เราเพิ่งอ่านเรื่องของผู้หญิงคนนึงมาจากเพจ www.girldaily.com
เธอเพิ่งรู้ตัวว่าติดเชื้อ HIV จากสามี เพราะสามีเธอไม่เคยบอกเรื่องที่เค้ามีเชื้อ HIV กับเธอเลย และที่ยิ่งไปกว่านั้น คือ เธอกำลังตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน ตอนนั้นเป็นวันที่เธอต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต เมื่อหมอให้เธอตัดสินใจ ว่าเธอจะเอาลูกออก หรือว่าจะให้ลูกเกิดมา สิ่งที่เธอบอกคือ
"ดาวทำไม่ลง สงสารเค้า ดาวจะเก็บเค้าไว้ เค้าคือลูกของดาว เค้าคือชีวิตของดาว"
เรื่องยาวหน่อยนะ แต่เราอ่านแล้วอินมาก เพราะเรามีลูกเหมือนกันมั้ง อ่านแล้วรู้สึกว่า ขนาดคนที่เค้าไม่พร้อม แถมยังเจอกับเรื่องร้ายๆขนาดนี้เค้ายังเข้มแข็ง เค้ายังอยากจะดูแลลูกให้ดีที่สุด เราอาจจะเล่าไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ มาอ่านกันเองเลยดีกว่าค่ะ อ่านแล้วคุณจะมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรื่องเล่าจากชีวิตจริงของเด็กผู้หญิงอายุ 22 ปีที่สามีปกปิดเรื่องที่ติดเชื้อ HIV จนมาแพร่เชื้อให้เธอด้วย มันจะไม่ดราม่าขนาดนี้ถ้าเธอไม่ได้รู้ตอนที่ท้องลูกได้ 3 เดือนแล้ว!!! กับการตัดสินใจครั้งสำคัญ เมื่อแพทย์ยื่นทางเลือกให้เพียงสอง จะเก็บเด็กไว้หรือจะเอาเด็กออก เธอจะเลือกอะไร!!!
ในดงกุหลาบมักมีหนามแหลม ในรอยยิ้มที่เบิกกว้างมักมีรอยยับจากการพับของชั้นเนื้อบนใบหน้าตามมาเสมอ ท่ามกลางความรักอันเป็นยอดปรารถนาก็ยังมีความทุกข์แฝงมาทุกคราอย่างไม่อาจเลี่ยง
สำหรับบางคน ความทุกข์คือการมีปากเสียงในการเลือกร้านสำหรับมื้อเย็น บางคนอาจเป็นเพียงแค่ขาดความเอาใจใส่ หลายคนอาจเป็นเรื่องของระยะทางที่ห่างไกล หลายคู่อาจบานปลายถึงใครคนอื่นที่เข้ามาเกี่ยวข้องในความสัมพันธ์ที่ควรจะหยุดอยู่แค่สองคนเท่านั้น แต่สำหรับน้องดาว (นามสุมมติ) ความทุกข์ที่มาในรูปแบบของปัญหาไม่ใช่เพียงแค่เรื่องความสัมพันธ์แบบคู่รักทั่วไป แต่เธอต้องกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ได้รับเชื้อ HIV จากสามี และลูกชายก็ยังอยู่ในระหว่างรอฟังผลจากหมอว่าจะติดเชื้อด้วยหรือไม่ ความฝันที่จะมีครอบครัวสุขสันต์เหมือนใครอื่นต้องพังลงตรงหน้า เพียงเพราะเขาคนนั้นที่เธอรักตั้งใจปิดบังความจริง
ดาวเจอกับต้น (นามสมมุติ) ครั้งแรกที่ตลาดแถวบ้าน ทั้งคู่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ต้นเป็นคนที่เข้ามาทำความรู้จักกับเธอ หลังจากนั้นก็ได้พัฒนาความสัมพันธ์จนถึงขั้นไปมาหาสู่กันตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไป ทั้งคู่จะนัดพบกันที่บ้านของดาวเสียเป็นส่วนใหญ่เพราะดาวมีร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทำงานหนักไม่ได้ จึงมีหน้าที่เฝ้าบ้านดูแลบ้านเป็นหลัก ด้วยความที่คุณแม่ทำงานข้างนอก และคุณน้าทำงานอยู่กรุงเทพ การคบหากันของทั้งคู่จึงแทบไม่ได้อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่เท่าใดนัก ดาวยอมรับว่าแทบจะเป็นการแอบคบกันก็ว่าได้ หลังจากคบกันได้สักพักดาวได้เกิดอุบัติเหตุรถล้ม ต้นก็มาดูแลที่โรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วงเป็นใย และนั่นทำให้ครอบครัวของดาวรู้จักเขาอย่างเป็นทางการและเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อแฟนของดาวอีกด้วย
หลังจากคบกันได้ 5 เดือน ทั้งสองก็ตกลงใจที่จะมาอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยา ไม่ได้มีการแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวอะไร มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือพอเป็นพิธีเท่านั้น ด้วยความที่เป็นคนต่างจังหวัดขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของความพร้อมของการมีครอบครัว ทำให้ทั้งคู่ไม่ได้พากันไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพ ตรวจเลือด ตรวจโรค อย่างที่คู่แต่งงานใหม่พึงกระทำ หลังจากอยู่กินกันได้ปีครึ่ง ดาวก็ตั้งท้องลูกคนแรก เธอตื่นเต้นและดีใจกับการท้องครั้งนี้มาก ความฝันที่จะมีครอบครัวกำลังจะเป็นจริงขึ้นมา พร้อมหน้าพร้อมตาด้วยตัวเอง สามี และลูกรัก
เมื่อท้องได้ 3 เดือน เธอก็ได้เดินทางไปฝากครรภ์กับโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ซึ่งหนึ่งในขั้นตอนนั้นมีการตรวจเลือดด้วย พอถึงวันที่ต้องไปฟังผลเลือด ตอนแรกเธอรู้สึกว่าไม่อยากไป โดยตั้งใจจะเบี้ยว แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจ นึกอย่างไรไม่รู้ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวออกไปโรงพยาบาล โดยมีคุณแม่เดินทางไปเป็นเพื่อน "ตอนเข้าไปพบกับคุณหมอตัวต่อตัว คุณหมอถามหนูว่า ถ้าหนูเป็นโรคร้ายแรงหนูจะรับได้ไหม” คำถามที่คุณหมอเกริ่นทำให้เธอใจหาย ดาวได้แต่ตระหนกระคนแปลกใจ ตอบหมอไปอย่างช้าๆว่า "ก็คงต้องรับให้ได้ ทำได้แต่ทำใจเท่านั้น” คุณหมอจึงบอกว่า "คุณได้รับเชื้อ HIV!!” วินาทีนั้นเหมือนโลกหยุดหมุน เธออึ้ง ตกใจ และไร้ซึ่งคำพูด ดาวบอกกับเราว่า "มันเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมา!!"
ด้วยความที่ไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตนี้จะต้องมาติดเชื้อ HIV คำพูดของหมอจึงทำให้เธอช็อคราวกับสติหลุดออกจากร่าง พอรู้สึกตัวอีกทีก็มีน้ำตาไหลอาบสองแก้ม ใจสั่นอย่างไม่อาจควบคุม สับสนไปหมดว่าจะทำยังไงดี เมื่อเธอออกมาจากห้องตรวจพร้อมกับการร้องไห้ไม่หยุดทำให้แม่พลอยตกใจไปด้วย จึงพยายามเค้นถามดาวว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเองก็ไม่อยากบอกแม่ เพราะกลัวแม่คิดมาก กลัวแม่เสียใจ กลัวแม่โกรธ มันหลากหลายอารมณ์ไปหมด พูดไม่ออกบอกไม่ถูก จึงได้แต่เงียบใส่พร้อมให้น้ำตาเป็นคำตอบ แต่เมื่อแม่รุกหนักเข้า จึงต้องยอมบอก แต่สิ่งที่แม่ตอบคือ "ต้องสู้ เรายังมีโอกาสต่อสู้ อย่ายอมแพ้ เกิดแล้วก็ต้องแก้ปัญหากันไป ไม่เป็นไรนะลูก อย่ามายอมแพ้กับเรื่องแค่นี้!!!”
ทันทีที่กลับถึงบ้าน ดาวก็ทะเลาะกับสามีของเธอเรื่องการติดเชื้อ HIV ฝ่ายชายปฏิเสธท่าเดียวว่าไม่ได้เป็น เมื่อเธอขอร้องให้เขาไปรับการตรวจอีกครั้ง เขาก็ยืนยันว่าไม่ได้เป็นจริงๆ ตรวจแล้ว และไม่มีเชื้อ แต่เมื่อคุณแม่ของดาวไปสอบถามจากทางพ่อแม่ของต้น จึงได้ความว่า ต้นติดเชื้อ HIV มา 3 ปี แล้ว ตอนก่อนจะมาอยู่กินกับดาวทางบ้านก็ให้มาแจ้งแล้ว แต่ต้นเลือกที่จะไม่เล่า "เค้าตั้งใจปกปิดหนู เค้าไม่ได้รักหนู ถ้าเค้ารักหนูเค้าต้องบอกหนูทุกอย่างแล้ว แต่นี่เค้าไม่บอก เค้าไม่สนเลยด้วยซ้ำว่าหนูจะติดเชื้อหรือเปล่า” น้ำเสียงที่เจือความเจ็บปวดภายในใจถูกเล่าพร้อมสายตาที่เลื่อนลอยไกลออกไปนอกหน้าต่าง หลังจากนั้นดาวก็บังคับให้ต้นไปตรวจจนได้ เมื่อผลออกมาคุณหมอก็แจ้งกับดาวว่า ต้นเป็นคนเอาเชื้อมาแพร่ให้เธอจริง ความเสียใจกระหน่ำเข้าใส่อีกระลอก ผู้ชายที่เธอรักที่สุด พ่อของลูกในท้อง คือคนที่ทำให้เธอต้องติดเชื้อ HIV นั่นเอง!!
กระนั้น กำลังใจจากคุณแม่ก็ยังถ่ายทอดมายังดาวได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อต้องไปโรงพยาบาลอีกครั้ง คุณหมอมีให้ดาวเลือกสองทาง หนึ่ง คือเก็บเด็กไว้ สอง คือเอาเด็กออก เพราะมีโอกาสที่ลูกในครรภ์จะติดเชื้อ HIV ด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถตรวจว่าเด็กติดเชื้อหรือไม่ จัดเป็นการตัดสินใจบนความเสี่ยงที่เป็นไปได้แบบครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว แม้ร่างกายเธอจะอ่อนแอ แต่จิตใจของดาวนั้นเข้มแข็งจนน่ายกย่อง หากเป็นคนอื่นคงกลัวไปต่างๆนานา ต้องคิดมาก ต้องชั่งใจให้น้ำหนักกับความเป็นไปได้ แต่สิ่งเดียวที่ดาวคิดคือ ดาวไม่ทำ เธอบอกกับเราว่า "ดาวทำไม่ลง สงสารเค้า ดาวจะเก็บเค้าไว้ เค้าคือลูกของดาว เค้าคือชีวิตของดาว" น้ำเสียงเรียบๆ เบาๆ ที่แสดงออกถึงความเหนื่อยล้าจากปัญหาที่ถาโถม ทว่าหนักแน่นด้วยเชื่อในความคิดของตัวเอง ทำเอาเราอึ้งในความเข้มแข็งที่มีอยู่ภายในร่างเล็กๆ ตรงหน้าอย่างเป็นที่สุด
หลังคลอด ลูกของดาวแข็งแรงปกติดี เพราะน้องได้รับยาต้านสองช่วง ช่วงหนึ่งคือตอนที่อยู่ในท้อง และอีกช่วงคือหลังคลอดตลอด 1 เดือน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ เธอต้องระวังตัวมากขึ้น ต้องกินยาให้ตรงเวลา ต้องระวังเรื่องเลือดด้วย ที่บ้านก็ยังกอดยังหอมดาวเป็นปกติ เพราะทุกคนรู้ว่า HIV ไม่สามารถติดทางลมหายใจได้ ถ้าจะติดทางน้ำลายก็ต้องกินเป็นลิตร ดาวได้เรียนรู้ว่าการใช้ช้อนกลาง ไม่เพียงแต่เป็นความรับผิดชอบต่อสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันดูแลตัวเองด้วย เพราะเชื้อ HIV ทำให้ร่างกายของเธอเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง การติดเชื้อโรคเล็กๆ น้อยๆ เช่นหวัดจากผู้อื่นอาจทำให้ส่งผลต่อการใช้ยาต้านหรือร่างกายทรุดมากขึ้นก็เป็นได้ ความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ทำให้เธอไม่รู้สึกว่าการติดเชื้อเป็นเรื่องลำบากอะไรนัก แต่สำหรับเรื่องนี้ทางบ้านตัดสินใจที่จะไม่บอกคนทั่วไปโดยเฉพาะคนในละแวกบ้าน เพราะในสังคมต่างจังหวัดนั้นยังไม่เข้าถึงความรู้ในเรื่องของการติดเชื้อ HIV ที่แท้จริง เกรงว่าจะโดนสายตารังเกียจและปฏิกิริยาที่ไม่ดี และนั่นคงทำให้ใช้ชีวิตยากขึ้นด้วย
ตอนนี้ฝ่ายชายอาการทรุดหนัก นอนป่วยอยู่ในบ้านของดาว ซึ่งนอกจากต้องดูแลตัวเอง ดูแลลูกแล้ว ดาวยังต้องคอยดูแลต้นด้วย เมื่อเราถามว่า ยังรักเขาอยู่ไหม เธอพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ว่า "ก็รักค่ะ ... แต่น้อยลง” เมื่อถามว่า ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เคียดแค้นที่เขาเอาเชื้อมาติดเราเหรอ ที่สำคัญยังมาเป็นภาระให้เราดูแลอีก เธอตอบแบบไม่ได้คิดอะไรว่า "ที่บ้านไม่มีใครอยากเห็นหน้าเค้าเลยค่ะ อยากให้ไล่ออกไปจากบ้านเลย แต่หนูสงสารเค้าค่ะ มันไม่ได้เป็นภาระอะไร หนูสงสารลูกด้วย อยากให้ลูกมีพ่อ ถ้าเค้าเสีย หนูก็คงเสียใจ ยังไงเค้าก็พ่อของลูก หนูคิดแค่นี้” ความเดียงสาที่ถ่ายทอดออกมาแบบซื่อๆ นี้ทำให้เราต้องอึ้งอีกครั้ง ดาวไม่ได้บอกว่าตัวเองว่าเป็นนางเอกที่ถูกกระทำ เธอไม่ได้พยายามฉายภาพของแม่พระที่จิตใจสูงส่งแต่อย่างใด ใช่ เธอติดเชื้อ HIV จากสามี และลูกก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเป็นยังไง แต่ก็ใช่อีกนั่นแหละ ที่เธอก็สงสารเขา และลูกของเธอก็คงต้องการพ่อเหมือนเด็กทั่วๆ ไป
"หนูเคยคิดจะฆ่าตัวตายด้วยนะ แต่เป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ เกิดขึ้นตอนที่ทะเลาะกับต้นหลังจากรู้เรื่องติดเชื้อ แต่ก็แค่ชั่ววูบจริงๆ คุณตาบอกว่า ไม่ว่าวันใดวันนึง ก็ต้องมีวันจาก ที่เราทำได้ก็แค่ทำใจ หนูคิดตลอดว่า จะอยู่กับลูกได้นานแค่ไหนนะ กังวล แต่ก็พยายามไม่คิดถึงมัน คิดอย่างเดียวว่า ไม่ได้ หนูจะต้องอยู่กับลูก ดูแลลูก เพื่ออนาคตของลูก"
... ก็แค่สู้ และมีชีวิตอยู่ต่อไป แค่นั้น
เข้าไปอ่านจากในเพจโดยตรงก็ได้ค่ะ มีคลิปด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.girldaily.com/health/health-tips/1003811/
จุดประสงค์ที่เค้านำเรื่องราวนี้มานำเสนอก็เพื่อสร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับเชื้อ HIV ให้คนทั่วไปค่ะ
ท้ายบทความบอกไว้ว่า ..
" คุณรู้หรือไม่ ว่าเชื้อเอชไอวีไม่ใช่โรคเอดส์ และการหายใจร่วมกันกับคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้คุณติดเชื้อไปด้วย (มิเช่นนั้นคนคงติดกันทั้งโลกแล้วล่ะค่ะ) แน่นอนว่าคนในสังคมส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก โครงการ The Giver Project #2 โดยคุณเกรซ ล้อบุณยารักษ์ และคุณแจน ศิรนุช โรจนเสถียร นี้จึงต้องการสร้างความเข้าใจในผู้ติดเชื้อ HIV พร้อมสื่อสารไปยังสังคมถึงการปฏิบัติตัวต่อผู้มีเชื้อ ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ต่อเนื่องจากโครงการ The Giver Project #1 รวมน้ำใจช่วยวัดพระบาทน้ำพุ "
เห็นว่าเป็นเรื่องที่ให้แง่คิดดีๆ จึงอยากนำมาแบ่งปันกันนะคะ
.. ก็แค่สู้ และมีชีวิตอยู่ต่อไป แค่นั้น ..
"หมอถามหนูว่าจะเก็บเด็กไว้ หรือจะเอาเด็กออก" จากชีวิตจริงของผู้หญิงที่ติดเชื้อ HIV จากสามี และเพิ่งรู้ว่ากำลังจะมีลูก
เธอเพิ่งรู้ตัวว่าติดเชื้อ HIV จากสามี เพราะสามีเธอไม่เคยบอกเรื่องที่เค้ามีเชื้อ HIV กับเธอเลย และที่ยิ่งไปกว่านั้น คือ เธอกำลังตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน ตอนนั้นเป็นวันที่เธอต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต เมื่อหมอให้เธอตัดสินใจ ว่าเธอจะเอาลูกออก หรือว่าจะให้ลูกเกิดมา สิ่งที่เธอบอกคือ
"ดาวทำไม่ลง สงสารเค้า ดาวจะเก็บเค้าไว้ เค้าคือลูกของดาว เค้าคือชีวิตของดาว"
เรื่องยาวหน่อยนะ แต่เราอ่านแล้วอินมาก เพราะเรามีลูกเหมือนกันมั้ง อ่านแล้วรู้สึกว่า ขนาดคนที่เค้าไม่พร้อม แถมยังเจอกับเรื่องร้ายๆขนาดนี้เค้ายังเข้มแข็ง เค้ายังอยากจะดูแลลูกให้ดีที่สุด เราอาจจะเล่าไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ มาอ่านกันเองเลยดีกว่าค่ะ อ่านแล้วคุณจะมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เข้าไปอ่านจากในเพจโดยตรงก็ได้ค่ะ มีคลิปด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จุดประสงค์ที่เค้านำเรื่องราวนี้มานำเสนอก็เพื่อสร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับเชื้อ HIV ให้คนทั่วไปค่ะ
ท้ายบทความบอกไว้ว่า ..
" คุณรู้หรือไม่ ว่าเชื้อเอชไอวีไม่ใช่โรคเอดส์ และการหายใจร่วมกันกับคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้คุณติดเชื้อไปด้วย (มิเช่นนั้นคนคงติดกันทั้งโลกแล้วล่ะค่ะ) แน่นอนว่าคนในสังคมส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก โครงการ The Giver Project #2 โดยคุณเกรซ ล้อบุณยารักษ์ และคุณแจน ศิรนุช โรจนเสถียร นี้จึงต้องการสร้างความเข้าใจในผู้ติดเชื้อ HIV พร้อมสื่อสารไปยังสังคมถึงการปฏิบัติตัวต่อผู้มีเชื้อ ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ต่อเนื่องจากโครงการ The Giver Project #1 รวมน้ำใจช่วยวัดพระบาทน้ำพุ "
เห็นว่าเป็นเรื่องที่ให้แง่คิดดีๆ จึงอยากนำมาแบ่งปันกันนะคะ
.. ก็แค่สู้ และมีชีวิตอยู่ต่อไป แค่นั้น ..