่พูดแบบนี้อย่างเดียว แล้วก็ชี้ให้เราดูป้ายที่มีในสถานี ซึ่งระบุเป็นภาษาอังกฤษและเกาหลีบอกว่าถ้าหากใช้บัตรผิด มีโทษต้องปรับ 30 เท่า
เขาถามเราว่าซื้อบัตรมาจากที่ไหน เราก็บอกว่าจากร้านมินิมาร์ทในสถานีม.ฮงอิก มินิมาร์ทในเกาหลีจะมีสองร้านดังๆ ที่เห็นเยอะหน่อยคือ CU กับ GS25 เราจำไม่ได้ค่ะว่าซื้อจากร้านไหน แต่น่าจะเป็น CU
เราก็พยายามคุยกัน อธิบายให้เข้าใจว่าเราไม่รู้ว่านี่เป็นบัตรของเยาวชน บนบัตรไม่มีคำไหนที่บอกเลยว่าเป็นบัตรของเยาวชน มีแค่ตรงมุมซองใส ไม่ได้อยู่บนตัวบัตรด้วย ซึ่งพี่เราไม่แกะซองใสออก ซื้อมายังไงก็ใช้แบบนั้นเลย (ปกติมันติ๊ดได้เลย อยู่ในกระเป๋า ถ้าวางตรงจุด เครื่องก็หาเจอ ไม่ต้องหยิบออกมาทุกครั้ง)
นี่รูปประกอบค่ะ บัตรเหลืองขาว
คุยกันราวๆ ห้านาที เขาขอดูบัตรของทุกคนเลย ตอนดูเขาก็พลิกไปมา บอกว่าบัตรอื่นน่าจะเป็นบัตรของผู้ใหญ่ แต่บัตรนี้ (บัตรของพี่ A) เป็นบัตรของเยาวชน เจ้าหน้าที่ ญ สื่อสารได้ไม่เต็มร้อย จึงให้เราไปที่สถานี เราก็ถามว่าทำไมต้องไป พวกเราไม่ได้ตั้งใจผิดนะ เราไม่รู้ด้วยว่าเป็นบัตรเยาวชน แต่เขาไม่ยอม หยิบโทรศัพท์มาคุยภาษาเกาหลีกับใครสักคนแล้วก็บอกให้พวกเราไปที่สถานี สถานีกลางซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับทางออก 5-6 ตรงข้ามกับ underground shopping เลยค่ะ พอพวกเราเข้าไปก็มีเจ้าหน้าที่ผู้ชายหนึ่งคนมารับเรื่อง คนนี้พูดภาษาอังกฤษได้ดีและคล่องค่ะ
ในนั้นมีเจ้าหน้าที่สูงอายุอีกคนนั่งนับเงินอยู่ และเจ้าหน้าที่เด็กผู้ชายอีกคน คืออยากจะบอกว่าตอนนั้นเราหิวกันมาก ยังไม่ได้กินอะไรมาเลย แต่ก็มานั่งอยู่ เจ้าหน้าที่ ญ คุยกับเจ้าหน้าที่ ช ที่มารับเรื่องเหมือนจะอธิบายสถานการณ์ แล้วก็ขอดูบัตรของพวกเราทุกคน
เขาเอาบัตรไปทาบกันเครื่องอ่าน (เจ้าหน้าที่เองยังบอกไม่ได้เลยว่าบัตรไหนของเยาวชนของผู้ใหญ่ ต้องใช้เครื่องอ่าน)พร้อมกับบัตรเจ้าปัญหาที่เขาเห็นคือบัตรของพี่ A สักพักกลับมาพร้อมกระดาษใบยาวที่เป็น record ว่าเดินทางไปที่ไหนบ้าง แล้วก็บอกว่าบัตรสีเหลืองขาวสองใบนั่นเป็นบัตรเยาวชน แต่อีกสองคนไม่ใช่
อันนี้ภาพบนโต๊ะ จะมีบัตรเหลืองขาว 2 ใบ และบัตรผู้ใหญ่ธรรมดา 1 ใบที่คว่ำอยู่ กับใบ Record ที่เค้าปริ๊นออกมาว่าใช้เดินทางไปไหนมาบ้าง
จะเห็นเครื่องอ่านบัตรตรงมุมขวา บัตรสีดำ POP ที่วางอยู่บนนั้นเป็นบัตรของผู้ใหญ่ที่เพื่อนอีกคนซื้อมาพร้อมกันค่ะ เขาต้องเอาไปอ่านกับเครื่อง จะรู้ยอดเงินคงเหลือ และรู้ว่าเป็นบัตรเด็กหรือผู้ใหญ่
ใบ Record ที่ปริ๊นออกมา
เจ้าหน้าที่ก็บอกเราว่า กฎต้องเป็นกฎ คือคุณต้องจ่ายค่าปรับนะ เพราะถือว่าคุณโกงค่าโดยสาร คุณเดินทางไปทั้งหมด 18 เที่ยว มีค่าปรับเที่ยวละ 1350 x 31 = 41,850 วอน (คิดเป็นเงินไทยราวๆ 1255 บาท) ถ้าคิดตามจริงก็คือ 753,300 วอน (ราวๆ 22,590 บาท)
คราวนี้ก็เป็นเรื่องค่ะ พี่ A ที่โดนเรียก เขาก็ไม่ยอม ให้ไปเอาเรื่องกับคนขายให้เราสิ เขาไม่ยอมบอกว่าเป็นบัตรเด็ก ทำไมเราต้องมาจ่ายส่วนนี้ด้วย คือพวกเราเถียงกันขาดใจจริงๆ ว่าไม่รู้เลย คุยกันให้ไปที่ร้านนั้นที่สถานีม.ฮงอิกด้วยกันเลยด้วยซ้ำ ขอดูกล้องวงจรปิดในร้านได้เลยว่าเราไปซื้อบัตรและคนขายบอกอะไรรึเปล่าว่าเป็นบัตรเด็ก แต่เจ้าหน้า ช บอกว่าต่อให้ไปถามไปเอาเรื่อง ก็เอาเรื่องกับร้านค้าไม่ได้ เพราะไม่มี connection ต่อกัน
พวกเราก็ไม่ยอมสิคะ แบบเฮ้ยย... คุณอนุญาตให้เขาขายได้ตามสะดวก แต่พอเกิดเรื่องกลับเอาผิดไม่ได้ แล้วมาพูดกับเราว่า เขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเราจะโกหกมั้ยเรื่องที่ไม่รู้ว่าเป็นบัตรเด็ก พี่กับเพื่อนเราอีกคนก็ของขึ้นกันเลย เถียงกันยาวนานมาก เจ้าหน้าที่ ช คนนั้นบอกเองเลยนะว่าเกิดเหตุแบบนี้บ่อย ก็ใช่...บ่อยแล้วไง คุณไม่มีมาตรการมารองรับเลยหรอ ต้องให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในประเทศของคุณเป็นคนรับผิดชอบหรอ ในบัตรไม่มีภาษาอังกฤษระบุเลยว่าเป็นบัตรเด็ก direction use ที่เป็นภาษาอังกฤษก็ไม่มี ประเทศคุณก็ world wide นะ คนมาท่องเที่ยวเยอะ แต่การจัดการในเรื่องนี้แย่มาก คือบอกเลยว่าพวกเราฉุนกันสุดๆ พูดใส่เขาเลยว่านี่ไม่ใช่เราโกงคุณหรอก แต่พวกคุณต่างหากที่โกงเรา โกงนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย คนอื่นอาจจะยอมจ่าย แต่เราไม่ยอม
เจ้าหน้าที่ ช ก็ถอนใจ คือพูดอะไรไม่ได้ ได้แต่บอกว่าต้องทำตามกฎ เขาอนุโลมให้จ่ายค่าปรับแค่เที่ยวเดียวคือ 41,850 วอน เพราะเชื่อจริงๆ ว่าพวกเราไม่รู้ว่าเป็นบัตรเด็ก คิดค่าปรับแค่บัตรเดียวด้วย (จริงบัตรเหลืองขาวสองใบผิดทั้งคู่) เราก็ต่อรองกันว่า เอาแบบนี้...เราไม่ได้ตั้งใจทำผิด คุณก็ต้องทำตามกฎ งั้นก็เจอกันครึ่งทางด้วยการจ่ายราคาค่าโดยสารส่วนเกิน ซึ่งบัตรเด็กจะจ่ายเที่ยวละ 720 วอน (จากราคาเต็ม 1350 วอน) เราเลยขอจ่ายส่วนต่าง 630 วอน คูณด้วยจำนวน 18 เที่ยวที่เราใช้ไป
ฟังดูมันก็แฟร์ดีใช่มั้ยคะ แต่เจ้าหน้าที่ ช ไม่ยอมค่ะ บอกว่ากฎต้องเป็นกฎ ยังไงก็ต้องจ่ายอย่างน้อย 41,850 วอน พูดว่าจริงๆ ต้องจ่ายเจ็ดแสนกว่านะ แต่นี่เขาเข้าใจว่าเราไม่รู้ เลยลดมาปรับแค่นี้ พวกเราก็ไม่ยอมกันค่ะ พี่ A ขอคุยกับหัวหน้าของเขาด้วย แต่เจ้าหน้าที่ ช บอกว่าหัวหน้าไม่อยู่ ไปทานข้าว พักนึงก็มีเจ้าหน้าที่ ช สูงอายุ เหมือนจะเป็นหัวหน้าเดินมาคุยค่ะ เจ้าหน้าที่ ช ก็อธิบายเหตุการณ์เป็นภาษาเกาหลี แล้วก็กลับมาบอกเราว่าเขาพูดให้แล้ว แต่ว่าหัวหน้าไม่ยอม ต้องจ่าย คือบอกเลยว่านั่งอยู่ในนั้นตั้งแต่สองทุ่มจนถึงสี่ทุ่ม
ก็เถียงกันอยู่ร่วมๆ สองชั่วโมงนั่นแหละ เจ้าหน้าที่เขาก็คุยๆ แต่ก็ยังไม่ยอมกันอยู่ดี เราเลยติดต่อเจ้าของที่พักที่เป็นคนไทย ซึ่งเขามีแฟนเป็นคนเกาหลี เล่าเรื่องให้ฟัง เขาก็บอกว่าไม่เคยเจอเคสแบบนี้มาก่อนเลย เขาให้แฟนเขาที่เป็นคนเกาหลีโทรคุยกับเจ้าหน้าที่ ช คนนั้น คุยกันพักนึง ก็ยังไม่ลงตัว เจ้าหน้าที่ ช ยืนยันว่ายังไงก็ต้องจ่าย 41,850 วอนนี้ ไม่อย่างนั้นจะต้องไปที่สถานีตำรวจ และอาจต้องจ่ายค่าปรับเต็มคือเจ็ดแสนกว่า