แชร์ประสบการณ์เรียก"ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม"และการร้องเรียนคปภ.

เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์หลายๆครั้งที่รถเราเป็นฝ่ายถูกชนเราอาจจะคิดว่าแค่เคลมประกันแล้วก็จบเท่านั้น
ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยคิดแบบนั้น จนได้รับข้อมูลจากบุคคลในแวดวงประกันภัยและอาศัยหาข้อมูลจากในเว็บต่างๆ
ถึงรู้ว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุเราสามารถเรียก "ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม" จากบริษัทประกันของคู่กรณีได้ด้วย
[กระทู้อาจจะยาวหน่อยนะครับ แต่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อยครับ]

เคสของผม รถโดนชนเมื่อเดือนพฤศจิกายน2558 ผมก็ดำเนินการตามขั้นตอนโดยใช้หลักฐานดังนี้
1. ใบเคลมที่ออกโดยบริษัทประกันภัยของคู่กรณี
2. เอกสารการซ่อมและรับรถ (ตัวนี้สำคัญนะครับ มันจะเป็นใบที่ระบุวันเอารถเข้าและรับรถออกเอาไว้ แล้วอู่มักจะไม่ให้คุณเอง
    เหมือนรู้ๆกันกับบริษัทประกันดังนั้นคุณต้องขอเองนะ)
3. สำเนาทะเบียนรถ
4. สำเนากรมธรรม์ประกันรถยนต์ของเรา
5. สำเนาบัตรประชาชน

เอกสารทั้งหมดนั้นแนบไปพร้อมกับใบที่บอกถึงข้อเรียกร้องและความเดือดร้อนต่างๆของเราเมื่อไม่มีรถใช้ระหว่างซ่อม
จริงๆตรงส่วนนี้ก็เขียนไปเป็นพิธีแหละครับเพราะเอาเข้าจริง บริษัทเขาไม่มาสนใจที่เราเรียกร้องเท่าไหร่หรอก
ในกรณีของผม ผมก็เขียนไปเผื่อๆเลยบรรยายเหตุการณ์ว่ารถชนยังไงวันที่เท่าไหร่ ความเสียหายมีอะไรบ้าง
เข้าซ่อมวันไหนรับออกวันไหนรวมซ่อมกี่วัน แล้วก็เขียนไปว่าเราทำงานอะไรต้องใช้รถวันละกี่กิโล ระหว่างที่ไม่มีรถเราต้องเดินทางยังไง
แล้วก็จบด้วยข้อเรียกร้อง ซึ่งผมเรียกร้องไปดังนี้ครับ

1. ค่าขาดประโยชน์จาการใช้รถ 1,000 บาทต่อวัน เป็นระยะเวลา10วัน รวม 10,000 บาท
2. ค่าเสื่อมสภาพรถจากอุบัติเหตุ 15,000 บาท
3. ค่าเดินทางและค่าโทรศัพท์ในการติดต่อประสานงานกับบริษัทประกันและอู่รถยนต์ต่างๆ 1,000 บาท
4. การหยุดงาน ทำให้สูญเสียรายได้ ขอเรียกค่าเสียหายที่ 3,000 บาท
รวมทั้งสิ้น 29,000 บาท (ดูต่อไปว่าจะได้เท่าไหร่)

จากนั้นก็โทรไปบริษัทประกันของคู่กรณีแจ้งไปเลยว่าจะขอเรียกร้อง "ค่าขาดประโยชน์จาการใช้รถระหว่างซ่อม"
บางบริษัทจะให้เราFaxไป แต่ของผมเขาให้ส่งไปรษณีย์ไป ผมเลยส่งเป็นแบบลงทะเบียนเพื่อจะได้มีหลักญานวันที่เซ็นต์รับเอกสารไว้

หลังจากนั้นบริษัทประกันคู่กรณีก็ดึงเวลา บ่ายเบี่ยงมานานมาก บอกว่าจะโทรมาก็ไม่โทร บอกว่าอีกอาทิตย์ก็ลากไปเป็นเดือน
จนล่วงเลยมา2เดือน ผมโทรกลับไปอีกครั้งพร้อมได้รับคำตอบจากบริษัทประกันว่าจะชดเชยให้ทั้งหมด 1,500 บาท
อ่านไม่ผิดครับหนึ่งพันห้าร้อยบาทถ้วน
ผม : คุณเอาหลักเกณฑ์พิจารณา 1,500 บาทนี้ยังไงครับ
ประกันคู่กรณี : เราคำนวนจากความเสียหายจริง ความเสียหายแบบนั้นน่าจะใช้เวลาซ่อม5วันเสร็จ คิดให้วันละ 300 ก็เป็น1,500บาท
ผม : มีแบบนี้ด้วยเหรอ ถ้าคุณจะคิดกี่วันก็ได้ตามแบบของคุณผมจะต้องยื่นเอกสารระบุวันซ่อมและรับรถไปให้ด้วยทำไม
ประกันคู่กรณี : อันนั้นใช้เป็นหลักฐานเฉยๆว่ารถได้ส่งเข้าซ่อมจริง แล้วนี่เราก็ชดเชยตามหลักเกณฑ์ของคปภ.เราให้ได้เท่านี้
(ตรงนี้เป็นการกล่าวอ้างครับ ซึ่งหลายๆเคสก็จะโดนอ้างทั้งยกเลิกการเคลมแบบนี้ไปแล้ว ไม่มีจ่ายเงินแล้ว หรือเขาให้ได้แค่วันละร้อยสองร้อยหรือไม่ก็ตัดวันซ่อมเอาดื้อๆแบบที่ผมโดน)
ผม : แต่ผมไม่ได้ใช้รถ10วันเต็มๆ แล้วผมก็เอาเข้าอู่ที่มีcontractกับบริษัทคุณนะ คุณจะมาตัดเหลือ5วันแบบนี้ได้ยังไง

สรุปที่เขาขอเวลาไปคุยกับหัวหน้า ผมเลยบอกว่าอีก2วันจะโทรมาใหม่ พอถึงเวลาโทรไปปลายสายแจ้งว่าคนรับเรื่องลาป่วย
ก็เลยล่วงเลยมาอีกอาทิตย์นึง ผมก็ต้องโทรไปเองอีก

ผม : คุณN คุณบอกว่าจะโทรคุณไม่เคยติดต่อมาเลย
ประกันคู่กรณี : งานผมเยอะครับคุณต้องติดต่อเข้ามาเอง (อ้าว แล้วบอกจะโทรมาๆแล้วไม่โทรมาตลอดนั่นคือไร)
ผม : สรุปว่ายังไงบ้างครับที่ฝากไป
ประกันคู่กรณี : ให้ได้แค่ 5 วันครับ หัวหน้าให้เต็มที่ 2,500 บาท (ขยับขึ้นมาอีก 1,000 บาทจาก 1,500 บาทเดิม)
ผม : ผมไม่โอเคนะแบบนี้ คุณให้รอมาสองเดือนกว่าเพื่อเงิน2,500เนี่ยนะ
ประกันคู่กรณี : งั้นผมต้องคุยกับหัวหน้าอีกครั้ง แต่ก็คงได้เท่านี้จริงๆ

เข้าสู่ขั้นตอนร้องเรียนคปภ.
หลังวางสาย ผมเลยยื่นเรื่องร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัน(คปภ.)ทันที
เมื่อก่อนเราต้องไปยื่นเรื่องกันเองที่คปภ.ตรงรัชดา ไม่ไกลจากMRTลาดพร้าว แต่เดี๋ยวนี้ยื่นผ่านเว็บได้ครับโดยส่งไฟล์แนบไปเป็นไฟล์.pdf
ยื่นเรื่องได้ที่ http://www1.oic.or.th/th/OIC/OiC_request.php เราจะได้รับหมายเลขอ้างอิงมา

หลังยื่นเรื่องเสร็จก็รอครับ ระหว่างนั้นถ้าโทรเข้าคปภ.ก็จะไม่ได้คำตอบอะไรนอกจากให้รอจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อไปเอง
ผมรอไป2อาทิตย์ ก็มีเจ้าหน้าที่ติดต่อมา พูดจาดีมากเลยครับ เขานัดวันให้เราเข้าไปคุยกับที่คปภ.รัชดาเลย ผมก็ไปตามวันเวลานัด

วันนัดครั้งแรก ตัวแทนบริษัทประกันที่ผมเจอก็จะมาพูดข้อมูลมั่วๆที่ตัวเขาเองก็รู้อยู่แล้วว่ามั่ว ของผมก็โดน เช่น รถคุณซ่อม3วันเองหนิ,
คุณไม่มีใบส่งรถ, ตอนโทรเข้ามาคุณบอกคุณรับข้อตกลงแล้วหนิ เป็นต้น ซึ่งเขาก็มีข้อมูลอยู่แล้วเป็นเอกสารที่ผมได้ส่งไปทางไปรษณีย์
จากนั้นก็ไกล่เกลี่ยกัน เขาบอกเขาให้ได้ 2,000 บาท ผมบอกตอนคุยล่าสุดคุณบอก 2,500 อยู่เลยนะ มาที่นี่จะลดไปอีกได้ไง
เขาก็อ้างเรื่องอู่ซ่อมรถเอาไปซ่อมกะอู่ไหนมาก็ไม่รู้ แต่อู่ที่ผมไปซ่อมผมเช็คจากเว็บบริษัทเขาเองว่าเป็นอู่ในcontractของเขาเลยโต้กลับไป
เจ้าหน้าที่คปภ.ก็บอกว่า "ยิ่งถ้าเอาเข้าซ่อมในอู่ที่มีcontractกับบริษัท คุณไม่สามารถตัดวันหรืออ้างอะไรได้เลยนะครับ 10วันก็ต้อง10วัน"
(จุดนี้อยากให้ทุกคนเช็คอู่ก่อนนำเข้าซ่อมด้วยว่าเป็นอู่ในสัญญากับบริษัทประกันคู่กรณีหรือไม่ เขาจะได้ไม่สามารถอ้างได้)

พอมาถึงว่าต้อง10วัน เขาก็เลยเสนอมาที่ 3,000 บาทโดยอ้างว่าเต็มที่ก็ได้เท่านี้ ผมเลยแย้งไปว่า
ผม : ครั้งสุดท้ายทางโทรศัพท์คุณบอกได้เต็มที่วันละ500 คูณ5วัน เท่ากับ 2,500 บาท ดังนั้นถ้าตอนนี้เป็น 10 วันผมคิดว่าควรจะคิดจากฐานเดียวกัน
       ผมขอต่อรองสุดท้ายที่ 5,000 บาท (500 x 10 วัน)
หลังจากจบการต่อรองถ้าจบลงไม่ได้วันนี้เจ้าหน้าที่ก็จะออกหนังสือไว้ให้ [ผมแนบรูปมาให้ดูด้วยครับ] แล้วก็นัดครั้งหน้า
ซึ่งบริษัทประกันคู่กรณีผมลูกเล่นเยอะมากครับ Facepalm

ไกล่เกลี่ยรอบ2ที่คปภ.
วันไกล่เกลี่ยรอบ2มาถึงห่างกับครั้งแรก 1 อาทิตย์ระหว่างนั้นบริษัทประกันไม่มีการติดต่อมาเหมือนเดิม นัดกัน11โมง เขามาถึง12.15
โดยบอกว่าดูเวลานัดผิดเป็นบ่ายสาม แล้วก็ยืนยันตัวเลขเดิมว่าให้ได้เต็มที่ที่ 3,000 บาท

ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ถ้าเราไม่ยอม เราสามารถดำเนินการต่อได้ 2 ทาง
1. ยื่นเรื่องต่ออนุญาโตุลาการ
ใช้เวลาไม่นานเท่าศาล แต่เคสผมเจ้าหน้าที่บอกว่าผมต้องวางเงิน5,000บาท บริษัทประกันวาง15,000บาท นอกจากนี้ก็มีค่าธรรมเนียม,ค่าทนาย etc.
2. ศาล
อาจกินเวลานานเป็นปี แต่ค่าธรรมเนียมถูกกว่า

ตอนแรกผมอยากไปทางอนุญาโตตุลาการต่อ ไม่ใช่เพื่อเงินแต่เพื่อเล่นงานบริษัทประกัน ถ้าเขาบอกมาแต่เเรกแบบภายใน1-2อาทิตย์
หลังจากที่ผมยื่นเอกสารเข้าไปว่าได้เท่านี้ๆ ผมก็คงจบ แต่นี่ดึงเวลามา3เดือนแล้วมันไม่ใช่ แต่เจ้าหน้าที่คปภ.แนะนำให้หาทางจบดีกว่า
เพราะข้อเรียกร้องเราทุนมันน้อย สู้ไปก็คงไม่คุ้ม ประกอบกับเจอบริษัทที่ไม่มีธรรมาภิบาลเลยเอาจุดนี้มาเป็นเครื่องต่อรอง

จุดหักเห (แบบนี้ก็มีด้วย)
ระหว่างการไกล่เกลี่ยก็คุยออกนอกเรื่องกันไปจนวกมาพูดถึงการเรียนและการทำงานของผมซึ่งผมเรียนต่อPostgradอยู่ที่โรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งและทำงานPart-timeไปด้วย เท่านั้นเองครับ ท่าทางของตัวแทนบริษัทประกันคู่กรณีก็เปลี่ยนไปทันที และยอมต่อสายถึงหัวหน้าเพื่อต่อรองให้ แต่ก็กลับมาด้วยน้ำเสียงเชิงขอโทษว่าเจ้านายเพิ่มให้ได้แค่500บาทเป็น3,500 บาท และบอกกับผมว่า"ไม่บอกตั้งแต่ทีแรก" ผมงงเลยถามทั้งจากเจ้าหน้าที่คปภ.และบริษัทประกัน ได้ใจความว่า ถ้าคุณมีงานมีการมีตำแหน่งอะไรหน่อยคุณเขียนลงในใบเรียกร้องตอนแรกได้เลย(ซึ่งผมมองว่ามันออกจะตลกแล้วดูเหมือนคนเราไม่เท่ากันยังไงไม่รู้) แถมยังบอกให้แนบบัตรประจำตัวพนักงานหรือในกรณีผมก็คือบัตรของโรงพยาบาลเข้าไปในคำร้องด้วย ซึ่งจะทำให้การพิจารณามันง่ายขึ้นตั้งแต่แรก
FacepalmFacepalm

สรุป
ผมเลยทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่คปภ. ไม่ดำเนินการฟ้องร้องต่อและจบที่วันนั้นรับเงิน 3,500 บาท(จากตอนแรกที่ประกันเสนอมา 1,500 บาท) แต่ต้องมารับเงินวันหลังที่คปภ.นะ เพราะเรื่องผ่านคปภ.เข้ามาแล้วต้องรับเป็นขั้นเป็นตอน

------------------
ความรู้เพิ่มเติมที่ผมได้รับจากกรณีนี้

1. หากเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นอย่าลืมขอใบที่ระบุวันส่งซ่อมและรับรถกับอู่ตอนที่เราไปรับรถ (เป็นเอกสารสำคัญในการเรียกร้อง)
2. ถ้าเป็นไปได้ให้เอารถเข้าซ่อมกับอู่ที่มีcontractกับบริษัทประกันคู่กรณี สามารถเช็ครายชื่ออู่ได้จากเว็บไซต์ของบริษัทประกันนั้นๆ
3. บริษัทประกันแนะนำว่าตอนเรียกร้องให้เขียนไปเลยว่าเราเป็นใคร แนบบัตรประจำตัวไปด้วยเลยก็ดี (ผมว่ามันไม่แฟร์เลย) เศร้า
4. กรณีที่เช่ารถมาขับ ประกันอ้างว่าจะจ่ายให้จริงตามใบเสร็จโดยรถต้องเป็นรถในระดับไม่เกินจากรถของเราที่ซ่อมอยู่ ผมเลยแย้งไปว่ารถที่เข้าซ่อมของผมมันE-Class ถ้าผมเช่ามาขับคุณไม่จ่ายเป็นแสนเหรอ เขาก็ยังยืนยันว่าก็จะจ่ายให้แต่ผมไม่ใช้สิทธิ์เองผมเลยได้แค่หลักพัน แต่จากที่ผมคุยกับเจ้าหน้าที่คปภ.เขาบอกว่าถึงเช่ารถมาขับ ประกันก็จะบ่ายเบี่ยงอยู่ดี สุดท้ายคงไปจบที่อนุญาโตตุลาการหรือศาล แต่ก็เคยมีเคสมาแล้วที่ตัดสินให้บริษัทประกันต้องจ่ายค่าเช่ารถให้ครบเต็มจำนวนโดยรถที่เช่าต้องไม่เกินระดับเดียวกันกับรถของเราที่ซ่อม
    (ใครที่คิดจะเช่ารถใช้ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ค่อนข้างจะโอเคครับ)
5. ถ้ามีแนวโน้มจะคุยกับบริษัทประกันไม่รู้เรื่องแต่แรก ยื่นเรื่องเข้าคปภ.ผ่านทาง http://www1.oic.or.th/th/OIC/OiC_request.php  ได้เลย จะได้ไม่เสียเวลาครับ
6. ข้อเรียกร้องอื่นๆ มักไม่ได้รับการตอบรับโดยจะได้แค่ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ตามกฏหมายไม่มีrateขั้นต่ำ-สูง แต่มักจะได้ขั้นต่ำที่300บาทต่อวันและสูงสุดที่700บาทต่อวัน
7. เจ้าหน้าที่คปภ.แจ้งว่าค่าเสื่อมสภาพรถจากอุบัติเหตุ มักจะได้รับการพิจารณาเฉพาะอุบัติเหตุหนักๆ เช่น รถต้องตัดท้าย เป็นต้น
8. เมื่อก่อนจะเรียกร้องได้ง่ายกว่านี้ อาจเพราะคนรู้แนวทางนี้มีมากขึ้น บริษัทประกันเลยบีบมากขึ้นตามไปด้วย แต่ยังไงก็เป็นสิทธิ์ของเราครับ
9. เวลาคุยโทรศัพท์กับบริษัทประกันถ้าเป็นไปได้ให้อัดเสียงไว้ทุกครั้ง

หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับเพื่อนๆที่ใช้รถใช้ถนนเหมือนกันนะครับ ยิ้มอมยิ้ม03

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่