++ ข้อคิดปิดท้าย อำลา “ปดิวรัดา” ++

ปดิวรัดาจบแล้ว นานๆ ทีจะได้ดูละครที่เขียนบทได้ดีแบบนี้ เลยอยากจะขอสรุปข้อคิดที่ได้ในสองสามตอนสุดท้าย

1. ปดิวรัดาคือผู้หญิงที่เห็นคุณค่าของตัวเอง

บทของรินสมเป็นปดิวรัดาดังชื่อละครชัดแจ้งอยู่แล้ว ในกระทู้นี้เลยอยากจะขอยกให้ดูตัวอย่างอีกสองสาว

หลังจากบารนีหย่าร้างกับนายพนิชแล้วก็ออกตระเวนราตรี กินเหล้าเพื่อหนีทุกข์ โดยมีพี่อรุณคอยดูแลใกล้ชิด
จนเกือบจะทำอะไรเกินเลยความเป็นเพื่อนบ้านที่รักและหวังดีต่อกัน ถ้าเป็นละครเรื่องอื่นคงจับคู่ให้เสร็จสรรพ
ไหนๆ ก็อกหักทั้งคู่แล้ว อย่างกระนั้นเลยบารนี เอาคนใกล้ตัวนี่แหละ...
แต่เมื่อจมในความทุกข์ถึงที่สุด บารนีก็ตระหนักได้ว่าตัวเองยังมีความสามารถ ไม่ได้พิกลพิการ ทำงานหาเลี้ยงตัวได้
มองเห็นคุณค่าของตัวเอง ไม่ต้องไปจับคู่กับใครเพียงเพราะความเหงาและทั้งๆ ที่ไม่ได้รัก

อีกตัวอย่างคือบุรณี เมื่อตัวเองมุ่งมั่นที่จะทำตามแผนการศึกษา ก็เป็นฝ่ายตัดใจจากชรัตน์ ตั้งใจเรียนให้จบ
ปล่อยให้ชรัตน์ไปหาคำตอบว่าเธอมีค่ามากพอที่เขาจะยอมรอให้กลับมาแต่งงานด้วยหรือเปล่า
แนวคิดของผู้หญิงที่เห็นคุณค่าในตัวเองโดยไม่ต้องคอยให้คนอื่นมาการันตี เราว่าร่วมสมัยดี
ใครที่คิดว่า “ปดิวรัดา” คือหญิงสาวที่ได้แต่ยอมๆๆ แนะนำให้กลับไปดูตั้งแต่ต้น แล้วจะเห็นว่าสามสาวบ้านบำรุงประชากิจสตรองขนาดไหน



2. คาถาชีวิตคู่ “หนักแน่น เข้าใจ และเชื่อใจ”

ละครเรื่องนี้เปิดฉากด้วยการแต่งงาน ประเด็นละเอียดอ่อนของชีวิตคู่จึงถูกทยอยใส่เข้ามาเป็นบททดสอบศรัณย์และริน เริ่มจากปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ไล่ระดับความเข้มข้นไปจนถึงเรื่องเข้าใจผิดใหญ่ๆ  

เรื่องความภักดีต่อครอบครัวและการเห็นแก่ประโยชน์ชาติ

พล็อตเสียสละตัวเองมาแต่งงานเพื่อช่วยครอบครัวเป็นพล็อตคลาสสิกของนิยายไทยยุคเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว แต่จุดที่แตกต่างคือ
แม้ตอนแรกรินจะเลือกช่วยบ้านบำรุงฯ ด้วยการปิดบังศรัณย์อยู่เกือบปี แต่เมื่อถึงคราวต้องเลือกระหว่างช่วยสามีของน้องสาวทุจริตโกงชาติ
กับยึดมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง รินกลับเลือกอย่างหลัง ตลอดเวลาที่ผ่านมารินรู้ซึ้งแล้วว่าศรัณย์เป็นข้าราชการซื่อตรงย่อมไม่ทำเรื่องทุจริต
แต่อีกส่วนหนึ่งเพราะรินเองก็ “มีใจเดียว” กับศรัณย์ที่รังเกียจการคดโกง ความเข้าอกเข้าใจแบบนี้คุณหญิงแก้วใช้คำว่า “สมศีลา” (ศีลเสมอกัน) นั่นเอง สมัยนี้มีคนไม่น้อยเห็นแก่ผลประโยชน์ของพี่น้องเพื่อนฝูง มากกว่าผลประโยชน์ของส่วนรวม ประเด็นนี้น่าจะช่วยสะกิดให้คนดูได้ฉุกคิด

ปมความสัมพันธ์ระหว่างศรัณย์ ดวงสวาท และริน

เรื่องนี้วางบทไว้ให้ศรัณย์อยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกตลอดทั้งเรื่อง เพราะตามพื้นหลังที่ปูมา ดวงสวาทไม่ใช่แค่ “ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน”
แต่เป็น “เพื่อนที่คบหากันมาสิบปี” ตั้งแต่ช่วงที่ศรัณย์ฐานะตกต่ำก่อนที่ต่อมาจะเป็นคนรักอีกสิบปี ถึงขั้นเคยหมายมั่นไว้ว่าจะแต่งงานกัน
จึงไม่แปลกหากศรัณย์จะไม่หักหาญน้ำใจดวงสวาท ตรงนี้เองที่ทำเอาคนดูพากันขัดใจ แต่การที่ศรัณย์ Keep Character แบบนี้จนถึงตอนจบ
โดยเฉพาะในยามที่ดวงสวาทไม่เหลือใคร กลับแสดงให้เห็นความเป็น “เพื่อนแท้” ของศรัณย์  
ดีที่รินหนักแน่นพอ แม้บารนีจะกล่าวหาว่าศรัณย์กลับไปหาคนรักเก่า และลึกๆ ตัวเองก็รู้สึกน้อยใจ แต่รินก็เข้าใจเมื่อศรัณย์ต้องอยู่ดูแลดวงสวาทในยามยาก

หันมามองมาอีกด้าน ในเรื่องการทำหน้าที่สามี หลังแต่งงานศรัณย์เองก็ยอมรินหลายเรื่องจนคนดูพากันแซวว่าปลัดมีแววเป็น#พ่อบ้านใจกล้า
และไม่เคยปล่อยใจไปกับดวงสวาทแม้จะมีโอกาส พอถูกดวงรุกหนักก็เลือกจะแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการไปนอนที่อำเภอ
การกระทำหลายอย่างเมื่ออยู่กับรินบ่งบอกเสมอว่ามีใจให้ริน สิบกว่าตอนที่ผ่านมา เราถึงได้ฟินไปกับสารพัดวิธีบอกรักเมียหวานเจี๊ยบสไตล์ปลัด
คงไม่ต้องทวนซ้ำ เอาเข้าจริงสองผัวเมียเขาก็ผลัดกันง้อน่ะแหละ ช่วงแรกศรัณย์ง้อริน ช่วงหลังค่อยสลับให้รินง้อบ้าง  

จุดไคลแม็กซ์คือบททดสอบเรื่องหน้าที่และความแตกต่างของฐานะ

นิยายยุคเก่าหลายเรื่องมักมีพล็อตที่พระ-นางฐานะต่างกันจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเสียสละ มีน้อยครั้งที่ฝ่ายหญิงจะฐานะสูงกว่า
ซึ่งมักจะต้องจบลงด้วยการสละสิทธิทายาทเพื่อคนรัก  แต่ใน “ปดิวรัดา” แม้รินอยากจะสละสิทธิในการเป็นระพิพันธ์
แต่เมื่อพ่อยืนยันว่าต้องการชดเชยให้สำหรับเวลาที่ผ่านมา รินก็ยอมตาม แยกกันอยู่กับศรัณย์ชั่วคราวเพื่อ “ทำหน้าที่ลูก”
เรียนรู้งานบริษัทพร้อมกับดูแลพ่อที่ป่วย ฝ่ายศรัณย์ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เนื่องจากตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่กำลังถูกเสือขาวหมายหัว
ไม่ต้องการดึงรินให้มาร่วมเสี่ยงอันตรายไปด้วย (เสือขาวเคยขู่อาฆาตไว้ว่าจะฆ่าผู้หญิงของศรัณย์)
บวกกับตระหนักว่าเวลานี้ทั้งสองคนแตกต่างกันทั้ง “ฐานะและหน้าที่” จึงจำใจบอกเลิก เพื่อจะ “ทำหน้าที่ปลัด”
ปราบเสือโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง จนเมื่อเกิดเหตุบังเอิญให้ต้องผ่านความตายมาด้วยกัน ศรัณย์ประจักษ์แล้วว่ารินเป็นคนสำคัญ
จึงยอมทิ้งปมเจ็บปวดที่ฝังใจในวัยเด็กเพื่อกลับมาใช้ชีวิตร่วมกัน

Ep. 13 บีบหัวใจที่สุด เป็นการบอกลาทั้งที่ยังรัก เพราะอยากให้คนที่รักไปมีชีวิตที่ดีกว่า (ดูแล้วนึกถึงบท จุนฮา ในเรื่อง The Classic เลย)
ถ้าดูตามแคเรกเตอร์ของปลัด ไม่มีทางหรอกที่จะถามรินว่า “หล่อนจะยอมมาเสี่ยงชีวิตกับฉันมั้ย?” เพราะนั่นเท่ากับเป็นการบีบให้รินเป็นฝ่ายบอกรักหรือบอกเลิกในสถานการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน สู้เป็นฝ่ายบอกเลิกแล้วให้คนที่เรารักได้อยู่ในที่ที่ปลอดภัยอย่างมีสง่าราศีจะดีกว่า

3. คนทุกคนมีทั้งด้านร้ายและดี แต่สิ่งที่ทำให้คนเราต่างกันคือ “สำนึก”

แม้แต่ตัวละครฝ่ายดีก็ยังมีข้อบกพร่อง ไม่ได้ดีพร้อม ต่อให้เป็นคนที่มีสำนึกดี ก็ยังมี “ความเป็นมนุษย์” ที่ซับซ้อน ทั้งความหลงผิด ลังเลไม่แน่ใจ
หรือยึดมั่นถือมั่นตามธรรมดาปุถุชน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ เมื่อหลงผิดไปแล้วต้องรู้จักกลับตัว

ท่านเจ้าคุณบำรุงประชากิจ...เคยลุ่มหลงหญิงอื่น แต่อาศัยความรักและการให้อภัยของคุณหญิงเพ็ญแข
สุดท้ายก็สำนึกได้และกลับมาสร้างครอบครัว สร้างความรักขึ้นใหม่

บารนี...ถึงจะรักพี่น้อง รังเกียจการคดโกง แต่เมื่อกลัวว่าสามีจะทอดทิ้งก็บากหน้าไปขอรินให้ช่วยทำเรื่องผิด เมื่อรินไม่ช่วยก็โกรธ
ตัดพ้อรุนแรงจนรินสะเทือนใจ  พอพณิชทอดทิ้งไป บารนีทำใจไม่ได้ กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย แต่ในที่สุดก็ปลงตก คิดได้
แล้วพาตัวเองกลับมาสู่หนทางที่ถูกต้อง (ขอชมดาว-พิมพ์ทอง เล่นได้สุดมากตอนตัดขาดจากพณิช กรีดร้องออกมาเหมือนใจจะขาดได้เรียลมากๆ)



4. มือที่สามเป็นทั้งมารผจญชีวิตคู่ และกระจกสะท้อนข้อบกพร่องของตัวเรา

ดวงสวาท...ถึงจะเป็นตัวร้าย แต่เราฟังบางคำแล้วกลับต้องพยักหน้าเห็นด้วยกับหลายๆ คำพูดของนาง เพราะมัน “เป็นความจริง”
วาทะเชือดเฉือนหลายๆ ครั้งชวนให้คิดตาม ไม่ได้ไร้เหตุผลไปซะทั้งหมด
ยกตัวอย่างที่ดวงสวาทบอกคุณหญิงแก้วว่า “น้ำพริกลงเรือมันคาวไม่พอ” ก็มีส่วนจริง
ถ้ารินเก่งแต่เรื่องในครัวแต่ละเลยเรื่องนี้ ชีวิตครอบครัวก็พังได้เหมือนกัน  อีกตอนในฉากตัดสลับสองความคิดที่สวนทางกันของพระ-นาง
ศรัณย์บอกดวงว่า “รินจะไม่มีวันเปลี่ยน  เขาเข้าใจผมดีที่สุด เราเกิดมาเพื่อกันและกัน”
ดวงตอบกลับว่า “ไอ้ประโยคที่สวยหรูนี่แหละ...ที่มันหลอกลวงเรา” ตอนนั้นศรัณย์สวมแต่แว่นสีชมพู คิดไปเองว่ารินน่าจะเข้าใจเขาทุกเรื่อง
ส่วนรินก็คิดแต่ว่าสิ่งที่ตัวเองทำคือความหวังดี จึงทำไปโดยพลการ เพราะต่างฝ่ายต่างยังไม่รู้จักกันดีพอ
  
ถ้ามองดวงสวาทเพียงผิวเผิน อาจเห็นแค่นางร้ายที่พยายามจะพรากศรัณย์ไปจากริน
แต่ถ้ามองให้ลึก ดวงสวาทก็เป็นกระจกสะท้อนให้ศรัณย์และรินได้เห็นว่าต่างฝ่ายต่างยังมีข้อบกพร่องอะไรบ้างที่ต้องพยายามแก้ไขเพื่อให้ชีวิตคู่ไปรอด  

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่