ความเกลียด:ขั้วตรงข้ามของความรัก

บทความโดย : น้อมเศียรเกล้า
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
-----------


เคยมีผู้ให้นิยามเรื่องความเกลียดไว้อย่างน่าสนใจว่า “ความเกลียดนี้น่าจะเป็นขั้วตรงข้ามของความรัก เพราะถ้าเมื่อไรเรามีความเกลียดในใจก็ไม่มีที่ว่างให้กับความรักและความปรารถนาดี เหมือนกับว่าจิตใจในตอนนั้นสูญเสียความสามารถในการที่จะรักและเมตตาไปชั่วขณะหนึ่ง”

นอกจากจะเสียความสามารถในการที่จะรักและเมตตาแล้ว ยังนำมาซึ่งความโกรธได้อีกด้วยเพราะความโกรธนั้นก็มีสาเหตุมาจากความเกลียดได้อีกประการหนึ่ง

ขึ้นชื่อว่าความเกลียด ก็ย่อมเหมือนเชื้อโรคร้ายที่อยู่ในใจ เพราะกัดกร่อนใจให้ห่างไกลจากความดีไปทุกขณะ จิตใจที่มีความเกลียด เป็นจิตใจที่ไม่สามารถจะให้ความรักความเมตตาได้ ทั้งยังทำให้เจ้าของเกิดแต่ความเร่าร้อน กระสับกระส่าย ทุรนทุราย เป็นจิตใจที่ไม่เกิดความปิติ หาความสงบไม่ได้ ทั้งยังคิดแต่จะเพ่งโทษผู้อื่น เพราะหาความดีของผู้อื่นไม่เจอ ฉะนั้น ปัญญาก็ไม่เกิด ความสุข ความสงบก็หาไม่ได้

หลายคนตั้งความรังเกียจต่อผู้อื่นเพราะคิดว่า บุคคลที่ตนรังเกียจสมควรที่จะได้รับโทษ นั่นก็คือ”ความเกลียด” นอกจากจะเกลียดแล้วยังหาวิธีการอีกต่างๆนานา เพื่อที่จะทำผู้ที่ตนรังเกียจรู้สึกเป็นทุกข์ ด้วยความรู้สึกที่สะใจ



แท้จริงแล้วบุคคลที่ตั้งความรังเกียจเองนั่นแหละ ที่จะได้ผลจากการตั้งความรังเกียจต่อผู้อื่นก่อนใคร นั่นก็คือความร้อนรนที่เกิดในใจตนเพราะกระแสของบาป

บาปเหมือนกับบุญอยู่อย่างหนึ่ง คือ เมื่อสั่งสมมากๆเข้า ก็กลายเป็นกระแส ที่ไม่มีอำนาจใดเข้าต้านทาน กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวย่อมมีพลังมาก มหาศาล กระแสบุญ กับกระแสบาป ก็มีกำลังมหาศาลเช่นนั้น

บางทีบุคคลที่ถูกเกลียดอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกเกลียด เขายังคงดำเนินชีวิตเป็นปรกติอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือบางทีบุคคลที่ถูกตั้งความรู้สึกเกลียดอาจจะรู้ตัวว่าถูกเกลียด แต่ก็ไม่ได้สนใจและไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร ก็เป็นได้กลายเป็น ว่าใครกันเล่าที่ได้รับความเสียหายจากการตั้งความรังเกียจ ?

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ใครๆ ตรวจตราด้วยจิตทั่วทุกทิศแล้ว หาได้พบผู้เป็นที่รักยิ่ง กว่าตนในที่ไหนๆ ไม่เลย” ดังนั้นไฉนเลยบุคคลควรจะทำร้ายตนที่ตนรักด้วยการสร้างความรังเกียจต่อผู้อื่น

เมื่อความเกลียดเกิดขึ้น ควรพิจารณาโทษของความเกลียดให้มาก ว่าส่งผลกระทบร้ายแรงต่อตัวเราเพียงใด อันที่จริงทำได้ไม่ยาก..เพราะทุกคนล้วนเคยผ่านความรู้สึกเกลียด และยังตัดไม่ขาดจากอารมณ์เกลียด

ความรู้สึกทั้งหลาย เช่น ความรัก ความโกรธ และความความเกลียดก็เช่นกัน เกิดขึ้นที่ใจของเรา ฉะนั้นจึงควรแก้ไขที่ตัวเรา ไม่ใช่ไปแก้ไขที่บุคคลอื่น หันมาพิจารณาโทษของความเกลียด ว่าแท้จริงส่งผลกระทบต่อใคร ต่อตัวเราใช่ไหม ไม่ใช่ต่อบุคคลที่เราเกลียด




วิธีที่จะขจัดความรู้สึกเกลียดในพระพุทธศาสนานั้น มีอยู่หลายประการ เช่นการพิจารณาฐานะ ๕ ประการที่อัน สตรีก็ดี บุรุษก็ดี คฤหัสถ์ หรือบรรพชิตก็ตาม ควรพิจารณาอยู่เนืองๆคือ

๑. พิจารณาถึงความแก่ ว่าคนเรามีความแก่เป็นธรรมดา
๒. พิจารณาถึงความเจ็บไข้ ว่าคนเรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
๓. พิจารณาถึงความตาย ว่า คนเรามีความตายเป็นธรรมดา
๔. พิจารณาว่า เราจักต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง
๕. พิจารณาว่า เรามีกรรมเป็นของตน เราทำดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักได้รับผลของกรรมนั้น

ฐานะทั้ง ๕ ประการนี้อาจทำให้ได้ย้อนมาพิจารณาว่า เราไม่มีเวลาเหลือที่จะเอาความเกลียดมาไว้ในใจของตน เพราะในไม่ช้า เราก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจด้วยกันทั้งหมด ควรค่าแล้วหรือที่ลมหายใจของเราที่มีอยู่จะมีไว้เพื่อพอกพูนกิเลส เพื่อสร้างความทุกข์ ความเร่าร้อนให้แก่ตนและบุคคลอื่น



อีกวิธีหนึ่งก็คือ สร้างความเมตตาให้เกิดขึ้น อาจจะพิจารณาถึงตัวเราและบุคคลที่เราเกลียด ว่าเขานั้นก็เหมือนกับตัวเรา คือประกอบด้วยธาตุ ๔ เหมือนเรา มีชีวิตมีวิญญาณ มีครอบครัวเหมือนเรา ปรารถนาสุข ไม่ปรารถนาความทุกข์เหมือนกับเรา

และ ข้อควรปฏิบัติอีกประการ คือให้น้อมนึกเอาบุคคลที่เราเกลียด มาเป็นบ่อบุญของเราเสียเลย คือเปลี่ยนจากคู่กรณีให้มาเป็นบุคคลที่จะมาเพิ่มพูนบารมีธรรมให้กับตัวเรา ในการที่จะอดทน อดกลั้นทวนกระแสกิเลสเพื่อบำเพ็ญความดี บารมีนี้คือการทำความดีที่ทำได้ยากและการสั่งสมความดีนี้เอง หากบารมีของผู้ใดแก่กล้า ก็จะพาส่งผล ดลบันดาล แปลงร่าง จัดสรรปั้นแต่ง ให้ได้มีนาทีทองนาทีธรรมทุกขณะจิต

ยามใดที่มีมาร มีกรรม มีเวรมาสนอง จิตจะชนะต่อผัสสะชนะต่อมารได้อย่างแท้จริงก็ด้วยบารมีธรรม

ฉะนั้นจะไม่ดีว่าหรือ ที่จะเปลี่ยนจาก คู่กรณี ให้มาเป็นคู่บุญคู่บารมีที่มีแต่ค้ำคูณ เกื้อกูลต่อกัน

ในวักฏะสงสารอันบุคคลต้องเวียนว่ายตายเกิด หนทางอันยาวไกลทำให้ต้องได้เจอกันอีกในลักษณะความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่ง การละเลิก คิดพูดทำ สิ่งที่ไม่ดีต่อบุคลอื่นเปลี่ยนมาเป็นคิดพูดและทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนและบุคคลอื่น และขจัดความเกลียดที่เกิดขึ้นในดวงใจ ขึ้นชื่อว่ามอบความรักให้ต่อตน

เพราะผู้ให้สิ่งที่น่าพอใจ ย่อมได้สิ่งที่น่าพอใจ ผู้ที่ให้สิ่งที่เลิศ ประเสริฐ และประเสริฐสุด ย่อมได้รับสิ่งที่เลิศ ประเสริฐ และประเสริฐสูงสุด

บายศรี
ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัยประทานพร ด้วยอานุภาพแห่งบุญนี้ประทานพร จงรวมพลังส่งผลดลบันดาล เพิ่มพูน เติมพลัง สิ่งที่ผู้เขียน และผู้อ่าน ยังขาดยังพร่อง ให้เต็มเปี่ยมงามพร้อมบริบูรณ์ พูนสุขเกษมศานต์ บังเกิดชีวิตที่ทรงคุณค่า มีสาระ เพื่อสร้างสรรค์พัฒนาตน ให้เกิดมหาศีล มหาธรรมที่สะอาดศักดิ์สิทธิ์ พิชิตอุปสรรค นานาประการอย่างมหัศจรรย์ปาฏิหาริย์ ด้วยเดชด้วยอานุภาพแห่งบุญนี้เทอญ.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่